บทที่ 45 ทะลวงขั้น 3 ล้อมด้วยวิญญาณอาฆาต!
ลู่เฉินดวงตาเป็นประกาย
เขาจ้องมองลู่จี้ฟู่พลางถามว่า "แปลกประหลาดอย่างไร เล่าให้ฟังหน่อย!"
ลู่จี้ฟู่กล่าวว่า "ในส่วนที่ลึกที่สุดของหุบเขามีถ้ำแห่งหนึ่ง มืดสนิท ปากถ้ำแผ่กลิ่นอายน่าขนลุก พลังวิญญาณใดๆ ก็ไม่สามารถแผ่ขยายได้!"
"ข้าน้อยเคยส่งคนไปสำรวจหลายคน แต่ไม่มีใครรอดชีวิตกลับออกมาได้ นานวันเข้า ที่นั่นก็กลายเป็นสถานที่ต้องห้าม ข้าน้อยก็เลยลืมการมีอยู่ของมันไป"
เมื่อคำพูดจบลง
ลู่เฉินรู้สึกตื่นเต้นในใจอย่างห้ามไม่อยู่
เขามีลางสังหรณ์ว่าถ้ำที่ลู่จี้ฟู่พูดถึงนี้ อาจเป็นทางเข้าสู่เหวสวรรค์ก็เป็นได้
คิดได้ดังนั้น
ลู่เฉินลุกขึ้น โบกมือพลางกล่าวว่า "เอาละ ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าถอยไปได้!"
ลู่จี้ฟู่งุนงง แต่ก็ค้อมศีรษะอย่างนอบน้อมแล้วค่อยๆ ถอยออกจากท้องพระโรง
เว่ยเผิงกล่าวอย่างหนักแน่นว่า "ท่านแม่ทัพ ท่านคงไม่คิดจะไปที่ถ้ำนั้นกระมัง?"
ลู่เฉินพยักหน้า กล่าวว่า "มีปัญหาอะไรหรือ?"
เว่ยเผิงยิ้มกว้าง ส่ายหน้าพลางกล่าวว่า "ไม่มีปัญหาอะไร แต่ข้าต้องไปกับท่านแม่ทัพด้วย!"
เมื่อลู่จี้ฟู่บรรยายถ้ำนั้นว่าน่ากลัวถึงเพียงนั้น ย่อมต้องมีเหตุผล
จะปล่อยให้ลู่เฉินไปคนเดียวไม่ได้เด็ดขาด!
เมื่อเห็นท่าทางมุ่งมั่นของเว่ยเผิง ลู่เฉินก็ไม่ได้ปฏิเสธ กล่าวว่า "ได้ รอถึงตอนกลางคืนค่อยออกเดินทาง ให้หลงอี้นำกองทัพมังกรดำอยู่ที่นี่ คอยจับตาดูลู่จี้ฟู่"
เว่ยเผิงและหลงอี้ต่างพยักหน้ารับ
......
ค่ำคืนมาเยือน
ลู่เฉินและเว่ยเผิงแอบย่องเข้าไปในเทือกเขาต้วนเทียน
ก่อนหน้านี้
ลู่เฉินได้เพิ่มคุณสมบัติที่ได้รับรางวัลจากระบบเข้าไปในร่างกายและพละกำลัง พร้อมกับพลังวิญญาณที่พลุ่งพล่าน ทำให้วิทยยุทธ์บรรลุถึงขั้น 3!
[ผู้ใช้: ลู่เฉิน]
[ระดับขั้น: นักยุทธ์ระดับ 3]
[ร่างกาย: 40]
[พละกำลัง: 40]
[จิตใจ: 40]
[คุณสมบัติที่ใช้ได้: 1]
มองดูหน้าต่างคุณสมบัติของตน ลู่เฉินคาดเดาในใจว่า "คงเป็นการเลื่อนขั้นแบบทวีคูณ ถ้าเป็นเช่นนั้น คุณสมบัติทั้งสามต้องถึง 60 จึงจะทะลวงถึงนักยุทธ์ขั้น 4 ได้"
หากเป็นเช่นนั้นจริง
ลู่เฉินต้องยึดเมืองได้อีกอย่างน้อยสามเมืองจึงจะมีโอกาสบรรลุถึงขั้น 4 ใช้เวลานานเกินไป เขารอไม่ไหว!
ดังนั้น การอัพเกรดระบบจึงเร่งด่วนอย่างยิ่ง!
"ท่านแม่ทัพ พวกเรามาถึงแล้ว!"
เว่ยเผิงกล่าวอย่างจริงจัง กำหอกในมือแน่น ชี้ไปที่ปากถ้ำมืดดำน่าขนพองสยองเกล้าเบื้องหน้า
ลู่เฉินรวบรวมสมาธิ จ้องมอง
ปากถ้ำไม่เล็กนัก ดูคล้ายประตูหินโบราณ สองข้างสลักอักขระลึกลับซับซ้อน
โดยเฉพาะกลิ่นอายประหลาดที่แผ่ออกมา ทำให้ผู้คนรู้สึกหนาวสั่น
"ถ้ำนี้ ไม่ธรรมดาจริงๆ!"
ลู่เฉินพึมพำเบาๆ
เว่ยเผิงสำรวจรอบด้านอย่างระมัดระวัง ถามว่า "ท่านแม่ทัพ พวกเราจะเข้าไปจริงๆ หรือ?"
ลู่เฉินพยักหน้า
สูดหายใจลึก ไม่ลังเลที่จะก้าวเข้าไปข้างใน เว่ยเผิงตกใจ รีบตามไปติดๆ!
เมื่อเข้าไปในถ้ำ
โดยรอบมืดจนยกมือขึ้นดูนิ้วตัวเองยังไม่เห็น
เว่ยเผิงหยิบเหล็กไฟออกจากอก เปลวไฟริบหรี่พอให้ทั้งสองมองเห็นทางเดินเบื้องหน้า
ทางเดินอุโมงค์มืดดำดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งสองเดินมานานแต่ก็ยังไม่เห็นแสงสว่างใดๆ
"ไม่ถูกต้อง เดินมาไกลขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงไม่มีทีท่าว่าจะถึงจุดสิ้นสุดเลย?"
น้ำเสียงของเว่ยเผิงแฝงความกังวล
กลิ่นอายประหลาดในถ้ำขัดขวางการแผ่ขยายของพลังวิญญาณ ทำให้ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า
เขายอมต่อสู้ถึงตายกับยอดฝีมือเสียยังดีกว่าติดอยู่ในความมืดที่ไม่มีที่สิ้นสุดเช่นนี้
ลู่เฉินขมวดคิ้ว ไม่พูดอะไร
ทางเดินนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีที่สิ้นสุด เพียงแต่ทั้งสองยังหาทางออกไม่พบ
ฟู่!
ทันใดนั้น ลมเย็นยะเยือกพัดผ่านมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย กลิ่นเน่าเหม็นบาดจมูก ชวนให้อาเจียน
"ท่านแม่ทัพ ระวัง อาจมีพิษ!"
เว่ยเผิงรู้สึกถึงอันตรายอย่างว่องไว หยุดฝีเท้าทันที ประสาทตึงเครียดถึงขีดสุด
พลังวิญญาณอันเข้มข้นในร่างพลุ่งพล่าน
พยายามรวมพลังสร้างกำแพงป้องกันการรุกรานของกลิ่น แต่กลับพบว่าพลังวิญญาณถูกขังอยู่ในร่าง ไม่สามารถเรียกใช้ได้
ลู่เฉินยกมือปิดจมูกและปาก กล่าวเบาๆ ว่า "กลิ่นนี้แม้จะน่ารังเกียจ แต่น่าจะไม่มีพิษ"
ลู่จี้ฟู่เคยบอกว่า
เขาส่งคนมามากมาย แต่ในทางเดินมืดเมื่อครู่กลับไม่มีโครงกระดูกใดๆ
นั่นหมายความว่า พวกเขาต้องเข้าไปในที่ที่ลึกกว่านี้ และไม่ได้ตายเพราะพิษจากกลิ่นเน่าเหม็นนี้
"ท่านแม่ทัพ มีแสง!"
ในตอนนั้น
ดวงตาเหี้ยมเกรียมของเว่ยเผิงจับจ้อง มองเห็นแสงสีเขียวริบหรี่วูบผ่านเบื้องหน้า ดีใจจนตัวโยน
ตอนนี้เขาไม่สนใจแล้วว่าข้างหน้าจะมีอันตรายอะไร ขอแค่ได้ออกจากที่มืดมิดไร้ที่สิ้นสุดนี้ก็พอ!
ทั้งสองเร่งฝีเท้า
ภายใต้แสงไฟริบหรี่ แสงสีเขียวเบื้องหน้ายิ่งชัดเจนขึ้น
เลี้ยวผ่านมุมหนึ่ง
ทั้งสองออกจากทางเดินมืด สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาคือสถานที่ที่ดูคล้ายสังเวียนต่อสู้ กำแพงขรุขระเว้าแหว่งฝังเทียนไขไว้ เปลวไฟริบหรี่สั่นไหว
กลิ่นเน่าเหม็นและคาวเลือดโชยมา ราวกับได้กลิ่นความตาย
พื้นปูด้วยหินก้อนมหึมาเย็นเยียบ การกัดกร่อนของกาลเวลาทำให้พื้นผิวเต็มไปด้วยคราบเลือดสีแดงคล้ำและรอยขีดข่วนลึก
รอบด้านเกลื่อนกลาดไปด้วยอาวุธหักและเกราะแตก รวมถึงกระดูกสัตว์ที่ไม่สมบูรณ์ ส่องประกายน่าขนลุกในแสงสลัว
"ที่นี่ น่าขนลุกจริงๆ!"
เว่ยเผิงเก็บเหล็กไฟ มองไปรอบๆ พลางกล่าว
ลู่เฉินไม่ได้สนใจ สายตามองไปที่โครงกระดูกไม่กี่ชุดข้างๆ ขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า "พวกนี้น่าจะเป็นคนที่ลู่จี้ฟู่ส่งเข้ามา"
แม้โครงกระดูกเหล่านี้จะดูน่ากลัว แต่กระดูกยังไม่เน่าเปื่อยทั้งหมด เมื่อพิจารณาจากสภาพแวดล้อมที่มืดและชื้น เวลาตายไม่น่าจะเกินสามเดือน!
เว่ยเผิงเดินเข้าไปใกล้ ถามอย่างงุนงงว่า "ทำไมพวกเขาถึงตายที่นี่? และใครเป็นคนฆ่า?"
ลู่เฉินส่ายหน้า แสดงว่าไม่รู้
เอี๊ยด! เอี๊ยด!
ทันใดนั้น เสียงประหลาดน่าขนลุกดังมาจากทุกทิศทุกทาง ราวกับเสียงกระดูกเสียดสีกัน
เปลวเทียนบนผนังสั่นไหวรุนแรง เปลวไฟกระพริบเป็นแสงสีเขียวประหลาด
ลมเย็นพัดโหมกระหน่ำ พัดฝุ่นฟุ้งกระจาย ข้างหูราวกับมีเสียงครวญครางของวิญญาณนับไม่ถ้วน!
"ระวัง!"
ลู่เฉินตะโกนขึ้นทันที!
เว่ยเผิงหันไปมอง เห็นร่างโครงกระดูกถือดาบยาวโปร่งแสงพุ่งเข้ามา!
"อยากตาย!"
เว่ยเผิงตะโกน
หอกในมือหมุนควงทันที พุ่งลงมาจากฟากฟ้า ฟันฉับพลัน พยายามจะฟันร่างโครงกระดูกให้แหลกละเอียด
แต่!
เมื่อหอกสัมผัสร่างโครงกระดูก กลับทะลุผ่านร่างไปโดยไม่มีแรงต้าน ฟาดลงพื้นอย่างหนัก ทำให้เกิดหลุมลึก
"ไม่ดีแล้ว! เป็นวิญญาณอาฆาต!"
เว่ยเผิงตกใจสุดขีด!
วิญญาณอาฆาตไม่แยแสการโจมตีทางกายภาพใดๆ มันคือวิญญาณที่เกิดจากความแค้นและความอับอายของผู้ตายที่รวมตัวกัน
หากไม่ระวัง วิญญาณอาฆาตจะเข้าสิงร่าง ทำลายจิตวิญญาณ นำไปสู่ความตาย!
เขาจึงเข้าใจ
ว่าทำไมคนที่ลู่จี้ฟู่ส่งเข้ามาถึงต้องตายอย่างอนาถที่นี่ เห็นได้ชัดว่าถูกวิญญาณอาฆาตสังหาร!
ต่อมา!
วิญญาณอาฆาตนับไม่ถ้วนปรากฏออกมาจากผนัง ทั่วร่างเรืองแสงสีเขียว ลอยวนเวียนรอบด้านอย่างน่าสะพรึงกลัว พร้อมจะโจมตีทั้งสองคนได้ทุกเมื่อ!
"ท่านแม่ทัพ รีบออกไปจากที่นี่!"
เว่ยเผิงสะพายหอก ยกมือคว้าไหล่ของลู่เฉิน ต้องการพาเขาออกไปจากที่นี่
แม้แต่ยอดฝีมือขั้น 9 เมื่อเผชิญกับวิญญาณอาฆาตมากมายเช่นนี้ ก็ไม่รู้จะจัดการอย่างไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการต่อต้าน!
ลู่เฉินก็ไม่ลังเล
แต่ในตอนที่ทั้งสองกำลังจะออกไป ทางเดินด้านหลังก็หายวับไปในพริบตา วิญญาณอาฆาตรอบด้านล้อมทั้งสองคนไว้
เว่ยเผิงย่อตัวลงเล็กน้อย พลังวิญญาณในร่างพลุ่งพล่าน กล่าวพลางหัวเราะขื่นๆ ว่า "ท่านแม่ทัพ ดูเหมือนพวกเราจะรอดยากเสียแล้ว!"
(จบบท)