บทที่ 273 ทำไมจู่ๆ ถึงมีภรรยาโผล่มาอีกคน?
ตอนที่หลี่หลงออกจากลานบ้าน เขากำชับกู้เสี่ยวเซี่ยเป็นพิเศษว่าอย่าให้แม่ลูกคู่นั้นรู้ว่าลานบ้านอยู่ที่ไหน ถ้าอยากไปดูให้ไปดูที่ตลาดเสรีก็พอ ตอนนี้พวกเธอมีที่อยู่แล้วไม่จำเป็นต้องดึงความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นเกินไป
เพราะท้ายที่สุดแล้วพวกเธอไม่ใช่ญาติของเขา
ท่าทีที่ดูเหมือนจะป้องกันตัวของหลี่หลงทำให้กู้เสี่ยวเซี่ยรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่เพราะภาพลักษณ์ของหลี่หลงในสายตาเธอเป็นคนที่เชื่อถือได้อยู่แล้ว เธอจึงไม่ได้คิดอะไรมากและตอบตกลง
หลี่หลงขี่จักรยานกลับมาถึงบ้าน ในลานบ้านมีเพียงตู๋ชุนฟางอยู่
"แม่ครับ พ่อไปไหนล่ะ?" หลี่หลงจอดจักรยานให้เข้าที่แล้วถามตู๋ชุนฟางที่กำลังสับหญ้าให้หมู
ทุกเช้าหลี่ชิงเสียกับเถาต้าเฉียงจะออกไปเก็บอวน ตู๋ชุนฟางบางทีก็ไปช่วยบางทีก็ไปทำสวนหรือไปเก็บหญ้าให้หมูที่แปลงนาใกล้ๆ
ที่นี่ที่นาของทีมผลิตมีพื้นที่กว้างใหญ่ ตรงขอบคันนามักจะมีหญ้าป่าขึ้นเยอะซึ่งเป็นหญ้าที่หมูชอบกิน เธอแค่หยิบตะกร้าหรือถุงใส่ปุ๋ยมาสักใบ ไม่นานก็เก็บหญ้าได้เต็มตะกร้า
แม้ว่าบ้านหลี่จะมีอาหารสัตว์สำรองอยู่เยอะ แต่ตู๋ชุนฟางก็ยังคิดว่าควรหาอาหารสดอย่างหญ้าให้หมูกินบ้างจะดีกว่า
หมูที่บ้านหลี่โตเร็วมาก ด้วยอาหารที่มีอย่างเพียงพอตอนนี้พอเข้าช่วงเดือนกันยายนน้ำหนักแต่ละตัวก็ขึ้นไปถึงเจ็ดสิบถึงแปดสิบกิโลกรัมแล้ว แต่ก่อนกว่าจะเลี้ยงจนถึงสิ้นปีก็ได้แค่ขนาดเท่านี้เอง แต่ปีนี้ดูท่าว่าอาจจะเลี้ยงให้เกินหนึ่งร้อยกิโลกรัมได้เลย
หลี่หลงจำได้ว่าในชีวิตก่อนคนในทีมผลิตเลี้ยงหมูโดยใช้อาหารหลักเป็น ข้าวโพด ถั่วเหลือง รำข้าว และเศษอาหารจากน้ำมัน ถึงแม้ว่าจะเป็นหมูเนื้อแดงที่โตเร็วแต่พอถึงสิ้นปีเวลาฆ่าหมู เอาส่วนหัว ขา และเครื่องในออกแล้วยังได้น้ำหนักถึงหนึ่งร้อยสี่สิบกิโลกรัมอยู่ดี
หมูนี่ถ้าให้อาหารแบบเต็มที่ มันก็โตเร็วและตัวใหญ่จริงๆ
หลี่เจี้ยนกั๋วเคยพูดไว้แล้วว่าในจำนวนหมูที่เลี้ยงกันอยู่ตอนนี้จะเก็บแม่พันธุ์ไว้สองตัวเพื่อผสมพันธุ์ในปีหน้า ส่วนที่เหลือจะถูกฆ่าเพื่อขายก่อนสิ้นปี บางส่วนจะขายให้สถานีรับซื้อของหมู่บ้าน บางส่วนจะขายให้ชาวบ้านโดยตรงหรือไม่ก็เอาไปขายที่ตลาดเสรี
พอถึงตอนนั้นอากาศก็เย็นลงแล้วไม่ต้องกลัวว่าเนื้อจะเน่าเสีย อีกอย่างในหมู่บ้านเองก็มีไม่กี่บ้านที่เลี้ยงหมู พอเข้าหน้าหนาวเนื้อหมูสามารถเก็บแช่แข็งไว้ได้ ใครๆก็อยากซื้อเก็บไว้กินทั้งนั้น
ส่วนเรื่องพ่อพันธุ์ หลี่เจี้ยนกั๋วคิดไว้เรียบร้อยแล้วในหมู่บ้านมีหลายบ้านที่เลี้ยงหมู ทีมผลิตของหมู่บ้านข้างๆก็มีฟาร์มหมูของตัวเอง ที่นั่นใช้หมูพันธุ์ยูเครนไวท์ขนาดใหญ่เป็นพ่อพันธุ์ ถึงบ้านหลี่เองจะไม่ได้เลี้ยงพ่อพันธุ์ไว้แต่ก็สามารถจ่ายเงินเพื่อให้แม่พันธุ์ของบ้านตัวเองไปผสมได้
การให้บริการพ่อพันธุ์หมูสำหรับผสมพันธุ์ถือเป็นรายได้ที่ถูกต้องตามกฎหมายของเกษตรกรที่เลี้ยงหมูโดยเฉพาะ หลี่หลงยังจำได้ว่าอีกสองปีให้หลัง จะมีคนเริ่มเลี้ยงหมูพ่อพันธุ์โดยเฉพาะพอถึงช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิหรือต้นฤดูร้อนก็จะมีคนต้อนหมูพ่อพันธุ์ไปตามบ้านต่างๆเพื่อให้บริการผสมพันธุ์ ในตอนนั้นค่าเงินจะไม่แพงเหมือนตอนนี้ ค่าผสมพันธุ์ต่อครั้งแค่ห้าหรือสิบหยวนซึ่งสามารถทำเงินได้ไม่น้อยในแต่ละวัน
"พ่อไปดูต้นทานตะวันในนาแล้ว" ตู๋ชุนฟางพูดยิ้มๆ "ปลาขายหมดแล้วเหรอ? พ่อลูกบอกว่าปีนี้ทานตะวันโตดีมาก... พี่ชายลูกก็บอกว่า ลูกไปขนปุ๋ยคอกมาตั้งแต่ต้นปี ช่วยได้เยอะเลย"
"อืม ในภูเขามีปุ๋ยคอกเยอะเลยล่ะ" หลี่หลงตอบ "พอเก็บเกี่ยวทานตะวันกับข้าวโพดเสร็จก็ต้องไปขนมาอีกสักสองสามเที่ยว ที่ดินตรงนี้อีกหลายปีคงไม่ได้เปลี่ยน พวกเราลงปุ๋ยไว้ก็เหมือนลงทุนให้ตัวเอง ปลูกอะไรก็ได้ผลผลิตดีขึ้น"
เขาจัดแจงวางจักรยานให้เข้าที่จากนั้นก็เดินไปที่บ่อน้ำแบบปั๊มเพื่อกดน้ำ
"อย่าดื่มน้ำเย็นนะ ในบ้านมีซุปถั่วเขียวที่ต้มไว้แล้ว" ตู๋ชุนฟางนึกว่าเขาจะดื่มน้ำจากบ่อจึงรีบเตือนขึ้นมา "เพิ่งกลับจากข้างนอก ตัวมีเหงื่อเต็มไปหมด อย่าดื่มน้ำเย็นเดี๋ยวร่างกายจะรับไม่ไหว"
"แม่ ผมรู้แล้ว ผมแค่จะเอาน้ำมาล้างหน้า ฝุ่นเต็มไปหมด" หลี่หลงยิ้มหยิบกะละมังตักน้ำขึ้นมาล้างหน้าหนึ่งรอบ ก่อนจะเดินเข้าไปในครัว
ในครัวมีหม้อซุปถั่วเขียวที่ต้มไว้จนเปื่อย คนบางคนชอบดื่มแค่น้ำซุป แต่บางคนก็ชอบกินทั้งเนื้อถั่วที่บดละเอียด
หลี่หลงตักซุปขึ้นมาหนึ่งชาม ดื่มเข้าไปแล้วรู้สึกว่ายังไม่พอเลยตักอีกชาม
มองดูซุปถั่วเขียวที่ตัวเองซัดไปก็เกือบครึ่งหม้อแล้ว เขาก็เดินไปค้นหาในครัวเจอถั่วเขียวเหลืออยู่บ้างจึงหยิบออกมาล้างน้ำให้สะอาดแล้วเอาลงหม้อต้มใหม่อีกรอบ
"ทำไมยังต้มน้ำถั่วเขียวอีกล่ะ? ก็มีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?" ตู๋ชุนฟางถามอย่างสงสัย
"นั่นไม่พอหรอก" หลี่หลงหัวเราะ "พ่อ พี่ใหญ่ แล้วก็เจวียนกับเฉียงพอกลับมาใครจะไม่กินสักสองสามถ้วยล่ะ? นี่มันไม่เหมือนแตงโมนะ…ทำเยอะหน่อยก็ไม่เป็นไร"
เขาเองก็เคยสงสัยมาตลอดว่าทำไมน้ำถั่วเขียวที่ต้มในยุคนี้ถึงเป็นสีเขียวแต่พอเป็นยุคหลังน้ำถั่วเขียวกลับเป็นสีแดง
พอน้ำถั่วเขียวต้มจนได้ที่ หลี่หลงตักแบ่งออกมาก่อนจากนั้นก็ล้างหม้อ ระหว่างนั้นหลี่ชิงเสียถือเคียวเดินเข้ามาในลานบ้าน
"พ่อ ทำไมไม่ขี่จักรยานล่ะ?" หลี่หลงยิ้มถาม
"ไม่กล้าขี่หรอก ถนนมันแย่ ถ้าไปเหยียบหนามอูฐขึ้นมาแล้วต้องปะยางอีกล่ะก็ยุ่งยากเลย" หลังจากที่ล้อจักรยานเคยรั่วไปครั้งหนึ่ง หลี่ชิงเสียก็เริ่มระมัดระวังจักรยานมากขึ้น
"แล้วทานตะวันเป็นยังไงบ้าง?" หลี่หลงถาม
"ดีมากเลย กำลังจะแห้งสนิทแล้ว เดี๋ยวก็เก็บเกี่ยวได้แล้ว" หลี่ชิงเสียตอบ "เห็นมีนกกระจอกเริ่มจิกกินเมล็ดแล้ว ถ้าดูแล้วไม่ไหวก็เก็บซะเลยดีกว่า"
ตอนนี้ยังไม่มีเครื่องเก็บเกี่ยว การเก็บเกี่ยวทานตะวันหรือพืชอะไรก็ตามล้วนต้องใช้แรงงานคนทั้งนั้น ทุกคนจะถือกระสอบป่านหรือถุงปุ๋ยกับเคียวแต่ละคนรับผิดชอบแถวของตัวเอง วิธีง่ายที่สุดคือตัดเอาหัวทานตะวันใส่กระสอบแล้วเดินต่อไปเรื่อยๆ
สำหรับคนที่ชำนาญกว่านั้นหลังจากตัดหัวทานตะวันแล้วก็มักจะใช้เคียวตัดต้นให้ล้มลงไปด้วย จากนั้นรอให้ต้นทานตะวันแห้งสนิทแล้วมัดรวมกันเป็นฟืน เอากลับไปใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับหุงต้ม
ในช่วงเวลาหนึ่งต้นทานตะวันและต้นข้าวโพดถือเป็นเชื้อเพลิงหลักของเกษตรกรในทีมผลิตช่วงหน้าร้อน ส่วนหน้าหนาว คนที่นี่จะใช้กิ่งไม้ฮงหลิ่วกับถ่านหิน
ช่วงเวลานี้นกกระจอกมีอยู่เยอะมากเพราะพ้นช่วงที่มันกินแมลงไปแล้วอาหารหลักของมันตอนนี้ก็คือข้าวสาลี ทานตะวัน และข้าวโพด
ตามปกติแล้วช่วงนี้นกกระจอกโตเต็มวัยจะกินอร่อยกว่า เพราะมันไม่ได้กินแมลงแล้วแต่กินพืชผลเป็นหลักและถ้าจับได้ก็นำไปทำอาหารได้โดยไม่เสียดาย
"ถ้าเป็นแบบนี้ อีกไม่กี่วันก็คงต้องเก็บเกี่ยวแล้วล่ะ" หลี่หลงพูด พลางคำนวณช่วงฤดูกาลที่กำลังจะมาถึง
เขานึกถึงอดีตชาติของตัวเอง ในตอนนั้นมีพันธุ์ทานตะวันที่ขึ้นชื่ออยู่พันธุ์หนึ่งชื่อ ‘แคระหัวใหญ่’ ลำต้นสูงประมาณ 1.2 เมตร ซึ่งเตี้ยกว่าทานตะวันที่ปลูกอยู่ตอนนี้เกือบครึ่งหนึ่ง คนเก็บเกี่ยวไม่ต้องเงยหน้าขึ้นสูงมากแค่ตัดแบบปกติก็เก็บได้แล้ว
ดอกของทานตะวันพันธุ์นั้นมีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ ถ้าเป็นพันธุ์ปกติเส้นผ่านศูนย์กลางดอกประมาณ 20 เซนติเมตรก็ถือว่าใหญ่แล้วแต่พันธุ์ ‘แคระหัวใหญ่’ นี้สามารถโตได้ถึง 30-40 เซนติเมตร เมล็ดก็ใหญ่กว่าปกติ
ในช่วงเวลาหนึ่งทีมผลิตเกือบทั้งหมดปลูกทานตะวันพันธุ์นี้
แต่ต่อมาฝ้ายกลายเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ รัฐบาลตั้งราคาควบคุมและในบางปีราคาพุ่งสูงมากจนทำให้ชาวบ้านบางคนรวยขึ้นมาได้ นั่นทำให้แทบทุกพื้นที่เปลี่ยนไปปลูกฝ้ายแทนหมด
ทานตะวันพันธุ์ ‘แคระหัวใหญ่’ จึงหายไปจากหมู่บ้าน
ระหว่างที่หลี่หลงคิดฟุ้งซ่านอยู่ หลี่ชิงเสียก็ดื่มน้ำถั่วเขียวไปสองชามเต็มๆก่อนจะเช็ดปากอย่างพึงพอใจและเดินออกมาพูดกับหลี่หลง
"เสี่ยวหลง วันนี้จะลงอวนกี่ผืนดี?"
"พ่อ วันนี้ขายปลาเป็นไงบ้าง?" หลี่หลงถามกลับ
"ก็ธรรมดา คนซื้อน้อยลง" หลี่ชิงเสียตอบ "ขายไม่ดีเท่าเมื่อวาน ตลาดน่ะ ตอนนี้มีพ่อค้าเร่ขายปลากันตั้ง 7-8 เจ้า แถมแต่ละเจ้าก็มีลูกค้าประจำกันหมด แล้วยังมีคนที่ขายถูกกว่าเราอีก เราก็เลยขายยากขึ้นหน่อย"
"งั้นลดจำนวนอวนลงหน่อย แล้วรีบไปให้เร็วขึ้น" หลี่หลงแนะนำ "ที่ซื่อเฉิงน่ะ ลูกค้าเก่าเยอะ คนที่นั่นคุ้นเคยกับปลาของเราแล้ว ส่วนคนที่ลงตาข่ายในทีมผลิตของเราก็มีหลายเจ้า แต่พวกนั้นไปขายในตัวอำเภอทั้งนั้น แข่งขันกันหนักกว่าเยอะ"
"ได้เลย" หลี่ชิงเสียพอใจกับแนวคิดนี้ ถึงแม้วันนี้ขายได้น้อยลงแต่ยังไงก็กำไรดี วันหนึ่งได้ตั้ง 20-30 หยวน จะไม่พอใจได้ยังไง?
ระหว่างที่พูดคุยกันเถาต้าเฉียงก็เดินเข้ามาจากข้างนอกจากนั้นทั้งสามคนก็เริ่มถอดยางรถและเตรียมอวน
ลมยางดูเหมือนจะอ่อนลงเล็กน้อยเถาต้าเฉียงจึงลองกดดูจากนั้นก็นำลวดเส้นเล็กมาแหย่ตรงแกนวาล์วที่ปิดด้วยสบู่แล้วเริ่มสูบลม
งานพวกนี้ต้องทำทุกวัน มัดเชือกอวนให้เรียบร้อยและพอจับปลาเสร็จกลับมาก็ต้องแกะออกอีกที
ขณะที่พวกเขากำลังยุ่งอยู่ ด้านนอกก็มีเสียงคนคุยกันดังขึ้น
หลี่หลงได้ยินประโยคหนึ่งที่ทำให้เขาหูผึ่ง
"บ้านตระกูลหลี่อยู่ตรงนี้แหละ"
"ใช่ๆ บ้านนี้แหละ เมื่อกี้ฉันเห็นหลี่หลงกลับมาแล้ว"
"เธอเป็นเมียของหลี่หลงจริงๆเหรอ? ฮิฮิ งานนี้มีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว!"
"ฉันกับแม่ของหลี่หลงเป็นญาติกันนะ ตอนนั้นตกลงกันไว้แล้วว่าฉันต้องแต่งงานกับหลี่หลง จะเป็นไปได้ไงว่าฉันโกหก…"
เสียงนี้ดังเข้าหูหลี่หลงจนทำให้สมองของเขาราวกับระเบิดขึ้นมาในพริบตา
อีกหนึ่งเหตุการณ์ในอดีตชาติของเขาถูกขุดขึ้นมาอีกครั้ง
ในชีวิตก่อนตอนนี้พ่อกับแม่ของเขาก็เคยเดินทางมาที่นี่เหมือนกันเพียงแต่ว่ามาได้ไม่นานก็กลับไป
ในอดีตหลี่หลงไม่ได้มีอนาคตที่ดีนัก ฝั่งหลี่เจี้ยนกั๋วก็ยุ่งกับงานของตัวเอง ตู๋ชุนฟางเองก็เอาแต่เข้าข้างลูกชายคนเล็กทำให้เคยทะเลาะกับเหลียงเยวี่ยเหมยมาแล้ว
ตอนนั้นบ้านยังไม่มีห้องที่คอกม้า ทุกคนต้องเบียดกันอยู่ภายในบ้านแค่สามห้องทำให้การอยู่ร่วมกันเป็นเรื่องลำบาก สุดท้ายพ่อกับแม่เขาจึงกลับบ้านไป
ก่อนกลับตู๋ชุนฟางแอบบอกหลี่หลงว่าเธอหาผู้หญิงคนหนึ่งมาให้แล้วเป็นญาติห่างๆของเธอ ซึ่งเป็นญาติที่อยู่ห่างไปถึง 5-8 รุ่น แม้จะเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกันแต่ก็เป็นตระกูลเดียวกันมาตั้งแต่สมัยไหนแล้วก็ไม่รู้
ตอนนั้นหลี่หลงเพิ่งถูกอู๋ซูเฟินบอกเลิกเขายังอยากจะคืนดีกับเธออยู่จึงปฏิเสธไป
แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็คือหลังจากที่พ่อแม่กลับไปแล้ว ผู้หญิงคนนั้นกลับเดินทางมาหาเขาด้วยตัวเอง!
แต่เรื่องนี้กลับมีจุดที่ค่อนข้างเป็นดราม่าอยู่เหมือนกัน
ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนที่มีความคิดของตัวเอง ก่อนที่เธอจะมาหาหลี่หลงเธอไปสืบเรื่องของหลี่หลงจากคนในทีมผลิตก่อน
พอรู้ว่าหลี่หลงไม่ได้เป็นคนทำงานในโรงงานและไม่ได้มีอาชีพมั่นคงเธอก็เดินมาหาหลี่หลงแล้วพูดตรงๆ
เธอบอกว่าถึงแม้ว่าผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายจะอยากให้พวกเขาได้แต่งงานกัน แต่ระหว่างทางที่เธอเดินทางมาเธอได้พบกับชายหนุ่มที่มีความขยันและมุ่งมั่นต่ออนาคต
ในยุคนี้ความรักแบบอิสระกำลังเป็นที่นิยม ดังนั้นเธอจึงอยากพูดกับหลี่หลงให้เข้าใจตรงกันว่าพวกเขาจะไม่ยุ่งเกี่ยวกัน และต่างคนต่างไปหาความสุขของตัวเอง
สำหรับหลี่หลงแล้วเธอไม่ใช่สเปกของเขาอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงตอบตกลงและยังรู้สึกด้วยว่าเธอเป็นคนที่มีความคิดเป็นของตัวเองดี
แต่ผ่านไปหลายปีหลี่หลงถึงได้ค่อยๆปะติดปะต่อความจริงแล้วพบว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับความรักหรืออุดมคติอะไรเลย
ความจริงก็คือเธอมีเป้าหมายชัดเจนและแค่ไม่ได้สนใจเขาเท่านั้นเอง!
แต่ตอนนี้เธอกลับมาหาเขาอีกครั้งและจากที่ฟังจากคำพูดของเธอ เธอคงสืบข้อมูลของเขามาหมดแล้วแน่ๆ!
หลี่หลงตกใจไปชั่วขณะ แต่ไม่ใช่เพราะแก้ปัญหาไม่ได้เขากลัวเพียงอย่างเดียว—กลัวว่ากู้เสี่ยวเซี่ยจะเข้าใจผิด!
แล้วทันใดนั้นเขาก็นึกถึงกู้ปั๋วหยวนขึ้นมา แล้วรีบวิ่งออกไปทันที
ทางด้านตะวันออกของบ้านตระกูลหลี่ยังไม่มีบ้านคนอื่นปลูกอยู่ ตามกฎของพื้นที่อยู่อาศัยในหมู่บ้าน ปกติจะมีบ้านสองหลังอยู่ติดกัน—บ้านหนึ่งหันประตูไปทางทิศตะวันออก อีกบ้านหันไปทางทิศตะวันตก
แต่เพราะที่ดินยังมีมากคนส่วนใหญ่จึงอยากอยู่บ้านเดี่ยว ทำให้ฝั่งตะวันออกของบ้านตระกูลหลี่ไม่มีบ้านอื่นอยู่เลย
หลี่หลงอาศัยช่องว่างตรงนั้นแล้ววิ่งออกไปจากทางด้านตะวันออก จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังบ้านตระกูลกู้
ยังไงเรื่องนี้ก็ต้องไปถึงหูกู้เสี่ยวเซี่ยอยู่แล้วไม่ว่าจะจบลงยังไง แต่ถ้าหลี่หลงเป็นคนพูดเองมันจะยิ่งทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ง่าย
ดังนั้นเขาต้องรีบไปคุยกับว่าที่พ่อตาก่อน ถ้าจัดการจากตรงนี้ได้เรื่องก็จะง่ายขึ้นเยอะ
นี่คือแผนของหลี่หลง
ตอนที่เขาวิ่งอ้อมไปทางด้านหลังออกสู่ถนนใหญ่ เขาหันกลับไปมองทางหน้าบ้านตัวเองก็เห็นกลุ่มป้ากับพี่สะใภ้รวมถึงบรรดาแม่บ้านรุ่นเล็กๆกำลังมุงดูอยู่ที่ประตูบ้าน
พวกนี้มาดูเรื่องสนุกกันชัดๆ
แม้ว่าผู้คนในหมู่บ้านนี้จะมาจากหลายพื้นที่แต่ส่วนใหญ่ต่างก็ใช้ชีวิตตามประเพณีของตัวเองภายในครอบครัว ไม่มีการเผยแพร่วิถีชีวิตของแต่ละท้องถิ่นมากนัก รวมถึงไม่มีขนบธรรมเนียมที่ล้าสมัยให้ยุ่งยาก
แต่ต้องยอมรับว่า มีอยู่เรื่องหนึ่งที่คนมักจะเหมือนกันทุกที่
นั่นคือ ‘ทนไม่ได้ที่เห็นคนอื่นอยู่ดีกินดีเกินไป’
แล้วตระกูลหลี่เป็นยังไง?
แน่นอนว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ดีมาก—ดีเกินไปเสียด้วยซ้ำ
แค่ดูจากทรัพย์สินที่บ้านนี้มี จักรยานทั้งหมู่บ้านรวมกันยังไม่ถึงหกคัน แต่บ้านตระกูลหลี่มี สองคัน
รถม้าทั้งหมู่บ้านรวมกันยังไม่ถึง สิบคัน แต่บ้านตระกูลหลี่มีหนึ่งคันเป็นของตัวเอง ส่วนหมูทั้งหมู่บ้านมีรวมกันไม่ถึงยี่สิบตัว แต่บ้านตระกูลหลี่เลี้ยงอยู่เกือบครึ่งหนึ่งของทั้งหมด
แค่นี้ก็ทำให้คนอิจฉาจนตาลุกแล้ว
แต่ถึงจะอิจฉาก็ไม่มีใครกล้าทำเรื่องสกปรก
ทุกคนต่างรู้ดีว่าทุกอย่างที่ตระกูลหลี่มีมาจากความขยันทำมาหากิน ดังนั้นถึงแม้บางคนจะอิจฉาแต่ก็ไม่มีใครกล้าทำเรื่องต่ำช้า แม้แต่ในอีกหลายสิบปีให้หลังก็ยังไม่เคยเกิดขึ้น
อย่างที่บางคนมักจะพูดว่า "พอเห็นบ่อปลาทำเงิน ก็มีคนเอายาพิษไปเท"—เรื่องแบบนั้น ที่นี่ไม่เคยเกิดขึ้นเลย
เพราะในยุค 90 มีคนพยายามขุดบ่อปลาเลี้ยงในพื้นที่รกร้างระหว่างหมู่บ้านกับทะเลสาบใหญ่ พวกเขาลงทุนขุดบ่อปลาสิบกว่าบ่อแล้วเลี้ยงปลาอย่างจริงจัง
ตอนแรกทุกคนมองว่าเป็นเรื่องตลก คิดว่าคงเจ๊งแน่นอน
แต่สุดท้ายพวกเขาก็มีรถบรรทุกขนปลาไปขายที่อูเฉิงและทำเงินได้จริง
พอทำเงินได้ก็เริ่มจ้างชาวบ้านที่มีประสบการณ์ด้านประมงให้ช่วยทำความสะอาดบ่อปลา แถมไม่ได้แค่จ่ายค่าจ้างเฉยๆแต่ยังให้ปลากลับไปกินด้วย
ปลาที่พวกเขาเลี้ยงยังคงถูกเลี้ยงต่อไปจนกระทั่งหลี่หลงจากโลกนี้ไปในชาติก่อน
ในบึงน้ำใหญ่ก็มีคนรับสัมปทานพื้นที่ฝั่งเหนือ ใช้กรงเหล็กเลี้ยงปู
และคนในหมู่บ้านมากสุดก็แค่ไปจับปูที่หลุดออกจากกรงทางฝั่งใต้ของทะเลสาบตอนกลางคืน
ถึงแม้ว่าบางคนจะจับได้เยอะจนสามารถเอาไปขายที่ตลาดได้ในราคาประมาณ 50-60 หยวนต่อกิโลกรัม
แต่สุดท้ายก็ถูกคนแจ้งจับอยู่ดี
แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่มีใครเอายาพิษไปเทลงน้ำ
เพราะเรื่องแบบนั้นมันเป็นการตัดหนทางของลูกหลานตัวเอง ไม่มีใครทำจริงๆ
แต่เรื่อง "เฝ้าดูเรื่องสนุก" นี่ต่างออกไป—บ้านตระกูลหลี่หาเงินได้มากกว่าคนอื่น แล้วจะไม่ให้คนอื่นมาดูเรื่องสนุกของบ้านนี้ได้ยังไง?
เป็นไปไม่ได้แน่นอน!
หลี่หลงรู้ดีว่าพวกคนพวกนี้คิดอะไรอยู่ พวกเขาก็แค่หวังให้บ้านตระกูลหลี่กับบ้านตระกูลกู้เกิดความเข้าใจผิดกัน
แน่นอนว่าถ้ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิดก็ดี แต่ถ้าไม่ใช่แค่เข้าใจผิด—ถ้ามันเป็นเรื่องจริงได้ยิ่งดีเข้าไปใหญ่
ถ้าเป็นแบบนั้นจริงหลี่หลงก็จะกลายเป็นไอ้ผู้ชายเลวทราม
และตระกูลหลี่ที่แม้แต่ผู้ใหญ่ในหมู่บ้านยังให้ความเคารพก็จะกลายเป็นครอบครัวที่เบื้องหน้าดูดีแต่ลับหลังแอบทำเรื่องผิดศีลธรรม
ชื่อเสียงก็จะพังทลายลงทันที!
หลี่หลงพุ่งตรงไปที่บ้านตระกูลกู้
แต่กู้ปั๋วหยวนไม่อยู่บ้าน!
หลี่หลงถึงจะพอจำได้ลางๆว่าพื้นที่ทำไร่ของบ้านกู้ปั๋วหยวนอยู่ตรงไหน แต่เขาไม่กล้าไปหาเอง
เพราะถ้าจะไปต้องผ่านเขตที่พักของชาวบ้านและถ้าโชคร้ายไปเจอใครเข้า เรื่องคงเละกว่าเดิมแน่
สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือต้องให้กู้ปั๋วหยวนเข้าใจเรื่องทั้งหมดให้เร็วที่สุด อย่างน้อยต้องไม่ให้เขาเข้าใจผิดตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยินเรื่องนี้
แต่ปัญหาคือกู้ปั๋วหยวนไม่อยู่บ้าน แล้วจะทำยังไงดี?
หลี่หลงเดินวนไปวนมาในลานบ้านอย่างร้อนใจ รออยู่พักหนึ่งแต่กู้ปั๋วหยวนก็ยังไม่กลับมา สุดท้ายหลี่หลงตัดสินใจเดินออกไปทันที
เขารอไม่ได้อีกแล้ว!
(จบบท)