บทที่ 277 กฎเกณฑ์
บทที่ 277 กฎเกณฑ์
“หันกลับมาตาย?!”
ฟางจือสิงตัวแข็งทื่อทันที คอของเขาเกร็งแน่นขึ้นมา
“ร่างแยกของเสี่ยวโก่วถูกฆ่าทันทีที่หันกลับมาแน่นอน”
“แต่เมื่อกี้ ข้าเองก็ยืนอยู่ตรงบันไดแล้วหันกลับไปมองรอบ ๆ เช่นกัน...”
ฟางจือสิงกะพริบตา ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในใจอย่างรวดเร็ว
“กฎของ ‘หันกลับมาตาย’ อาจมีผลแค่ที่บันไดนี้เท่านั้น!”
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เขาก็รีบส่งเสียงไปบอกเสี่ยวโก่วทันที
“ว่าไงนะ?!”
เสี่ยวโก่วอ้าปากค้าง ไม่อยากเชื่อ “แค่หันกลับก็ตายเลยเหรอ?! นี่มันเป็นกฎสังหารชัด ๆ!”
ฟางจือสิงตอบกลับ “เจ้าสามารถหันกลับได้อย่างอิสระเมื่ออยู่ด้านล่างบันได เราทดสอบแล้วเมื่อกี้ ตอนนี้ข้ายังไม่แน่ใจว่าด้านบนของบันไดจะเป็นเช่นเดียวกันหรือไม่”
เสี่ยวโก่วเข้าใจทันที
เขายังเหลืออีกเจ็ดชีวิต!
“เฮ้อ ข้าต้องเป็นคนแบกรับเรื่องพวกนี้อีกแล้วสินะ...”
เสี่ยวโก่วสร้างร่างแยกขึ้นมาอีกตัวเพื่อทดสอบ
ฟึ่บ!
ร่างแยกพุ่งผ่านบันไดไปข้างหน้าฟางจือสิง และกระโดดลงไปบนพื้นหญ้า
จากนั้นเขาค่อย ๆ หันหัวกลับมา มองตรงไปยังฟางจือสิง
หนึ่งคนหนึ่งสุนัขจ้องกันครู่หนึ่ง
“ไม่เป็นอะไร!”
ฟางจือสิงคิดว่าเป็นไปตามที่คาด เขาก้าวผ่านบันไดขั้นสุดท้ายแล้วหันกลับไป
“ปลอดภัยแล้ว ขึ้นมาเถอะ!”
เสี่ยวโก่วรีบวิ่งขึ้นมา หันไปมองบันไดอย่างลึกซึ้งก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงไม่อยากเชื่อ “บันไดนี้ก็ดูธรรมดาดีแท้ ๆ แต่ทำไมถึงมีกฎสังหารที่น่ากลัวแบบนี้?”
ฟางจือสิงครุ่นคิด “อืม เขตต้องห้ามระดับห้าช่างแปลกประหลาดจริง ๆ ถึงขั้นมี ‘กฎสังหาร’ ด้วย เราต้องระวังให้มากขึ้น”
หนึ่งคนหนึ่งสุนัขเดินอย่างระมัดระวังต่อไป จนมาถึงสะพานไม้เล็ก ๆ ริมแม่น้ำ
ร่างแยกของเสี่ยวโก่วก้าวขึ้นไปสำรวจ ก่อนจะก้าวขึ้นสะพานเป็นคนแรก แล้วจู่ ๆ ก็ดิ้นพล่านล้มลงไป
“อ๊าาา!”
ร่างแยกของเสี่ยวโก่วตัวสั่นสะท้าน กุมหน้าอกตัวเองพลางร้องว่า “เจ็บเหลือเกิน หัวใจข้า!”
“เกิดอะไรขึ้น?!”
ฟางจือสิงและเสี่ยวโก่วตัวจริงตกใจหนัก
ในชั่วพริบตา ร่างแยกก็แน่นิ่งไปก่อนจะสลายหายไปเอง
สูญเสียไปอีกหนึ่งชีวิต!
เสี่ยวโก่วหน้าซีดเผือด พูดอย่างหวาดกลัว “ข้าก้าวขึ้นสะพานแล้วจู่ ๆ ก็รู้สึกว่าใจเจ็บปวดราวกับมันหยุดเต้น แล้วข้าก็ตายเลย”
ฟางจือสิงขมวดคิ้ว จ้องมองสะพานไม้อย่างละเอียดแต่ไม่พบสิ่งผิดปกติ
เสี่ยวโก่วโกรธจัด “จะบอกว่าเป็น ‘หันกลับมาตาย’ อีกเหรอ? แต่คราวนี้ข้ายังไม่ทันหันกลับเลยนะ!”
เขามองไปที่แม่น้ำด้วยความหงุดหงิด “หรือข้าควรกระโดดข้ามไปเลย? แม่น้ำนี้ก็ดูไม่กว้างนัก”
ฟางจือสิงยกมือห้าม “อย่าเพิ่งด่วนสรุป บางทีสะพานไม้นี้อาจมี ‘กฎสังหาร’ เช่นกัน เราควรตรวจสอบให้แน่ชัดก่อน”
เสี่ยวโก่วเดินไปเดินมาข้างแม่น้ำอย่างกระวนกระวาย
ฟางจือสิงตรวจดูแผ่นไม้และเสาของสะพาน แต่ก็ไม่พบอักษรใดสลักไว้
“ร่างแยกแค่เดินขึ้นสะพานไปเฉย ๆ ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรพิเศษเลย...”
ฟางจือสิงนึกย้อนกลับไป ก่อนจะถามว่า “เสี่ยวโก่ว เจ้าเริ่มรู้สึกเจ็บใจตั้งแต่ก้าวที่เท่าไหร่?”
เสี่ยวโก่วตอบทันที “ข้าเดินไปสามก้าว แต่เริ่มเจ็บตั้งแต่ก้าวแรกแล้ว”
ฟางจือสิงสายตาเป็นประกาย คิดวิเคราะห์ “ถ้าเป็นเช่นนั้น ก้าวแรกอาจเป็นการละเมิด ‘กฎ’... แต่มันเป็นกฎอะไร?”
เสี่ยวโก่วประชด “หรือว่าข้าต้องคุกเข่าก่อนข้ามสะพาน?”
ฟางจือสิงหัวเราะ “ถ้าเดินปกติไม่ได้ บางทีการคลานข้ามไปอาจได้ผล”
เสี่ยวโก่วหน้าบูดบึ้ง “กฎสังหารบ้าบออะไรเนี่ย? ไม่มีคำใบ้เลย จะให้พวกเราตายฟรี ๆ หรือไง?”
ฟางจือสิงขมวดคิ้ว ครุ่นคิดว่า “กฎสังหารทั้งหมดเป็นแบบ ‘ถูกกระทำ’ เท่านั้น กล่าวคือ เราจะถูกฆ่าเมื่อทำผิดกฎ”
ภาพเหตุการณ์ก่อนหน้าผุดขึ้นมาในหัวของเขา แล้วจู่ ๆ เขาก็ตื่นตัวขึ้นมา
“เสี่ยวโก่ว สร้างร่างแยกขึ้นมาอีกตัว”
เสี่ยวโก่วมองค้อน “ข้าเหลือแค่หกชีวิตแล้วนะ ประหยัดหน่อยเถอะ”
แม้จะบ่น แต่เขาก็ทำตามคำสั่ง
ฟางจือสิงรีบพูดว่า “เมื่อคราวที่แล้ว เจ้าใช้เท้าซ้ายก้าวขึ้นสะพาน คราวนี้ให้ก้าวเท้าขวาแทน”
เสี่ยวโก่วกลอกตา “ก้าวเท้าซ้ายขึ้นสะพานแล้วตายเลยเนี่ยนะ?”
ร่างแยกของเสี่ยวโก่วใช้เท้าขวาก้าวขึ้นสะพานอย่างระมัดระวัง แล้วก้าวต่อไปเรื่อย ๆ จนข้ามสะพานได้โดยไม่เป็นอะไร
“บัดซบ!”
เสี่ยวโก่วสบถออกมาอย่างเหลืออด “ไอ้กฎโง่นี่มันอะไรกันเนี่ย?! คิดจะเล่นหมาอย่างข้าใช่ไหม?!”
ฟางจือสิงก็อึ้งเช่นกัน ก่อนจะก้าวเท้าขวาขึ้นสะพานแล้วเดินตามไป
เสี่ยวโก่วเดินตามมาข้าง ๆ ด้วยความสงสัย พลางเอ่ยถามว่า "ถ้าพวกเรากระโดดข้ามแม่น้ำไป จะเกิดอะไรขึ้น?"
ฟางจือสิงตอบว่า "ถ้าข้าเดาไม่ผิด ด่านแต่ละด่านที่นี่ล้วนมีเงื่อนไขของมัน ข้ามสะพานก็มีเงื่อนไข กระโดดลงแม่น้ำก็คงมีเงื่อนไขเช่นกัน"
เสี่ยวโก่วจ้องลึกลงไปในลำธารเล็ก ๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลังเลแล้วตัดสินใจไม่ลองเสี่ยง
ร่างแยกเงายังคงเดินตามทางเล็ก ๆ ไปข้างหน้า ไม่ได้เดินไปไกลนัก ก็เห็นกระท่อมมุงจากหลายหลังเรียงรายอยู่เบื้องหน้า ก่อตัวเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ
ถนนในหมู่บ้านเป็นหลุมเป็นบ่อ มองเห็นคอกไก่ คอกสุนัข และสัตว์เลี้ยงอย่างวัวกับแพะถูกขังเอาไว้
ไม่ไกลจากนั้นมีบ่อน้ำอยู่ข้าง ๆ กับแท่นโม่หิน
ภายใต้ความมืดของราตรี หมู่บ้านเงียบสงัด ไร้สุ้มเสียงใด ๆ
เสี่ยวโก้วยื่นหูฟัง ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงเบาว่า "ข้าได้ยินเสียงลมหายใจและเสียงหัวใจเต้น มีคนอาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้"
ฟางจือสิงรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมา ตอบกลับว่า "พวกเราหาที่ซ่อนก่อน รอจนเช้าค่อยว่ากัน"
เสี่ยวโก่วพยักหน้ารับ
ฟางจือสิงนั่งขัดสมาธิลง วางดาบหมื่นบุรุษบนตัก
เสี่ยวโก่วเรียกเงาร่างแยกกลับมา แล้วนอนลงข้าง ๆ ฟางจือสิง
ไม่นานนัก เขาก็รู้สึกกระหายน้ำขึ้นมา
ฝุ่นเถ้าภูเขาไฟที่ปกคลุมไปทั่วทำให้คอแห้งผากมานานแล้ว
เสี่ยวโก่วลุกขึ้น เดินไปที่บ่อน้ำ แล้วก้มลงมองลงไป
พลั่ก!
ในเสี้ยววินาที เสี่ยวโก่วตกลงไปในบ่อ ส่งน้ำกระเซ็นสูงขึ้นมา
"แม่เจ้า!"
เสียงร้องตกใจของเสี่ยวโก่วดังลั่น
ทันใดนั้น สุนัขทั้งหมู่บ้านก็พากันเห่าหอนสนั่น
ฟางจือสิงสะดุ้งลุกขึ้น ดาบหมื่นบุรุษแน่น
จากบ่อน้ำ ปรากฏเงาร่างลอยขึ้นมาอย่างชัดเจน เป็นเสี่ยวโก่วที่ฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้ง
"เวรเอ้ย ตายอีกแล้ว!"
เสี่ยวโก่วขนลุกชันไปทั้งร่าง ตอนนี้เขาเหลือเพียงห้าชีวิตแล้ว
ฟางจือสิงถามว่า "เกิดอะไรขึ้น?"
เสี่ยวโก่วตอบกลับทันที "ข้าแค่ก้มลงไปดูในบ่อ แล้วก็ร่วงลงไปทันที น้ำในบ่อไหลทะลักเข้าปากข้า ข้าถูกมันทำให้จมน้ำตาย"
"แล้วเจ้ามองเห็นอะไรในบ่อน้ำบ้าง?"
"ข้างในมืดสนิท ข้ามองไม่เห็นอะไรเลย"
ฟางจือสิงกำลังจะพูดต่อ ทันใดนั้น มีแสงสว่างส่องมาจากด้านข้าง
ภายในกระท่อมมุงจากหลังหนึ่ง มีแสงไฟลุกขึ้น
เสียงประตูไม้ดังเอี๊ยด
หญิงชราผู้หนึ่งถือโคมไฟออกมา เธอเพ่งมองฟางจือสิงและเสี่ยวโก่วด้วยสายตาไม่แน่ใจ แล้วถามว่า
"พวกเจ้าเป็นใคร มาทำอะไรที่หมู่บ้านของเรา?"
ฟางจือสิงก็จับตามองหญิงชราเช่นกัน
เธอมีผมขาวโพลน ร่างกายโค้งงอ สวมชุดผ้าลินินสีเทา พลังชีวิตอ่อนแอ ดูเหมือนเป็นแค่หญิงชราธรรมดาคนหนึ่ง
"ท่านยาย ขอโทษที่รบกวน ข้ามาจากแดนไกล หลงทางอยู่ กำลังหาที่พักค้างคืน"
หญิงชรากะพริบตาสองสามครั้ง ก่อนจะถามด้วยความสงสัย
"เจ้ามาจากทางสะพานไม้ที่ปลายบันไดหินนั่นหรือ?"
ฟางจือสิงชี้ไปทางด้านหลัง พลางตอบว่า "ใช่ ข้ามาทางนั้น"
สีหน้าหญิงชราเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด หลุดปากกล่าวว่า "เจ้ายังมีชีวิตอยู่? เจ้ารู้กฎของหมู่บ้านเรางั้นหรือ? ถ้าไม่รู้กฎ เจ้าผ่านมาถึงนี่ได้อย่างไร?"
ฟางจือสิงฉุกคิด ก่อนจะตอบอย่างรวดเร็วว่า "ข้าก็แค่เดินมา ไม่รู้ว่ามีเงื่อนไขอะไรอยู่เหมือนกัน พอจะบอกข้าได้ไหม?"
"เดินเข้ามาได้อย่างนั้นรึ?!"
หญิงชราตกตะลึงเป็นอย่างมาก ก่อนจะพึมพำว่า "เจ้านี่ดวงแข็งจริง ๆ!"
ฟางจือสิงถามว่า "ท่านยาย หมู่บ้านของท่านมีกฎมากมายหรือ? ข้าเป็นคนต่างถิ่น ไม่รู้อะไรเลย ท่านช่วยบอกข้าได้หรือไม่?"
หญิงชราส่ายหัวทันที "หนุ่มน้อย เจ้ารู้กฎของหมู่บ้านหรือเปล่า? กฎของหมู่บ้านเรามีแต่คนในหมู่บ้านเท่านั้นที่รู้ ห้ามบอกคนนอกเด็ดขาด บ้านเกิดของเจ้าก็เป็นเช่นนี้หรือไม่?"
ฟางจือสิงรีบกล่าวว่า "ไม่ปิดบังท่าน ข้าเติบโตมาในป่าเขา อยู่กับพ่อมาตลอด ไม่เคยได้พบผู้คนภายนอก
ไม่นานมานี้ พ่อข้าจากไปแล้ว ข้าจึงออกจากภูเขา ข้าไม่รู้เรื่องกฎระเบียบของโลกภายนอกเลย"
หญิงชรานิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะตวาดขึ้นว่า "อย่ามาหลอกยายคนนี้ ข้าไม่เชื่อหรอก"
ฟางจือสิงยกมือขึ้นอย่างจนใจ "เชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ท่าน ข้าขอแค่พักค้างคืนที่นี่ รอจนเช้าแล้วข้าจะไปเอง"
หญิงชราลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า "ข้าต้องไปถามผู้ใหญ่บ้านก่อน"
พูดจบ ประตูอีกหลายบ้านในหมู่บ้านก็ถูกเปิดออก
หญิงชรารีบโบกมือเรียก "ผู้ใหญ่บ้าน มีคนนอกเข้ามาในหมู่บ้านเรา!"
ไม่นานนัก ชายชราผู้หนึ่งเดินออกมา เขามีใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น สวมเสื้อคลุมบาง ๆ และถือไม้เท้า เดินมาพร้อมกับชายหนุ่มอีกสามถึงห้าคน
ชายชราจ้องมองฟางจือสิงลึก ๆ ก่อนจะเหลือบมองดาบในมือของเขา ดวงตาหรี่ลงทันที
คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน ก่อนจะโบกมือเรียก "เจ้าเป็นคนนอกใช่หรือไม่ มานั่งคุยกันในบ้านข้าก่อน"
ฟางจือสิงกล่าวทันที "ขอบคุณท่านผู้ใหญ่บ้าน"
เขากับเสี่ยวโก่วจึงเดินตามชายชราเข้าไปนั่งในกระท่อมมุงจาก
ฟางจือสิงกวาดตามองรอบห้อง และพบว่าทุกสิ่งทุกอย่างในนี้ ตั้งแต่เฟอร์นิเจอร์ไปจนถึงของใช้ในชีวิตประจำวัน ล้วนทำขึ้นด้วยมือทั้งหมด แม้แต่ถ้วยข้าวก็ยังเป็นถ้วยไม้ ไม่มีเครื่องเคลือบสักชิ้นเดียว
ผู้ใหญ่บ้านครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าเป็นคนจากดันโจวสินะ?”
ทันทีที่ได้ยินคำถามนี้ ฟางจือสิงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที รีบตอบกลับไปว่า “ท่านก็เหมือนกันหรือ?”
ผู้ใหญ่บ้านไม่ตอบคำถาม แต่กลับถามกลับว่า “ดันโจวยังถูกปกครองโดยสี่ตระกูลใหญ่อยู่หรือไม่?”
ฟางจือสิงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้ารับ “ใช่”
ผู้ใหญ่บ้านถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “เมื่อหลายปีก่อน บรรพบุรุษของข้าก็เป็นคนจากดันโจว แต่ถูกตระกูลหลัวจับตัวไปเป็นทาส
ต่อมาตระกูลหลัวได้โยนพวกเขาเข้ามาในเขตต้องห้ามระดับห้าแห่งนี้ พร้อมกับคำสั่งให้สำรวจพื้นที่ หากมีใครรอดชีวิตออกไปได้ก็จะได้รับรางวัลอันมั่งคั่ง
แต่บรรพบุรุษของข้ากลับปรับตัวเข้ากับที่นี่ได้อย่างรวดเร็ว ทว่าพวกเขาไม่คิดจะจากไป กลับเลือกที่จะตั้งรกรากและสืบทอดเผ่าพันธุ์ที่นี่”
ฟางจือสิงถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกใจ “คนภายนอกสามารถอยู่ในเขตต้องห้ามระดับห้าได้อย่างนั้นหรือ?”
“ฮึ! ทำไมจะอยู่ไม่ได้?”
ผู้ใหญ่บ้านหัวเราะเบา ๆ “บรรพบุรุษของข้าคิดว่าที่นี่คือแดนสุขาวดีที่สามารถหลบหนีจากการกดขี่ของสี่ตระกูลใหญ่ได้”
ฟางจือสิงรู้สึกเคารพยิ่งนัก ยกมือคารวะและกล่าวว่า “ผู้ใหญ่บ้าน ข้าขอเรียนถามกฎเกณฑ์ของที่นี่ได้หรือไม่?”
ผู้ใหญ่บ้านตอบว่า “กฎเกณฑ์ของที่นี่ไม่ได้ถูกกำหนดขึ้นโดยเรา แต่มันมีอยู่มาตั้งแต่ต้นแล้ว ตัวอย่างเช่น บันไดหินที่ทางเข้าหมู่บ้านถูกสร้างขึ้นโดยบรรพบุรุษของข้า
เมื่อบันไดหินปรากฏขึ้น กฎที่ว่า 'ห้ามหันหลังกลับ' ก็เกิดขึ้นตามมาโดยไร้เหตุผล
เช่นเดียวกับสะพานไม้ ต้องก้าวเท้าขวาก่อนเสมอถึงจะเดินข้ามได้อย่างปลอดภัย
แม่น้ำสายเล็ก ๆ ก็มีข้อห้าม หากจะข้ามโดยเดินลุยน้ำ ห้ามถอดเสื้อผ้า
และบ่อน้ำเก่าก็เช่นกัน ห้ามมองลงไปในบ่อน้ำเด็ดขาดขณะตักน้ำ”
ฟางจือสิงหันไปสบตากับเสี่ยวโก่ว ทั้งคู่มีสีหน้าเต็มไปด้วยความฉงน “หากกฎเหล่านี้เกิดขึ้นเอง แล้วพวกท่านรู้ได้อย่างไร?”
ผู้ใหญ่บ้านเผยรอยยิ้มขมขื่น “แน่นอนว่าต้องใช้ชีวิตทดสอบมัน กว่าจะเข้าใจถึงกฎพวกนี้ต้องแลกมาด้วยชีวิตนับไม่ถ้วน”
ฟางจือสิงถึงกับสะท้านไปทั้งใจ
ให้ตายเถอะ! นี่มันเดิมพันด้วยชีวิตชัด ๆ! บรรพบุรุษของผู้ใหญ่บ้านนี่ก็ช่างกล้าหาญนัก ยอมเสี่ยงชีวิตอยู่ที่นี่ดีกว่าถูกกดขี่โดยสี่ตระกูลใหญ่
ฟางจือสิงคิดครู่หนึ่งก่อนถามว่า “เขตต้องห้ามระดับห้านี้กว้างขนาดไหน?”
ผู้ใหญ่บ้านส่ายหัว “ไม่รู้เหมือนกัน เราอยู่แต่ในหมู่บ้านนี้มาตลอด ไม่กล้าเดินทางไกล เพราะเราไม่รู้ว่ากฎของภูเขาเบื้องหน้าคืออะไร หรือกฎของป่าทางนั้นเป็นอย่างไร มันอันตรายเกินไป!”
ฟางจือสิงถามต่อ “กฎเหล่านี้ใช้กับทุกคนหรือไม่? หากเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับร้อยวัวฝืนกฎขึ้นมา เขาจะตายหรือไม่?”
ผู้ใหญ่บ้านยักไหล่ “ข้าไม่รู้แน่ชัด แต่มีคนที่ไม่เชื่ออยู่เสมอ”
“ตลอดเวลาที่ผ่านมา ท่านเคยพบผู้มาเยือนจากภายนอกหรือไม่?” ฟางจือสิงถาม
ผู้ใหญ่บ้านพยักหน้า “เคยมีคนจากสำนักลิ่วซวี่มาเยือน แต่เขาดื้อรั้น ไม่ยอมฟังคำเตือน ฝืนกฎและเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว”
ฟางจือสิงพยักหน้ารับ ขณะนั้นเสี่ยวโก่วใช้เสียงส่งกระแสจิตมาเตือนให้ถามวิธีออกจากที่นี่
“ผู้ใหญ่บ้าน ท่านรู้วิธีออกจากเขตต้องห้ามระดับห้านี้หรือไม่?”
“อืม!” ผู้ใหญ่บ้านตอบทันที “เมื่อภูเขาไฟหยุดปะทุและเถ้าถ่านกระจายหายไปแล้ว หากเจ้ากลับไปยังจุดที่เข้ามา เจ้าก็จะสามารถออกไปได้”
เขาเตือนว่า “ห้ามพลาดเด็ดขาด หากพลาด เจ้าต้องรอการปะทุครั้งต่อไป แต่การอยู่ที่นี่ไม่มีทางรู้เลยว่าครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นเมื่อใด”
ฟางจือสิงเข้าใจอย่างรวดเร็ว ก่อนถามต่อว่า “ข้าเคยได้ยินมาว่า มีศิลาจารึกที่สามารถแสดงอักษรเมื่อถูกละเลงด้วยเลือด ท่านเคยได้ยินเรื่องนี้หรือไม่?”
“ศิลาจารึกหรือ…”
ผู้ใหญ่บ้านขมวดคิ้วครู่หนึ่ง ก่อนจะตบต้นขาแล้วพูดว่า “มีอยู่จริง! อยู่หลังหมู่บ้านเรานี่เอง”
ฟางจือสิงรีบพูดว่า “ขอรบกวนท่านพาข้าไปดูหน่อยเถิด”
แต่สีหน้าของผู้ใหญ่บ้านกลับเต็มไปด้วยความลังเล เขานิ่งไปครู่ใหญ่และไม่พูดอะไรออกมา
ฟางจือสิงเห็นดังนั้นก็เปลี่ยนท่าที เขาพูดอย่างจริงจังว่า “ผู้ใหญ่บ้าน ข้าเข้ามาที่นี่โดยไม่ได้ตั้งใจ และไม่มีของมีค่าติดตัว ไม่รู้จะตอบแทนท่านได้อย่างไร”
พูดจบ เขาก็เปิดย่ามที่สะพายอยู่ หยิบของข้างในออกมา
ผู้ใหญ่บ้านมองเข้าไปด้านใน ดวงตาเต็มไปด้วยประกายความสนใจ ก่อนจะหัวเราะและกล่าวว่า
“ตอบแทนไม่จำเป็น ข้ามิใช่คนโลภ…”
ฟางจือสิงหยิบลูกธนูและวัสดุโลหะบางอย่างออกมาแล้วยื่นให้ “ขอให้ท่านรับไว้เถอะ”
ผู้ใหญ่บ้านรับมันมาด้วยสีหน้าชื่นชม เห็นได้ชัดว่าเขาพอใจมาก
เสี่ยวโก่วเหลือบมองด้วยความดูแคลน พึมพำว่า “จะไปเกรงใจทำไมกับตาแก่คนนี้ กดเขาลงไปเลย เขาจะกล้าขัดขืนหรือไง?”
ฟางจือสิงส่งกระแสจิตตอบกลับไปว่า “เป็นหมาอย่าหยิ่งนัก เราอยู่ในที่ของคนอื่น ต้องทำตัวให้ต่ำต้อยเข้าไว้”
..........