บทที่ 14 มู่หรงเสวี่ย
บทที่ 14
มู่หรงฟู่ครุ่นคิดในใจว่า เส้นผมสีขาวของเด็กขอทานคนนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิด เมื่อเขานึกถึงเหตุการณ์ทุกครั้งที่พบเด็กคนนี้ ไม่ว่าจะโดนตีหรือโดนด่า แม้แต่ขอทานด้วยกันก็ยังไม่ยอมรับ เขาก็พลันเข้าใจในทันทีว่า ทำไมคนอื่นถึงเรียกเขาว่า "ตัวซวย"
เส้นผมสีขาวที่เกิดตามธรรมชาติ แม้ในยุคปัจจุบันก็ยังถือว่าเป็นเรื่องที่พบเห็นได้น้อย ในสมัยโบราณยิ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย โดยเฉพาะในหมู่บ้านชนบทแบบนี้ มักถูกมองว่าเป็นลางร้าย
เด็กขอทานเห็นมู่หรงฟู่ยืนนิ่งเหมือนตกตะลึง คิดว่าเขาคงกลัวจึงแสดงสีหน้าหม่นหมองลง ก่อนจะก้มหน้าหยิบผ้าโพกหัวขึ้นมาจะคลุมใหม่
มู่หรงฟู่ยื่นมือไปห้าม พร้อมกับโบกมือแล้วพูดว่า “ไม่ต้องปิดอีกแล้ว ข้าเห็นหมดแล้ว! ผมของเจ้าสวยมาก ข้าเองยังอยากมีแบบนี้เลย”
เส้นผมสีขาวราวหิมะนั้นงดงามจนมู่หรงฟู่แอบอิจฉา เขานึกเสียดายว่าในยุคโบราณนี้ไม่มีวิธีการย้อมผม ไม่อย่างนั้นเขาเองก็อยากย้อมผมขาวบ้าง คงจะดูเท่ไม่น้อย
เด็กขอทานดูเหมือนจะไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของมู่หรงฟู่ แต่กลับเข้าใจท่าทางของเขา แววตาที่เคยหม่นหมองพลันมีประกายขึ้นมานิดหนึ่ง ก่อนจะกลับไปแสดงความกังวลอีกครั้ง พลางพูดว่า “โชค… โชคร้าย…”
“โชคร้าย?” มู่หรงฟู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเข้าใจ “เจ้าหมายความว่าจะนำโชคร้ายมาใช่ไหม?”
เด็กขอทานพยักหน้า
มู่หรงฟู่ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าน่ะโชคดีล้นฟ้า ภัยร้ายใด ๆ ก็ไม่อาจทำอะไรข้าได้ อีกอย่าง เส้นผมสีขาวแต่กำเนิดไม่ได้ทำให้เกิดโชคร้ายอะไรหรอก”
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “แต่บางทีอาจจะมีโรคประจำตัวอะไรบางอย่าง เจ้ารู้สึกว่าร่างกายผิดปกติอะไรบ้างหรือไม่?”
เด็กขอทานก้มหน้าคิดอยู่พักหนึ่ง แต่ก็ไม่เข้าใจคำถามของมู่หรงฟู่ เขาเห็นดังนั้นจึงคิดว่า “ช่างเถอะ เรื่องนี้ไว้ค่อยว่ากันทีหลัง”
มู่หรงฟู่ย่อตัวลงริมแม่น้ำ ล้างเส้นผมและใบหน้าของเด็กขอทาน พลางบ่นไปว่า “เจ้าช่างโชคดีนัก ปกติข้าไม่เคยต้องรับใช้ใคร แต่ตอนนี้กลับต้องมารับใช้เจ้า แถมเจ้าก็ยังไม่เต็มใจอีก”
“ต่อไปต้องหัดล้างเองนะ ข้าน่ะในยุทธภพถือว่าเป็นคนสำคัญ จะมาคอยดูแลเจ้าทุกวันไม่ได้ อืม…ดูไม่ออกเลยว่าเจ้าหน้าตาดีขนาดนี้!”
เมื่อเห็นใบหน้าของเด็กขอทานชัดเจน มู่หรงฟู่ถึงกับประหลาดใจ เด็กคนนี้มีผิวขาวราวหิมะและใบหน้าที่งดงามจนผิดธรรมดา
เขามองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรู้สึกอิจฉาในใจ “เด็กคนนี้อนาคตห้ามตามข้าไปยุทธภพเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นคงแย่งซีนข้าหมด”
เมื่อมู่หรงฟู่ล้างเส้นผมและใบหน้าเสร็จ เขาก็สังเกตเห็นว่าเสื้อผ้าของเด็กขอทานสกปรกมาก จึงตั้งใจจะล้างตัวให้ทั้งตัว เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่เริ่มถอดเสื้อผ้าเด็กทันที คราวนี้เด็กขอทานกลับยอมให้ความร่วมมือ ยกแขนขึ้นช่วยถอดเสื้อ
เมื่อเสื้อผ้าถูกถอดออก มู่หรงฟู่ถึงกับชะงักไป ใบหน้าเริ่มร้อนขึ้น เขาพูดติดอ่างว่า “นี่…เอ่อ…ข้าไม่รู้ว่า…เจ้าเป็นผู้หญิง”
ร่างกายของเด็กขอทานผอมแห้ง มีรอยฟกช้ำและคราบสกปรกเต็มตัว แต่กลับไม่สามารถปกปิดความเป็นผู้หญิงได้
ที่หน้าอกมีตุ่มเล็ก ๆ โผล่ขึ้นมาสองจุด ขณะที่ระหว่างขาเผยให้เห็นร่องเล็ก ๆ ที่บ่งบอกถึงเพศหญิงอย่างชัดเจน แขนข้างหนึ่งยังมีจุดแดงเล็ก ๆ ปรากฏอยู่
เมื่อถูกมู่หรงฟู่จ้องมองร่างกาย เด็กขอทานที่มีผิวขาวซีดกลับปรากฏสีแดงระเรื่อขึ้นบนใบหน้า ก่อนจะตัวสั่นเล็กน้อยเพราะความหนาว
มู่หรงฟู่ยื่นมือส่งลมปราณเพื่อขับไล่ความหนาวให้นาง ขณะเดียวกันในใจก็เกิดความขัดแย้งขึ้น
เสียงหนึ่งในใจเขาพูดว่า “ตอนที่ไม่รู้ก็ว่าไปอย่าง แต่ตอนนี้รู้แล้วว่านางเป็นผู้หญิง ยังจะช่วยนางล้างตัวอีก มันไม่เหมาะสมเลย”
แต่อีกเสียงกลับพูดว่า “นางเป็นเด็กที่ขี้อายและโดดเดี่ยว ถ้าตอนนี้เจ้าถอยหนี นางคงรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิม อีกอย่าง เด็กเล็ก ๆ เอง ไม่มีอะไรต้องคิดมากหรอก”
เสียงแรกพูดอย่างดูแคลนว่า “หึ! ในใจเจ้าน่ะอยากทำอยู่แล้ว แต่กลับหาเหตุผลมาปลอบใจตัวเอง”
มู่หรงฟู่ในที่สุดก็เลือกทำตามเสียงในใจที่สอง เขาอุ้มเด็กขอทานลงไปในแม่น้ำเพื่อช่วยล้างตัวให้สะอาด
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้มีความสนใจในตัวเด็กผู้หญิงคนนี้ในเชิงชู้สาวแต่อย่างใด เพราะจิตใจของเขาในชาตินี้อายุใกล้สามสิบแล้ว อีกทั้งร่างกายของเด็กผู้หญิงก็ผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ไม่มีอะไรที่น่าสนใจในแง่นั้นเลย
หลังจากล้างตัวเสร็จ มู่หรงฟู่ก็ใช้พลังลมปราณ "เสินเจ้าเจิ้นฉี" [พลังลมปราณแห่งรัศมีเทพ] เพื่อรักษาบาดแผลของนาง ระหว่างที่เขาทำ เด็กขอทานก็โอบคอเขาไว้แน่น ดวงตาที่เคยหม่นหมองค่อย ๆ มีประกายแห่งชีวิตขึ้นมา เหมือนบางสิ่งในตัวนางกำลังฟื้นคืนชีพ ไล่ความมืดมนในใจออกไปทีละน้อย
เมื่อทำความสะอาดเสร็จ มู่หรงฟู่ก็ช่วยนางสวมเสื้อผ้าใหม่ แต่เขาไม่ให้นางใช้ผ้าโพกหัวอีกแล้ว เขาปัดมันลงแม่น้ำไป
**ภายใต้แสงจันทร์**
หน้ากระท่อมเล็ก ๆ มู่หรงฟู่และเด็กขอทานนั่งกินเนื้อย่างคนละชิ้นอย่างเอร็ดอร่อย
ทั้งสองนั่งข้างกองไฟที่มีกิ่งไม้เสียบกระต่ายป่าสองตัวกำลังย่างจนเหลืองหอม กลิ่นเนื้ออบอวลไปทั่วบริเวณ
มู่หรงฟู่มองเด็กขอทานที่กินเนื้ออย่างรีบร้อน เขาหัวเราะเบา ๆ แล้วตบหลังนางเบา ๆ “ค่อย ๆ กิน ยังมีอีกเยอะ” นางจึงเริ่มกินช้าลง
ไม่นานนัก ทั้งสองก็จัดการกระต่ายป่าจนหมดเกลี้ยง มู่หรงฟู่เอ่ยขึ้นอย่างมีอารมณ์ขันว่า “ข้าคงจะกลัวซาลาเปาไปอีกนานเลย!”
เขาหันไปมองเด็กขอทานที่ยังเลียมืออย่างเพลิดเพลิน เขาเอื้อมมือแตะท้องเล็ก ๆ ที่เริ่มนูนขึ้นเล็กน้อยของนางแล้วพูดว่า “ยังอยากกินอีกหรือ?”
เด็กขอทานพยักหน้า มู่หรงฟู่ยิ้มแล้วใช้แขนเสื้อเช็ดคราบน้ำมันที่แก้มนาง “มื้อต่อไปค่อยกินนะ กินทีเดียวไม่ทำให้อ้วนได้หรอก ค่อย ๆ กินไป อ้อ จริงสิ เจ้าชื่ออะไร?”
เด็กขอทานส่ายหัว เมื่อมู่หรงฟู่นึกถึงครั้งก่อนที่ถามนางแล้วไม่ได้คำตอบ เขาจึงพูดว่า “หรือว่าเจ้าไม่มีชื่อ?”
เด็กขอทานพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นข้าตั้งชื่อให้เจ้าเอง” เด็กขอทานมองเขาด้วยสายตาคาดหวัง
มู่หรงฟู่คิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็คิดชื่อดี ๆ ไม่ออก เมื่อเห็นเส้นผมสีขาวของนาง เขาจึงพูดว่า “เรียกเจ้าว่า ‘เสวี่ยเอ๋อร์’ แล้วกัน สกุลมู่หรง”
เด็กขอทานแม้จะไม่มีสีหน้าแสดงความรู้สึก แต่ในแววตากลับเปล่งประกายแห่งความสุข นางพึมพำเบา ๆ “เสวี่ย...มู่หรง...”
“ใช่แล้ว มู่หรงเสวี่ย ข้าชื่อมู่หรงฟู่ ต่อไปนี้เจ้าก็เรียกข้าว่าพี่ชาย”
มู่หรงเสวี่ยพยายามพูดออกมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก “พี่...ชาย...”
“จากนี้ไปเจ้าคือเสวี่ยเอ๋อร์ของพี่ชาย” มู่หรงฟู่พูดพร้อมจุ๊บแก้มนางเบา ๆ
มู่หรงเสวี่ยพูดไม่เก่งและติดอ่างเล็กน้อย อีกทั้งนางยังไม่ค่อยแสดงอารมณ์ใด ๆ ซึ่งน่าจะเป็นเพราะนางไม่ค่อยได้พูดคุยกับใครตั้งแต่เด็ก
**คืนนั้น**
มู่หรงฟู่อุ้มมู่หรงเสวี่ยมานอนบนเตียงด้วยกัน เขาไม่ปล่อยให้นางไปนั่งหลบมุมอีกต่อไป ทั้งสองนอนหลับสนิทและสบายมาก
รุ่งเช้า เมื่อมู่หรงฟู่ตื่นขึ้น เขารู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่เหนียวและลื่นบนใบหน้า เมื่อเขาลืมตาขึ้นก็พบว่ามู่หรงเสวี่ยกำลังใช้ลิ้นเล็ก ๆ ชื้น ๆ เลียใบหน้าของเขา
มู่หรงฟู่ถึงกับหัวเราะไม่ออก เขาลูบศีรษะนางแล้วพูดว่า “เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าปลุกข้าแบบนี้มันแปลกดีนะ” มู่หรงเสวี่ยส่ายหัวเหมือนไม่เข้าใจ
ที่แท้เมื่อคืนนางหลับอย่างอบอุ่นและสบายใจ พอตื่นเช้ามา นางเห็นใบหน้าของมู่หรงฟู่แล้วนึกถึงตอนที่เขาจุ๊บนางเมื่อคืน นางจึงอยากจุ๊บเขากลับ แต่เมื่อจุ๊บแล้วรู้สึกดี นางเลยจุ๊บอีกหลายครั้ง สุดท้ายก็เลียมันซะเลย!