บทที่ 7 พ่อแม่
ถนนเงียบสงัด ตึกรามบ้านช่องที่มีชายคาสีเทาสูงต่ำสลับกันไป ชายคาโค้งงอราวกับคลื่นในทะเลดำยามราตรี แข็งค้างอยู่ในห้วงเวลา
เฒ่าเหยาเดินนำไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า มือไพล่หลัง เฉินจี้เดินตามหลังอย่างเงียบขรึม เขามีคำถามมากมายที่อยากถาม เช่น ดินแดนเป่ยจวี้ลู่อยู่ที่ไหน ท่านรู้จักชายหนุ่มที่ชื่อ หลี่ชิงเหนียว หรือไม่ และสวรรค์ชั้น 49 คืออะไร
แต่เขารู้ว่าตนเองไม่อาจถาม ได้แต่ฝังคำถามเหล่านั้นไว้ในใจ
เฒ่าเหยาสงสัย "ปกติเจ้าปากมากเหมือนผ้าฝ้ายขาด วันนี้ทำไมเงียบจัง?"
เฉินจี้ใจหายวาบ "ก็ยังเป็นเรื่องที่จวนสกุลโจว ท่านไม่ให้ข้าพูดถึงนี่"
เฒ่าเหยาถามขึ้นทันที "เจ้าฆ่าคนหรือ?"
เฉินจี้เงียบไปนาน "ไม่ได้ฆ่า"
เฒ่าเหยาแค่นเสียงเบาๆ ไม่ถามอะไรอีก
ตลอดทาง ชายชราไม่ได้ถามถึงเรื่องคืนนี้อีกเลย ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เดินไปราวหนึ่งชั่วยาม เฉินจี้จึงเห็นประตูใหญ่ทาสีชาด(สีออกแดงๆ)ของจวนอ๋องจิ้งแต่ไกล ทหารยามหน้าประตูถือหอกยืนเฝ้า สวมเกราะเหล็ก สิงโตหินสองข้างประตูดูสง่าน่าเกรงขาม
โคมไฟสีขาวสองดวงแขวนใต้ชายคาสีเทา ด้านบนเขียนอักษรสามตัว "จวนอ๋องจิ้ง" ป้ายเหนือประตูเขียนด้วยหมึกทองว่า "เที่ยงตรงสว่างไสว"
เฒ่าเหยาไม่ได้เข้าประตูใหญ่ แต่พาเฉินจี้เดินไปด้านข้างจวน ที่นั่นมีโรงหมอติดกับจวน ชื่อว่า 'โรงหมอไท่ผิง'
ป้ายเหนือประตูเขียนสี่ตัวอักษรว่า "ไม่รับซื้อเชื่อ"[การซื้อขายโดยยังไม่จ่ายเงินในทันที]
เฒ่าเหยาผลักประตูโรงหมอ ก้าวข้ามธรณีประตูสูง ภายใน บนเคาน์เตอร์ยาวมีตะเกียงน้ำมันจุดสว่าง
ภายนอกคือถนนมืดมิดกับราตรี ภายในคือแสงสว่างสีส้มแดง ราวกับโลกขาวดำ มีเพียงโรงหมอที่มีสีสัน
ราวกับว่าหากเฉินจี้เดินเข้าไป ก็จะได้หลบลมหลบฝนและพบความสงบที่นี่
เฒ่าเหยายืนในประตูหันมามองเฉินจี้ "โยนของในมือทิ้งซะ โรงหมอไม่ต้องการของพวกนี้"
เฉินจี้ชะงัก โยนเศษกระเบื้องที่กำแน่นในมือทิ้งไป บนเศษกระเบื้องยังติดเลือดอยู่
เขามองธรณีประตูสูงของโรงหมอ และร่างหลังค่อมของเฒ่าเหยา สุดท้ายก็ก้าวเข้าประตู ปิดประตู กั้นความมืดไว้ภายนอก
......
......
โรงหมอเป็นเรือนสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก มีเพียงกำแพงกั้นจากจวน กลางลานมีต้นแอปริคอตบิดเบี้ยว
กาตัวใหญ่เกาะอยู่บนปลายกิ่ง เห็นคนมาก็บินหนีไป
เฒ่าเหยาดูเหนื่อยล้า โบกมือบอก "ไปนอนได้"
แต่เฉินจี้ยังยืนนิ่งไม่ขยับ... ไปนอนที่ไหน? เรือนสี่เหลี่ยมด้านหลังมีสามห้อง เขาไม่รู้ว่าควรไปห้องไหนจึงจะถูก หากเดินผิดที่อาจทำให้เกิดความระแวง
เฒ่าเหยาเห็นเขาไม่ขยับ จึงหันมาสงสัย "ทำไมไม่ไปนอน?"
ทันใดนั้น ชายหนุ่มร่างผอมสูงสวมเสื้อคลุมยาวก็โผล่ออกมาจากห้องทิศตะวันตก มองเฉินจี้อย่างรังเกียจพลางว่า "เฉินจี้ แค่ไปส่งยาแท้ๆ ใช้เวลาตั้งนาน ถึงกับต้องรบกวนอาจารย์ไปตาม... อาจารย์ ท่านเหนื่อยแล้วกระมัง ข้าจะต้มน้ำให้ท่านแช่เท้าก่อนพักผ่อนนะขอรับ"
เฉินจี้เงียบๆ มองศิษย์พี่ผู้นี้
คนเราจะประจบได้ละเอียดถี่ถ้วนถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
เฒ่าเหยาบอก "รีบไปนอนกันหมด อย่าทำให้เสียการเรียนตอนเช้าพรุ่งนี้"
"ครับ" ชายหนุ่มร่างผอมสูงรีบกลับเข้าห้องทิศตะวันตกทันที
เฉินจี้เดินตามเข้าไป ภายในเป็นแคร่นอนรวม ด้านในสุดมีร่างสูงใหญ่นอนกรน ไม่รู้เรื่องรู้ราวที่เกิดขึ้นภายนอกเลย ศิษย์พี่ร่างผอมสูงนอนตรงกลางแคร่ ส่วนที่นอนของเขาอยู่ริมประตู
ห้องนอนศิษย์มีหน้าต่างไม้เก่าๆ นอกจากโอ่งไหสองสามใบก็ไม่มีเครื่องเรือนอื่นใด
ในห้องมืดสลัว ศิษย์พี่ร่างผอมสูงนั่งห่มผ้าบนแคร่ จ้องเฉินจี้ตาวาว กระซิบถามเสียงเบา "เกิดอะไรขึ้น ทำไมไปนานนัก?"
"ไม่มีอะไร" เฉินจี้ส่ายหน้า คลานเข้าผ้าห่มอย่างอ่อนล้า มองคานไม้บนเพดานและใยแมงมุมเก่าๆ นิ่ง
ศิษย์พี่ร่างผอมสูงพลิกตัวนอนลง แค่นเสียงในลำคอ "ไม่บอกก็ช่างเถอะ!"
ห้องกลับเงียบอีกครั้ง เหลือเพียงเสียงลมหายใจ
เพียงยามนี้ เฉินจี้จึงได้หยุดคิดทบทวนสถานการณ์ของตน: เจี้ยวถู่กับหยุนหยางจะปล่อยเขาไปจริงหรือ? คงเป็นไปไม่ได้แน่
ความสามารถที่เขาแสดงออกคืนนี้ไม่ใช่สิ่งที่ศิษย์โรงหมอจะมีได้ อีกทั้งเขายังบังเอิญปรากฏตัวที่บ้านสายลับแคว้นจิ้ง คนทั้งสองจะไม่สงสัยได้อย่างไร? แต่ทำไมพวกเขาถึงปล่อยตัวเขาไป? เป็นเพราะสถานะอาจารย์ของเขา หรือฝ่ายนั้นมีแผนการอื่น? ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ตอนนี้ทางเลือกที่ดีที่สุดของเฉินจี้คือการอยู่ในโรงหมอ โรงหมอนี้ติดกับจวน อีกฝ่ายคงต้องคิดหนักก่อนจะทำอะไร
ขณะกำลังครุ่นคิด ม่านตาของเฉินจี้พลันหดเล็กลง
ลมหนาวสายหนึ่งจากต้นกำเนิดพลังในร่างกายแผ่ซ่านไปทั่วร่าง กลืนกินความอบอุ่นในกล้ามเนื้อ กระดูก และเลือด
นั่นคือ... กระแสน้ำแข็งที่พุ่งเข้าร่างเขาตอนโจวเฉิงอี้ตาย ตอนแรกรู้สึกเพียงเย็นเฉียบ ราวกับเป็นภาพลวงตา แต่ตอนนี้มันกลับเหมือนสัตว์ร้ายที่ถูกขังในร่างเฉินจี้ โกรธแค้นค้นหาทางออก แต่ก็ไม่อาจหลุดพ้นจากร่างเขาได้
ตึง
เฉินจี้ได้ยินเสียงเลือดไหลในกายดังราวหิมะถล่ม ราวกับในเส้นเลือดไม่ได้มีเลือดไหลเวียน แต่เป็นน้ำแข็งบด
ในร่างผอมบางราวกับซ่อนดาบไว้เล่มหนึ่ง หรือราวกับซ่อนมังกรที่มีอยู่มาแต่หลายพันปีก่อน เฉินจี้ราวกับจมอยู่ในห้วงน้ำมืดมิด ถูกมือข้างหนึ่งฉุดลากลงสู่ก้นบึกอย่างสิ้นหวัง
หนาวเหน็บจนแทบทนไม่ไหว
เฉินจี้พยายามหันไปมองคนอื่นในห้อง แต่กลับพบว่าพวกเขาหลับสนิท ไม่รู้สึกถึงอะไรเลย เขาห่มผ้าให้แน่นขึ้น แต่ความเย็นนี้แผ่จากภายในสู่ภายนอก แม้จะห่มผ้าคลุมทั้งตัวก็ไร้ประโยชน์
นี่เป็นเพราะถูกวิญญาณอาฆาตของโจวเฉิงอี้ตามหลอกหลอนกระนั้นหรือ? ค่อยๆ ก่อนที่เขาจะคิดได้กระจ่าง ร่างก็ขดงอเป็นก้อน จมดิ่งสู่ภวังค์
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด เสียงไก่ขันแว่วมาแต่ไกล เสียงดังทะลุผ่านม่านหมอกหลายชั้น ฉีกม่านหมอกขาดออก
เฉินจี้ผุดลุกขึ้นนั่งบนเตียงด้วยความตกใจ ราวกับเพิ่งถูกคนช่วยขึ้นจากน้ำ หายใจรวยรินอย่างกระหาย
มือเท้าของเขาเย็นเฉียบ สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ไม่ใช่ความฝัน กระแสน้ำแข็งนั้นยังคงอาละวาดอยู่
......
......
นอกหน้าต่าง แสงแดดอ่อนถูกกระดาษหน้าต่างกั้นไว้ ภายในห้องมืดสลัว
ศิษย์พี่ทั้งสองยังคงนอนกรนเรียงกัน เสียงไก่ขันดูเหมือนไม่ได้รบกวนพวกเขา ยังคงนอนกรนต่อไป
ขณะที่เฉินจี้กำลังเหม่อลอย เสียงเอี๊ยดดัง ประตูห้องถูกผลักเปิด
เห็นอาจารย์ของเขา "เฒ่าเหยา" ถือไม้ไผ่เรียวยืนอยู่ที่ประตู สีหน้ารังเกียจ "ไก่ขันแล้วยังไม่ตื่น คนรู้ก็รู้ว่าพวกเจ้าเป็นศิษย์ฝึกหัด คนไม่รู้คงนึกว่าพวกเจ้าเป็นบุตรชายคนโตตระกูลไหนเสียล่ะ"
พูดพลางฟาดไม้เรียวเข้าใส่
เฉินจี้ดิ้นรนลุกขึ้นสวมเสื้อ หลบไปอีกด้าน "อาจารย์ ข้าตื่นแล้ว!"
เฒ่าเหยาเห็นดังนั้นจึงหันไปฟาดคนอื่น เสียงร้องโอดครวญดังขึ้น ศิษย์พี่ทั้งสองถูกไม้เรียวฟาดจนต้องกุมหัววิ่งหนี "อาจารย์อย่าตีเลย! ตื่นแล้ว ตื่นแล้ว!"
แต่ไม่ว่าศิษย์พี่ทั้งสองจะหลบหลีกอย่างไร ไม้เรียวก็ลงแม่นยำบนตัวพวกเขา ชายชราหลังค่อมผู้นั้นแม้จะอายุเก้าสิบสองปีแล้ว แต่ยังว่องไวปราดเปรียว
เฒ่าเหยาใช้ไม้เรียวไล่ทั้งสามคนไปที่ลาน เสียงเย็นชา "ยืนฝึกท่า!"
เฉินจี้คิดว่าการเรียนตอนเช้าของโรงหมอคงเป็นการท่องจำตำรายา ไม่คิดว่าจะเป็นการยืนฝึกท่า? เขาหันไปมอง เห็นศิษย์พี่ทั้งสองทำท่าประหลาด ไม่ใช่ท่าม้า แต่คล้ายท่าทางแบกหินก้อนใหญ่ปีนขึ้นสันเขามากกว่า
ยังไม่ทันที่เขาจะแอบเรียนรู้ท่าทาง ฉับพลัน ไม้เรียวก็ฟาดลงบนตัวเขาเสียงดังแจ๊บ เมื่อไม้เรียวสัมผัสร่างกาย ความเจ็บปวดราวกับระเบิดออกมาจากรอยต่อกระดูก
ความเจ็บปวดรุนแรงพร้อมความรู้สึกอ่อนแรงหนาวเหน็บ ทำให้เฉินจี้แทบจะสลบ เขารีบทำท่าตามศิษย์พี่ทั้งสอง ส่วนเฒ่าเหยาหัวเราะเยาะ "อย่ามาแกล้งทำอ่อนแอที่นี่ ใช้ไม่ได้หรอก อย่าคิดว่าประจบเอาใจแล้วข้าจะไม่ตีเจ้า"
พูดพลางฟาดไม้เรียวลงบนตัวศิษย์พี่ร่างผอมสูง "หลิวชวีซิง ข้าพูดถึงเจ้าไม่ใช่หรือ? เจ้ายืนท่าอะไรของเจ้าน่ะ?"
หลิวชวีซิงพูดเสียงจะร้องไห้ "อาจารย์ พวกเรามาเรียนแพทย์ไม่ใช่หรือ ทำไมต้องมาฝึกสิ่งนี้ทุกวันด้วย?"
เฒ่าเหยาหัวเราะเยาะพลางฟาดไม้เรียวอีกที "ยังกล้าเถียงอีก? สวรรค์มีสามล้ำค่า อาทิตย์ จันทร์ ดาว มนุษย์ก็มีสามล้ำค่าเมือนกันคือ จิต ลมปราณ วิญญาณ! ไร้ซึ่งสามสิ่งนี้ จะเรียนอะไรก็ไม่สำเร็จ!"
เพียงครู่เดียว ศิษย์พี่น้องทั้งสามถูกไม้เรียวฟาดจนร้องโหยหวน เฉินจี้เพิ่งเคยถูกลงโทษเป็นครั้งแรก และยังเป็นคนที่โดนมากที่สุดในสามคน เพราะเขาไม่คุ้นเคยกับท่าทางนี้มากที่สุด
แต่ในจังหวะหนึ่งของการยืนฝึกท่า กระแสอุ่นสายหนึ่งพุ่งออกมาจากบั้นเอวของเฉินจี้ ค่อยๆ ต้านทานความเย็นจากคืนก่อน
กระแสอุ่นนี้มีบ้างไม่มีบ้าง... หรือพูดอีกอย่างคือ เมื่อท่าทางถูกต้อง มันก็เกิดขึ้น ท่าทางผิด มันก็หายไป
เฉินจี้ปรับท่าทางตามความรู้สึก เมื่อมีกระแสอุ่นพุ่งออกมาจากบั้นเอวก็รักษาท่าทางนั้นไว้ไม่ขยับ ราวกับมีคนเตรียมคำตอบไว้ให้แล้ว แค่ทำตามก็พอ
เฒ่าเหยาเดินมาข้างกายเขาในตอนนี้ ตั้งใจจะฟาดไม้เรียวสักที แต่กลับพบว่าท่าทางของเฉินจี้ถูกต้องสมบูรณ์ มือที่ยกขึ้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะฟาดลงมา...
ต่อมา เฒ่าเหยาถึงกับไม่มองเขาอีก เอาแต่ฟาดศิษย์พี่อีกสองคน
เฉินจี้ไม่รู้ว่าท่าทางนี้มีอะไรพิเศษ ถึงสามารถต้านทานกระแสน้ำแข็งได้ เขาแอบสังเกตท่าทางของศิษย์พี่คนอื่น ดูเหมือนพวกเขาจะไม่รู้สึกถึงประโยชน์ของการยืนฝึกท่านี้เลย
เขาเป็นคนเดียวที่รู้สึกถึงกระแสอุ่นนี้หรือ?
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม กระแสน้ำแข็งในร่างเฉินจี้ถูกกดไว้ กลับไปอยู่นิ่งที่ต้นกำเนิดพลัง เขาถอนหายใจโล่งอก หากกระแสน้ำแข็งนี้ยังอาละวาดต่อ ตัวเขาจะรอดชีวิตวันนี้หรือไม่ก็ยากจะบอกได้
เฒ่าเหยาหัวเราะเยาะ "พอได้แล้ว การเรียนเช้าวันนี้จบ เฉินจี้มีพัฒนาการ"
ศิษย์พี่น้องทั้งสามแสยะยิ้มด้วยความเจ็บปวด นวดคลำบาดแผลบนร่างกาย ตอนนี้ถ้าถอดเสื้อออก รับรองว่าทั้งตัวคงช้ำม่วงไปหมด
"รีบไปรอญาติพี่น้องที่หน้าโถงหลักซะ วันนี้เป็นวันจ่ายค่าเล่าเรียน ถ้าข้าไม่เห็นเงินค่าเล่าเรียน พวกเจ้าก็รีบเก็บข้าวของกลับบ้านไปซะ!" เฒ่าเหยาพูดเสียงเย็น "เฉินจี้ เดี๋ยวญาติพี่น้องเจ้ามาแล้วอย่าลืมเรียกเก็บเงิน ค่ายาเมื่อคืนสามร้อยยี่สิบอีแปะ ขาดไม่ได้แม้แต่อีแปะเดียว"
เฉินจี้ชะงักไปครู่หนึ่ง
ญาติพี่น้อง...
ในโลกนี้เขายังมีญาติพี่น้องอยู่หรือ?
(จบบทที่ 7)