บทที่ 258 จัดแจงหน้าที่
เฟิ่งเปาเจ่าขมวดคิ้วแน่นเมื่อได้ยินเช่นนั้น
เขารู้จักลูกชายของตนดีเกินไป
นิสัยเจ้าเล่ห์ บ้าระห่ำ และโหดเหี้ยม แต่กลับลังเลในยามสำคัญ
ตามปกติแล้ว เหตุการณ์สำคัญเช่นนี้เขาควรมาถึงที่นี่นานแล้ว
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ครุ่นคิดนานนัก
หลังจากผ่านไปราวๆ หนึ่งธูป ร่างอีกคนก็ปรากฏในห้องลับ
เขาเป็นผู้อาวุโสระดับสูงอีกคนของตระกูลเฟิ่ง ดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสอันดับเก้า
สีหน้าของเขาเคร่งขรึมขณะรายงาน "กราบทูลท่านประมุข ข้าน้อยเพิ่งกลับมาจากจวนหมิงหยาน ทั้งคุณชายหมิงหยานและผู้เฒ่าหวังไม่อยู่ที่นั่น
ข้าสอบถามบรรดาบ่าวไพร่ แต่ไม่มีผู้ใดทราบว่าพวกเขาไปที่ใด"
ห้องลับตกอยู่ในความเงียบฉับพลัน
จากนั้นทุกคนก็หัวเราะ "คุณชายหมิงหยานช่างว่องไวเสียจริง
ถึงกับหนีไปก่อนเลย
เช่นนั้น บางทีพวกเราก็ควรไปหลบซ่อนสักพัก"
เฟิ่งเปาเจ่ารู้สึกไม่สบายใจ
แต่เขาไม่ได้พูดอะไรมาก เพราะในมุมมองของพวกเขา ปฏิบัติการครั้งนี้ไม่น่าจะมีจุดบกพร่องใดๆ
และในขณะนี้ ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างเชื่อว่าพวกเขาเข้าใจซูจิ้งเจินและกลุ่มของเขาดี
พวกเขาไม่อาจจินตนาการได้ว่า ผู้บำเพ็ญตนระดับสร้างรากฐานสี่คนที่จมอยู่กับการหลอมโอสถตลอดเวลา จะสามารถเอาชนะมือสังหารผู้เชี่ยวชาญสิบคนได้อย่างไร
"เอาละ ในเมื่อเขาไปหลบซ่อนแล้ว ก็ไม่ต้องไปรบกวนเขา
มีผู้เฒ่าหวังคอยคุ้มกัน เขาไม่น่าจะตกอยู่ในอันตราย
เราจงทำตามแผนเดิม หลบซ่อนตัวสักพัก
เมื่อทุกอย่างสงบลง เราค่อยกลับมา
เมื่อถึงตอนนั้น ตระกูลเฟิ่งจะเป็นของพวกเรา"
ขณะพูด ดวงตาของเฟิ่งเปาเจ่าเปล่งประกายด้วยความทะเยอทะยานอันไร้ขอบเขต
เขาเบื่อหน่ายกับการเป็นประมุขรักษาการณ์เต็มที
ในเมื่อผู้อาวุโสใหญ่ไม่ยอมเรียกประชุมทายาทโดยตรงทั้งหมดของตระกูลเฟิ่งและแต่งตั้งเขาเป็นประมุขอย่างเป็นทางการ เขาก็จะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
ว่าแล้ว คนราวสิบกว่าคนในห้องลับก็แยกย้ายกันจากไปอย่างเงียบๆ ไม่กลับมาที่หอสมบัติอีก
การจากไปของพวกเขาไม่มีใครสังเกตเห็น
...
ที่นอกหอสมบัติ
ณ จุดที่ห่างจากหอสมบัติพอสมควร ไป๋ซูซูและชายชรายืนอยู่บนก้อนหินใหญ่
พวกนางมองตั้วป๋าจุนหลินและผู้คุ้มกัน ซึ่งยังคงลอยอยู่กลางอากาศ
ไป๋ซูซูขมวดคิ้ว
"เจ้าหมอนี่คิดจะทำอะไรกันแน่?
เขาจะเข้าไปยุ่งกับเรื่องของตระกูลเฟิ่งในเมืองหยุนเหมิงจริงๆ หรือ? นี่เป็นการตัดสินใจของเขาเอง หรือเป็นคำสั่งของตระกูลตั้วป๋ากันแน่?
เป็นเพราะชิงหยาจริงๆ หรือ? ไม่น่าจะเป็นไปได้กระมัง?"
ใบหน้าเย็นชาของไป๋ซูซูเต็มไปด้วยความสับสน
นางรู้สึกว่าการกระทำของตั้วป๋าจุนหลินในตอนนี้ผิดแปลกไปจากนิสัยปกติ
ชายชราข้างๆ นางก็เอ่ยขึ้น "ไม่ว่าตระกูลตั้วป๋าจะตัดสินใจอย่างไร นี่ก็เป็นเรื่องภายในของหอรวมสมบัติ
แม่นาง ตามที่ท่านประมุขสั่งไว้ พวกเราไม่ควรเข้าไปยุ่งกับเรื่องของหอรวมสมบัติ"
ไป๋ซูซูพยักหน้า "เรื่องของหอรวมสมบัติไม่ใช่เรื่องของพวกเรา ข้าแค่สงสัยนิดหน่อยเท่านั้น
แต่คราวนี้ ตระกูลไป๋ของเราก็มีโอกาสที่จะดึงนักหลอมโอสถทั้งสองคนนั้นเข้าตระกูล
อย่างไรเสีย ความสัมพันธ์ของข้ากับชิงหยาก็ค่อนข้างสนิทสนม"
ชายชราไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับคำพูดของไป๋ซูซู
...
ภายนอกหอสมบัติ สถานการณ์เริ่มวุ่นวายและตึงเครียด
อย่างไรก็ตาม ผู้อาวุโสใหญ่เฟิ่งหลี้ยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ที่ทางเข้าทางเดินดำบนชั้นหนึ่งของหอสมบัติ
"ท่านผู้อาวุโสใหญ่ ดูเหมือนเหตุการณ์ภายนอกกำลังจะเลยเถิด
เมื่อตระกูลตั้วป๋าเข้ามาเกี่ยวข้อง เวลาก็ถูกเลื่อนมาถึงรุ่งสาง พวกเราควรออกไปดูสักหน่อยหรือไม่?"
ผู้คนภายในหอสมบัติย่อมรับรู้ถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นภายนอก
แต่ตอนนี้เหลือคนอยู่ที่นี่ไม่มากนัก
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้อาวุโสใหญ่พูดเสียงเย็นชา "หากเฟิ่งเปาเจ่าจัดการเรื่องนี้ไม่ได้ เขาก็ไม่สมควรเป็นประมุขรักษาการณ์
เรื่องของผู้อาวุโสใหญ่ของพวกเราสำคัญที่สุด ข้าจะไม่ยอมให้เกิดความผิดพลาดใดๆ"
น้ำเสียงของผู้อาวุโสใหญ่เต็มไปด้วยอำนาจอย่างยิ่ง
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา คนอื่นๆ ก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก
เฟิ่งชิงหยาก็อยู่ที่นั่นด้วย เมื่อเห็นท่าทีของผู้เฒ่า หัวใจของนางก็พองโตด้วยความตื่นเต้น
ดวงตาของนางเปล่งประกายด้วยความคาดหวังอันไร้ขอบเขต
ตราบใดที่ซูจิ้งเจินและคนอื่นๆ สามารถปลุกผู้อาวุโสใหญ่ได้สำเร็จในครั้งนี้ สถานการณ์ของเฟิ่งชิงหยาก็จะพลิกกลับ
นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่สุดในชีวิตของนาง นางต้องอยู่ที่นี่และเฝ้าดูมัน ไม่ว่าด้านนอกจะวุ่นวายเพียงใดก็ตาม
...
ในขณะเดียวกัน ณ สถานที่ที่ผู้อาวุโสใหญ่ตระกูลเฟิ่งเข้าสู่ภวังค์
ด้วยความช่วยเหลือของเสวี่ยหนิง เย่จือชิวก็เริ่มหลอมโอสถสร้างโลหิตเสร็จแล้ว
และใกล้จะเสร็จสมบูรณ์
สีหน้าของสาวงามทั้งสองดูจริงจังอย่างยิ่ง สมุนไพรชนิดเดียวกันภายใต้การควบคุมอย่างชำนาญของเย่จือชิว หลอมรวมเข้าด้วยกันเป็นยาลูกกลอน
กลิ่นหอมแห่งชีวิตลอยอบอวลในอากาศ
ในชั่วขณะต่อมา เย่จือชิวก็ตบฝ่ามือลงบนเตาหลอมโอสถ
ยาสร้างโลหิตสีแดงเข้มลอยออกมา
"โชคดีที่เป็นยาคุณภาพสูง! น่าจะเพียงพอแล้ว."
เย่จือชิวมองยาลูกกลอนสีแดงในมือและรอยยิ้มก็ผุดขึ้นบนริมฝีปาก
ซูจิ้งเจินและคนอื่นๆ ถอนหายใจอย่างโล่งอก
เพราะอย่างไรเสีย ส่วนผสมของยาสร้างโลหิตก็ถูกกลั่นเพียงครั้งเดียว
หากล้มเหลว พวกเขาก็ต้องวิ่งกลับไปเอาเพิ่มจากตระกูลเฟิ่ง
นอกจากนี้ ทั้งสี่คนก็ไม่อยากออกไปข้างนอกในเวลานี้จริงๆ
เพราะว่าอีกฝ่ายกล้าส่งคนมาลอบสังหารพวกเขาโดยตรง พวกเขาไม่รู้ว่าสถานการณ์ข้างนอกจะเป็นอย่างไรบ้าง
แต่พวกเขาต่างรู้ดีว่าทางเลือกที่ดีที่สุด ณ ตอนนี้คือทุ่มเทสุดกำลังเพื่อปลุกผู้อาวุโสใหญ่ตระกูลเฟิ่ง
ระดับการบำเพ็ญเพียรของผู้อาวุโสใหญ่ตระกูลเฟิ่งนั้นแน่นอนว่าต้องสูงกว่าขั้นจิตก่อกำเนิด.
ไม่ว่าจะเป็นขั้นบรรลุตบะหรือขั้นฝ่าภพภูมิ* พวกเขาก็ไม่แน่ใจ
(*ชิ่อยังไม่แน่นอนนะครับขอติดไว้ก่อน)
แต่แม้จะเป็นเพียงขั้นหลอมวิญญาณ ก็เพียงพอที่จะควบคุมทุกสิ่งได้แล้ว
แม้ทั้งสี่คนจะไม่ได้พูดออกมา แต่ต่างก็คิดเหมือนกัน
ปล่อยให้โลกภายนอกวุ่นวายไปตามใจ ตราบใดที่ผู้อาวุโสใหญ่ตื่นขึ้นมา พวกเขาก็จะปลอดภัยภายในขอบเขตของค่ายกลป้องกัน
ในตอนนี้ เย่จือชิวเก็บยาสร้างโลหิตใส่ขวดหยกและมองไปที่ซูจิ้งเจินและคนอื่นๆ
"ตามที่พวกเราได้หารือกันก่อนหน้านี้ เมื่อหลอมโอสถโพธิ์ฝ่าอุปสรรค ยาฝ่าอุปสรรคจะมอบให้สหายซูจัดการ.
ระหว่างหลอมโอสถสร้างโลหิต แม่นางเสวี่ยหนิงและข้าได้พัฒนาความเข้าใจบางอย่างแล้ว
ดังนั้น การหลอมรวมขั้นสุดท้ายของยาโพธิ์ฝ่าอุปสรรคจะขอให้พวกเราสองคนเป็นผู้จัดการ
หากไม่มีอะไรผิดพลาด โอกาสสำเร็จก็มีสูง"
ขณะพูด เย่จือชิวไม่ได้เคร่งขรึมเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
"พี่หญิงเย่ แล้ว... ข้าควรทำอะไร?"
หลังจากเย่จือชิวจัดการทุกอย่างแล้ว ไป๋ซิวที่อยู่ข้างๆ ก็ถามอย่างงุนงง
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เย่จือชิวก็ยิ้มและกล่าวว่า "เจ้าควรเรียนรู้จากประสบการณ์ครั้งนี้
อีกอย่าง เจ้าจงไปที่ระเบียงและคอยจับตาดูสถานการณ์
หากมีใครลงมา เจ้ากับสหายซูก็ช่วยรับประกันความปลอดภัยให้พวกเราสตรีอ่อนแอสองคนหน่อย ได้ไหม?"
ไป๋ซิว: "......"