ตอนที่ 25 ปรมาจารย์มนตราบุกตามรอย
สุนัขดำเฒ่าเองก็จำไม่ได้ว่าตนบรรลุสติปัญญาตั้งแต่เมื่อไร
จำได้แต่ว่าแต่ก่อนมันเป็นสุนัขจรจัด ดุร้าย อาศัยแย่งอาหารจากขอทาน เคยกัดคนบาดเจ็บมากมาย แม้แต่ศพคนก็กิน จนเลื่องลือ
มันเคยกินศพมากมาย สองศพที่มันจำได้ชัดเจนคือศพชายหญิงคู่หนึ่งในศาลร้าง ซึ่งหลังจากกินศพนั้นไป มันก็เริ่มมีสติปัญญาคล้ายมนุษย์
พอได้สติปัญญา มันก็เข้าใจว่ามนุษย์ฝังศพไว้ในหลุม จึงเป็นแหล่งอาหารไม่จำกัด มันจึงทำอาชีพ “ขุดสุสาน” มาตลอด
ปีที่แล้วหมู่บ้านนี้ตายสามสิบคน มันขุดจนไม่หวาดไม่ไหว จนคนรู้เข้า ทางการส่งคนมาล่า สังหารสุนัขป่าจรจัดหมดทั้งแถบ แต่มันโชคดีรอดมาได้ จากนั้นจึงไม่กล้าเข้าใกล้หมู่บ้าน ขุดได้แต่หลุมศพนอกเขต
“ได้ยินว่าทางเมืองเฉินสร้างสุสานใหญ่ ไว้วันหลังข้าจะไปลองดู”
หมาดำคิดอย่างหน้าตาเฉย
จู่ ๆ มันตวัดสายตาไปทางพุ่มไม้ด้านหนึ่ง สุนัขดำเฒ่าดมกลิ่น มันสัมผัสถึงอันตรายขนหัวลุก
“ต้องหนี!”
สุนัขดำเฒ่าเชื่อสัญชาตญาณตนเองซึ่งเคยช่วยชีวิตนับครั้งไม่ถ้วน มันไม่ลังเล ทิ้งกะโหลกคนไว้แล้ววิ่งหนีทันที
“ไวขนาดนี้เชียว”
สวี่เฮยซ่อนตัวอยู่ห่างเกินร้อยเมตร ไร้ร่องรอย แต่สุนัขดำเฒ่าราวกับรับรู้ความน่ากลัวได้
สวี่เฮยใช้ดินทะลุตามไป สุนัขดำเฒ่ากลับเร่งความเร็ววกไปวนมา หวังสลัดการติดตาม
แม้สวี่เฮยอยู่ใต้ดินก็ยังตามทัน สุนัขดำเฒ่าเริ่มหวาดผวาหนัก มันกลิ้งลงเนินอย่างบ้าคลั่งเพื่อหนี
เมื่อรู้ว่าสวี่เฮยเข้าใกล้ มันอ้าปากตะโกนลั่น
“ฆ่าคนแล้ว! ช่วยด้วย! มีงูอสูรฆ่าคน!”
เสียงหมาดำแหลมบาดหู เหมือนคนตะโกนขอความช่วยเหลือ ทำชาวบ้านแถวนั้นหันมามอง
“ให้ตายสิ!”
สวี่เฮยเกือบสบถคำหยาบ มันร้องขอให้มนุษย์ช่วย แผดเสียงแฉ่วคล้ายคนพูด เป็นไปได้หรือ นี่หมาหรือผี
สุนัขดำเฒ่าหนีเข้าไปในสายตาชาวบ้าน หากสวี่เฮยตามไป คงถูกมนุษย์พบเห็นแน่นอน สิ่งนี้อันตรายเกินไป
เขาจึงหยุดไล่ ไม่อยากเสี่ยง
เขาแค่สนใจความลับของสุนัขดำเฒ่า แต่มันไม่คุ้มค่าจะเปิดเผยตัวกลางหมู่บ้าน
สวี่เฮยมองจากระยะไกล เห็นชาวบ้านถือจอบไล่ฟาดสุนัขดำเฒ่า มันเลยหนีเตลิดเข้าตรอกในหมู่บ้านงู
“หมาดำเฒ่านี่คงมีชื่อเสียงกระฉ่อนน่าดู ข้าพึ่งเคยได้ยิน”
สวี่เฮยครุ่นคิด
หมาดำเฒ่าเปิดสติปัญญาได้เหมือนกับเขา มันทำอย่างไร?
สวี่เฮยสงสัยว่าไม่ใช่เพราะผลจากเม็ดยามนุษย์ที่เขาเคยกินแน่นอน เม็ดยานั้นไม่หายากขนาดนั้น ยังมีสาเหตุอื่นที่ทำให้อสูรเปิดญาณได้
เขาคิดไม่ออก จึงพับเก็บความสงสัยไว้ ถ้ามีโอกาสค่อยจับหมาดำเฒ่ามาถาม
แต่มันหนีเข้าไปในหมู่บ้านมนุษย์ จะตามไปก็เสี่ยงเกินไป ถ้ามันร้องขอความช่วยเหลืออีก เป็นเรื่องใหญ่แน่ ราวกับชี้เป้าให้สำนักซือเทียนเจี่ยนมาไล่ล่า
“ให้มันไปก่อน สักวันมันต้องออกมาขุดหลุมอีก ข้าค่อยดักรอที่สุสานก็ได้”
…………
บนขุนเขาใกล้ ๆ อาณาเขตสวี่เฮย
สองเงาร่าง หนึ่งชรา หนึ่งหนุ่ม เดินมาถึงเขตแดนตรงนี้ ชราผู้นั้นสวมอาภรณ์นักพรต มือถือเข็มทิศ โคจรพลังตรวจจับ สายตาดุดัน
ผู้เฒ่าชื่อเฉินเต้าหลิง ส่วนนายหนุ่มชื่อมู่เล่ย ทั้งสองเป็นผู้เชี่ยวชาญจับอสูรอันช่ำชอง
เฉินเต้าหลิงเพ่งมองรอบด้านแล้วกล่าวเสียงต่ำ “ที่นี่มีกลิ่นอายงูอสูร”
เขาร่ำเรียนมาทั้งชีวิต แยกกลิ่นอสูรได้เป็นอย่างดี ไม่ผิดแน่
ทันใดนั้น ฝูงหมาป่าจำนวนมากโผล่ออกมาล้อมรอบทั้งสอง เสียงขู่คำรามสะท้านป่า
จ่าฝูงคือหมาป่าจันทราคราม มีรอยจันทร์เสี้ยวกลางหน้าผากมันจ้องเขม็งไม่กะพริบ
“โฮ่ง!” หมาป่าจันทราครามคำรามก้อง
ฝูงหมาป่าพุ่งกรูกันเข้าหา
เฉินเต้าหลิงยืนสงบ มู่เล่ยชูเครื่องรางรูปตราสลักสายฟ้า เขาชี้นิ้วไปข้างหน้า ปลดปล่อยสายฟ้าเปรี้ยงลงกลางฝูง
“ตูม!!!”
สายฟ้าฟาดกลางดงหมาป่า หมาป่าห้าตัวกระจุยเป็นเถ้าถ่าน ในขณะที่ตัวอื่น ๆ ถูกแรงอสนีบาตเผาจนไหม้เกรียม
หมาป่าจันทราครามเห็นดังนั้นตื่นตระหนกสุดขีด หันหลังเผ่นไปทางหน้าผาโดดลงไปทันที
มู่เล่ยร่ายสายฟ้าตามไปอีกรอบ ฟาดท้ายมันจนหางไหม้เกรียม แต่หมาป่าจันทราครามยังโชคดีตกลงไปยังด้านล่างหน้าผา แม้บาดเจ็บสาหัสแต่รอดตาย
มู่เล่ยยืนริมผาชะโงกมอง แล้วยั้งใจไม่ตามลงไป
เฉินเต้าหลิงจับเข็มทิศแน่น “ถ้ำของงูอสูรคงอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ไปกันเถอะ”
มู่เล่ยรับคำด้วยความฮึกเหิม