MDB ตอนที่ 530 การหล่อหลอมร่างกาย, เข็มเกลาจิตวิญญาณ
หากหยางหมิงสามารถปรับตัวเข้ากับร่างกายใหม่นี้ได้ เขาจะพบว่ามันแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม
แม้ว่าสิ่งที่หยางหมิงต้องเผชิญมาทั้งหมดจะไม่สามารถทดแทนได้ แต่การที่เส้นเลือดมังกรและกระดูกเสือถูกนำมาใช้ในการรักษาแผลบนร่างกายของเขา ทำให้ร่างกายของเขากลับมาแข็งแกร่งขึ้นอย่างน้อยหนึ่งเท่า
ความสามารถของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ประจวบกับปริมาณพลังวิญญาณที่เขาสามารถสะสมไว้ในร่างกายของเขาจะเพิ่มขึ้น มันจะยิ่งทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นอย่างก้าวกระโดด
นี่อาจจะเป็นโชคดีที่แฝงมาในโชคร้าย
หลังจากทำการรักษาเสร็จสิ้นแล้ว มันก็ยังเหลืออีกหนึ่งปัญหาที่ต้องจัดการ ซึ่งนั่นก็คือการช่วยหยางหมิงทำสัญญากับสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ แม้แต่หลินจินเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้สำหรับคนส่วนใหญ่ กลับสามารถแก้ไขได้ด้วยพิพิธภัณฑ์
แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ยังต้องใช้เวลาอยู่บ้าง
ทางด้านหยางหมิง เขาเห็นว่านี่เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแล้ว เนื่องจากเขาเป็นผู้ประเมินระดับสี่ด้วยตัวเอง หยางหมิงจึงรู้ว่านี่เป็นความท้าทายมากเพียงใด ดังนั้น นอกจากความกตัญญูแล้ว เขายังรู้สึกประทับใจในตัวหลินจินด้วย ตอนนี้เขาเริ่มเคารพนับถือชายผู้นี้มากขึ้น
ในความเห็นของหยางหมิง ความสามารถของหลินจินนั้นเหนือกว่าของท่านชายจง ในบางแง่มุม แม้แต่ผู้อาวุโสซูก็ไม่สามารถเทียบกับเขาได้
เขาได้นึกย้อนดูการกระทำของตัวเอง เขาก็รู้สึกว่าตัวเองทำผิดพลาดมากที่ทำตัวไม่ดีใส่หลินจิน
ท่านชายจงเดินเข้ามา และมองดูหยางหมิงจากบนลงล่าง อีกฝ่ายไม่แสดงท่าทีสิ้นหวังอีกต่อไป เขายืนตัวตรงอย่างสง่างาม แม้จะมีความอ่อนแออยู่บ้างตามประสาคนที่เพิ่งได้รับการรักษา แต่ท่านชายจงกลับสัมผัสได้ถึงออร่าอันแข็งแกร่งที่แผ่ออกมาจากหยางหมิง
“นี่มันเคล็ดวิชาประเภทไหนกันแน่?” จงซื่อเฟิงพึมพำกับตัวเอง เขาหันไปมองหลินจิน โดยไม่สามารถปกปิดความกระหายความรู้ในดวงตาของเขาได้
ลืมเรื่องจงซื่อเฟิงไปได้เลย ผู้ประเมินคนอื่น ๆ ก็คิดเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่เพราะจังหวะเวลาที่ไม่เหมาะสม พวกเขาคงพุ่งเข้าหาหลินจินเพื่อขอความรู้จากเขาไปแล้ว
นี่เป็นปฏิกิริยาทั่วไปสำหรับผู้ประเมินทุกคน
หลินจินมองเห็นแววตาอันเร่าร้อนของพวกเขา และเขารู้ได้อย่างรวดเร็วว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ แม้ว่าวันนี้เขาจะบอกปัดไป แต่ผู้คนมากมายมาเยี่ยมเขาในวันพรุ่งนี้อยู่
และหลินจินไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น
ดังนั้น หลังจากคิดดูแล้ว เขาก็ประกาศว่า
“ทุกคน ตอนนี้มันดึกมากแล้ว และข้าเหนื่อยมากหลังจากฝังเข็มติดต่อกันหลายชั่วโมง ดังนั้น พรุ่งนี้ช่วงบ่าย ข้าจะจัดการบรรยายเกี่ยวกับศิลปะการฝังเข็มที่ห้องโถงบรรยายที่หนึ่ง หากอาจารย์ท่านใดสนใจ โปรดอย่าลังเลที่จะเข้าร่วม”
เมื่อพูดเสร็จแล้ว หลินจินก็กล่าวลาฝูงชนอีกครั้งก่อนที่จะปิดประตู
เขาไม่ได้โกหกเมื่อพูดว่าเขาหมดแรง เพราะในการรักษาหยางหมิงนั้น หลินจินต้องบำบัดบริเวณที่มีเส้นเลือดเสียหายมากกว่าร้อยแห่ง ซึ่งเป็นภารกิจที่ทรหดและท้าทาย
แต่ทว่าในช่วงเวลาที่ทำการรักษา หลินจินกลับพบว่าเขาสามารถขัดเกลาทักษะของตัวเองได้อย่างลึกซึ้ง เขาเริ่มเข้าใจถึงความสำคัญของความอดทนและการปรับใช้พลังในวิธีที่ดีที่สุด เมื่อผ่านการรักษาไปทีละขั้น เขาก็เริ่มมองเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ในตอนแรก เขาคิดว่าเขาบรรลุจุดสูงสุดของเทคนิคการค้นหาชีพจรแล้ว อย่างไรก็ตาม หลังจากรักษาหยางหมิงแล้ว เขาก็สามารถก้าวไปสู่ระดับที่สูงกว่าได้อย่างน่าประหลาดใจ
“ดังคำกล่าวที่ว่า ‘ความรู้ไม่มีขีดจำกัด’ ดูเหมือนว่าคำกล่าวนั้นจะเป็นเรื่องจริง” หลินจินพึมพำกับตัวเอง
ซูเสี่ยวหลัวและชางเอ๋อร์ได้เดินเข้ามาหาเขา
หลินจินรู้ว่าพวกเธออยากจะถามอะไร ดังนั้นเขาจึงรีบหยุดพวกเธอ
“ข้าเหนื่อยมามากแล้ว พรุ่งนี้พวกเจ้าทั้งคู่สามารถเข้าร่วมชั้นเรียนได้ จริงสิ ชางเอ๋อร์ ถ้าเจ้ามีเวลา เจ้าช่วยท่องรูปแบบพลังงานอสูรสักสองสามครั้งแทนข้าหน่อย ดูเหมือนเพื่อนของเราจะรอมานานมากแล้ว”
เมื่อพูดเสร็จ หลินจินก็ถอยกลับห้องไปนอน
ชางเอ๋อร์รู้สึกสับสน ดังนั้นซูเสี่ยวหลัวจึงอธิบายให้เธอฟัง
'เพื่อนของเรา' ที่หลินจินกล่าวถึงก็คือสัตว์วิเศษที่ได้เริ่มต้นเส้นทางแห่งการฝึกฝน ซึ่งได้แก่ ปลาคาร์ปในบ่อ งูในพุ่มไม้ นกกระเรียนบนกำแพง และเหยี่ยวบนหลังคา
“อาจารย์ของเจ้ากำลังขอให้ท่องเทคนิคการฝึกฝนบทนี้ ดังนั้นเจ้าต้องอย่าทำให้เขาผิดหวัง”
ในฐานะจิตวิญญาณแห่งภาพวาด ซูเสี่ยวหลัวไม่เข้าใจแนวคิดเรื่องความเหนื่อยล้า เธอจึงนั่งลงในมุมหนึ่งและจ้องมองชางเอ๋อร์โดยไม่พูดอะไรอีก
ชางเอ๋อร์ก็ลุกขึ้นนั่งตัวตรง และเริ่มท่องรูปแบบพลังงานอสูร และที่สำคัญ เธอยังได้เพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับมันเข้าไปในการท่องของเธอด้วย
การบรรยายของเธอค่อนข้างจะคล้ายกับของหลินจิน แต่เธอใช้มุมมองที่แตกต่างออกไป ดังนั้นสัตว์ฉลาดเหล่านี้อาจได้รับประโยชน์จากมันมากขึ้น
ด้วยเนื้อหาของชางเอ๋อร์ที่เต็มไปด้วยความลึกซึ้งและความรู้ที่น่าสนใจ มันทำให้สัตว์วิเศษเหล่านั้นไม่สามารถละสายตาจากการบรรยายของเธอได้แม้แต่น้อย แม้แต่เฒ่าโม่ก็นั่งลง และเข้าร่วมบทเรียนด้วย
เขารู้ว่าชางเอ๋อร์คือ 'ศิษย์คนแรก' ของหลินจิน ดังนั้นความรู้ในการฝึกฝนที่เธอเรียนรู้จึงล้ำลึก และครอบคลุมที่สุด ในแง่ของการฝึกฝนสัตว์ปีศาจ เธออาวุโสกว่าพวกเขา
ซูเสี่ยวหลัวไม่ใช่สัตว์ปีศาจ ดังนั้นเธอจึงไม่จำเป็นต้องฝึกฝนรูปแบบพลังงานอสูร เธอเพียงแค่ฟังการบรรยายด้วยความอยากรู้อยากเห็น และต้องการเพิ่มพูนความรู้ของเธอเท่านั้น
หลังจากฟังไปสักพัก ซูเสี่ยวหลัวก็เริ่มอยู่ไม่สุข เงาของเธอสั่นไหวอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เธอจะหายตัวไปยังห้องนอนอย่างเงียบ ๆ
ด้านในห้องนอน หลินจินกำลังนั่งขัดสมาธิบนเตียง โดยถือเข็มไว้ในมือ ดวงตาของเขาปิดสนิท ราวกับว่าเขากำลังครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง
'เขาทำอะไรอยู่?' ซูเสี่ยวหลัวรู้สึกอยากรู้ แต่เธอไม่ได้เข้าไปใกล้
เห็นได้ชัดว่าหลินจินต้องได้รับการรู้แจ้งจากการรักษาหยางหมิง ซึ่งอธิบายได้ว่าทำไมเขาจึงอยู่ในอาการครุ่นคิดอย่างหนักในขณะนี้ บุคคลที่อยู่ในสภาวะคล้ายภวังค์เช่นนี้ไม่ควรถูกรบกวน
ตั้งแต่สมัยโบราณ ผู้ฝึกตนถือว่าเรื่องการเฝ้าระวังเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง จำเป็นต้องมีผู้ฝึกตนที่ไว้วางใจคอยดูแลไม่ให้ถูกรบกวนจากภายนอก
ถ้าความคิดของเขาถูกขัดจังหวะ มันอาจจะเป็นเรื่องยากหรือแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะกลับคืนสู่สภาวะรู้แจ้งอีกครั้ง
ดังนั้น ซูเสี่ยวหลัวจึงพิงกรอบประตูเพื่อทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ของเขา
“ข้าช่วยเขาตั้งมากมาย เมื่อเขาตื่นขึ้นมา ข้าจะให้เขาบอกข้าให้ได้ว่าเขาได้เรียนรู้อะไรจากการรู้แจ้งนี้” ซูเสี่ยวหลัวพึมพำกับตัวเอง
ซูเสี่ยวหลัวพูดถูก หลินจินเข้าสู่ภาวะรู้แจ้งแล้วจริง ๆ
แน่นอนว่าจิตใจของเขาอยู่ภายในพิพิธภัณฑ์สัตว์วิเศษเท่านั้น โดยอ่านหนังสือที่หล่นลงมาจากชั้นวางของในพิพิธภัณฑ์
หนังสือเล่มนี้หล่นลงมาอย่างกะทันหันจนหลินจินคิดว่ามันเป็นรางวัลชิ้นหนึ่งของพิพิธภัณฑ์ แต่ในไม่กี่วินาทีต่อมา เขาก็พบรู้ว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น บางทีอาจเป็นเพราะเขาได้เข้าใจอะไรใหม่ ๆ ได้ด้วยตัวเอง ทางพิพิธภัณฑ์จึงยื่นหนังสือที่เกี่ยวข้องให้เขา
หนังสือเล่มนี้เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับการฝังเข็มที่ลึกซึ้งกว่ามาก
ชื่อของมันก็น่าเหลือเชื่อมากเช่นดัน
การหล่อหลอมร่างกาย, เข็มเกลาจิตวิญญาณ
หน้าแรกของหนังสือระบุว่า ‘เฉพาะผู้ที่เข้าใจเทคนิคการค้นหาชีพจรอย่างถึงที่สุดเท่านั้นจึงจะสามารถฝึกฝนได้’
หลินจินครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ เขายังคงสงสัยในเรื่องของความเชี่ยวชาญที่จำเป็นในการใช้เทคนิคค้นหาชีพจร เขายังไม่เข้าใจว่าต้องมีความชำนาญมากเพียงใดถึงจะสามารถเรียนรู้เคล็ดวิชานี้ได้
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครเคยฝึกฝนเทคนิคค้นหาชีพจรมาก่อนเขา ผู้ที่เรียนรู้ภายหลังเขา ทั้งชางเอ๋อร์กับซูเสี่ยวหลัว ต่างก็ไม่สามารถเทียบได้กับเขาได้ในแง่ของความเชี่ยวชาญ
ดังนั้น การบอกว่าความชำนาญของเขาในเทคนิคการค้นหาชีพจรนั้นไปถึงจุดสูงสุดแล้ว มันจึงเป็นสิ่งที่หลินจินไม่แน่ใจ
แต่เมื่อคิดดูอีกครั้ง เขาอาจจะคิดมากเกินไปก็ได้
พิพิธภัณฑ์ต้องยอมรับในความเชี่ยวชาญของหลินจิน ไม่เช่นนั้นมันคงไม่ส่งหนังสือเล่มนี้มาให้เขา การที่เขาซ่อมแซมเส้นลมปราณของหยางหมิงในวันนี้น่าจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เขาได้รับหนังสือเล่มนี้
มันไม่ใช่แค่เพราะทักษะอันยอดเยี่ยมของเขาเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะหลินจินได้คิดนอกกรอบในตอนที่ใช้เทคนิคค้นหาชีพจร ซึ่งวิธีการที่เขาประยุกต์ใช้นั้นไม่เคยกล่าวถึงในคำสอนดั้งเดิม
การขัดเกลาเข็มสายฟ้าเป็นหนึ่งในตัวอย่างของการคิดนอกกรอบ และยังมีการใช้เส้นเลือดมังกรและกระดูกเสือเพื่อซ่อมแซมร่างกายของหยางหมิง ซึ่งถือเป็นการใช้ทักษะที่แปลกใหม่
สิ่งเหล่านี้สามารถทำได้โดยผู้ที่บรรลุถึงความเชี่ยวชาญขั้นสูงสุดเท่านั้น
ดังนั้น เขาจึงไม่น่าจะมีปัญหาใด ๆ ในการฝึกฝนเคล็ดวิชาการหล่อหลอมร่างกาย, เข็มเกลาจิตวิญญาณนี้
หลินจินคลายความกังวล และพลิกปกหนังสือเพื่อศึกษาเนื้อหาข้างใน
เมื่อเขาเริ่มอ่าน หลินจินก็จมอยู่กับทะเลข้อมูลมากจนพบว่าตัวเองไม่สามารถดึงตัวเองออกมาได้