บทที่ 13 ผมขาว
บทที่ 13
ยามพลบค่ำ เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากนอกกระท่อม มู่หรงฟู่รู้สึกระแวงในใจ แม้ว่า เสินเจ้าเกิง [วิชาแสงแห่งเทพ] จะเริ่มสร้างลมปราณในร่างกายแล้ว แต่ยังต้องใช้เวลาอีกสักระยะกว่าจะฟื้นตัวและเคลื่อนไหวได้
ไม่นานนัก มู่หรงฟู่เห็นว่าคนที่เข้ามาคือเด็กขอทาน เขาจึงโล่งใจ
เด็กขอทานเดินมาที่เตียงของมู่หรงฟู่ หยิบห่อกระดาษน้ำมันออกมา เปิดออกอย่างเบามือ ข้างในมีซาลาเปาอยู่หนึ่งลูก
เด็กขอทานใช้สองมือประคองซาลาเปาแล้วยื่นมาตรงหน้ามู่หรงฟู่ พลางพูดเบา ๆ ว่า “กิน...กิน...” เสียงนั้นแผ่วเบาจนแยกไม่ออกว่าเป็นเสียงของเด็กชายหรือเด็กหญิง
“ที่แท้เจ้าก็ไม่ใช่ใบ้นี่!” มู่หรงฟู่พูดด้วยความประหลาดใจ ความคิดที่เขามีต่อเด็กขอทานเปลี่ยนไปในทันที แต่เด็กขอทานดูเหมือนไม่ใส่ใจอะไร เพียงยื่นซาลาเปาเข้ามาอีก
มู่หรงฟู่มองซาลาเปาที่ควันยังลอยกรุ่น กับมือเล็ก ๆ ที่เขียวช้ำจนแทบดูไม่ได้ เขายิ้มเล็กน้อยและส่ายหัว “ข้าไม่หิว เจ้ากินเถอะ”
“กิน...กิน...”
“ข้ามีลมปราณในตัว ไม่กินก็อยู่ได้ เจ้ากินเถอะ!”
แม้มู่หรงฟู่จะรู้สึกหิวอยู่บ้าง แต่เมื่อเห็นสภาพของเด็กขอทาน เขาก็ไม่กล้ากินซาลาเปานั้น โชคดีที่ตอนนี้เขามีลมปราณ การอดอาหารสักวันสองวันก็ไม่ใช่ปัญหา
“กิน...กิน...”
มู่หรงฟู่จนปัญญา จึงพูดว่า “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เราแบ่งกันคนละครึ่ง ดีไหม?”
เด็กขอทานเอียงหัวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเข้าใจ จากนั้นจึงแบ่งซาลาเปาออกเป็นสองส่วน แล้วยื่นส่วนหนึ่งให้มู่หรงฟู่ เห็นว่ามู่หรงฟู่ขยับตัวไม่ได้ จึงป้อนซาลาเปาให้เขา
แต่การป้อนของเด็กขอทานนั้นซุ่มซ่ามเสียจนมู่หรงฟู่รู้สึกเหมือนคอจะสำลัก เขาอดไม่ได้ที่จะคิดถึงอาจู นางคงเป็นสาวใช้ที่เอาใจใส่ที่สุด เพียงแต่นางตอนนี้คงกำลังซุกซนอยู่บนเกาะ
“เจ้าชื่ออะไร?” หลังจากกลืนซาลาเปาครึ่งลูกลงไป มู่หรงฟู่ถามขึ้น
เด็กขอทานส่ายหัว
“ถ้าเจ้าไม่บอก ข้าจะเรียกเจ้าว่า ‘เจ้าเดี่ยว’ ก็แล้วกัน เจ้าเดี่ยว เจ้าอยู่ที่นี่คนเดียวหรือ?” เด็กขอทานมองเขาแวบหนึ่งแต่ไม่ตอบ มู่หรงฟู่หน้าเจื่อน คิดในใจว่าถามไปก็เปล่าประโยชน์
หลังจากนั้น ไม่ว่ามู่หรงฟู่จะถามอะไร เด็กขอทานก็แค่ส่ายหัวเป็นบางครั้ง แต่ไม่ยอมพูดอะไรเลย
กลางดึก มู่หรงฟู่ตื่นขึ้นจากการฝึกวิชา พบว่าเด็กขอทานนั่งหลับอยู่ตรงมุมผนัง เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขายึดเตียงของเด็กขอทานมา
พูดว่าเตียง แต่ที่จริงแล้วมันก็แค่แผ่นไม้ที่วางอยู่บนแท่นดินสองข้าง แผ่นไม้ยังเล็กมาก นอนได้เพียงเด็กสองคนที่อายุประมาณสิบขวบ
“เฮ้ เจ้าเดี่ยว เจ้าเดี่ยว?”
เด็กขอทานลืมตาขึ้นมองมู่หรงฟู่
“เจ้าช่วยข้าขยับเข้าไปหน่อย แล้วมานอนบนเตียงเถอะ สองคนเบียดกันหน่อยจะได้อุ่น” ตอนนี้เป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง อากาศเริ่มเย็นลง
เด็กขอทานดูเหมือนจะสนใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ส่ายหัว มู่หรงฟู่ที่ขยับตัวไม่ได้ พยายามขยับเอวของตัวเองเข้าไปด้านในเล็กน้อย “เฮ้ เจ้าเดี่ยว มานอนเถอะ”
เด็กขอทานมองเขาแล้วกระชับเสื้อคลุมสีดำของตัวเองแน่นขึ้น ก่อนจะกอดเข่าหลับต่อ
มู่หรงฟู่จนใจ คิดในใจว่า “หรือว่าขอทานก็มี ‘ความสะอาด’ ของตัวเองเหมือนกัน?” จากนั้นก็เข้าสู่การฝึกวิชาอย่างลึกซึ้ง
เช้าวันต่อมา ร่างกายของมู่หรงฟู่ไม่อ่อนล้าเท่าเมื่อวาน ความเจ็บปวดลดลงมาก แต่เขายังขยับตัวไม่ได้
เด็กขอทานออกไปแต่เช้า และกลับมาในตอนเย็นพร้อมกับรากไม้และผลไม้เปรี้ยวบางอย่าง มู่หรงฟู่ถามด้วยความตกใจว่า “นี่มันกินได้ด้วยหรือ? ปกติเจ้าไม่มีอะไรกินก็กินพวกนี้หรือ?”
เด็กขอทานไม่ตอบ เพียงยื่นรากไม้ให้เขาพร้อมพูดว่า “กิน...กิน...”
มู่หรงฟู่เห็นท่าทีดื้อรั้นของเด็กขอทาน จึงหลับตาแน่นแล้วกัดฟันกินรากไม้นั้นเข้าไป รสชาติทั้งเปรี้ยวทั้งขม แต่ดูเหมือนจะช่วยบรรเทาความหิวได้จริง ๆ
เช่นนี้ผ่านไปสิบกว่าวัน เด็กขอทานออกไปแต่เช้ากลับมาอีกทีตอนค่ำ บางวันนำซาลาเปา บางวันก็เป็นรากไม้หรือผลไม้ป่า มีอยู่หลายครั้งที่เด็กกลับมาด้วยสภาพมอมแมมเหมือนเพิ่งโดนใครซ้อมมา มู่หรงฟู่รู้สึกสงสัยยิ่งนักว่าทำไมพวกขอทานถึงต้องมารังแกเด็กคนนี้ แต่เพราะเขายังไม่สามารถขยับตัวได้ก่อนที่เส้นลมปราณจะฟื้นตัว จึงทำได้เพียงเฝ้าดู
วันนั้น หลังจากฝึกฝน เสินเจ้าเกิง [วิชาแสงแห่งเทพ] เป็นเวลาสิบกว่าวัน ในที่สุดเส้นลมปราณของมู่หรงฟู่ก็ฟื้นตัวเต็มที่ ร่างกายกลับมาเคลื่อนไหวได้ เขาดีดตัวลุกขึ้นทันที ขยับร่างกายเล็กน้อย ความรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่พลันแล่นเข้ามา
วิชาแสงแห่งเทพนี้ช่างมหัศจรรย์ยิ่งนัก แม้เพิ่งฝึกได้เพียงเล็กน้อย แต่ก็สามารถรักษาเส้นลมปราณที่ขาดสะบั้นได้ ความสามารถฟื้นคืนชีพอาจจะเกินจริงไปบ้าง แต่ในเรื่องการรักษาเส้นลมปราณนั้นถือเป็นดั่งปาฏิหาริย์
เมื่อนึกถึงเด็กขอทานที่ชอบห่อตัวเองมิดชิด มู่หรงฟู่ตัดสินใจว่า จะพาเด็กคนนี้กลับไปยังตระกูลมู่หรง เพื่อให้เขาได้ลิ้มรสความสุขสบาย
รออยู่พักใหญ่จนฟ้ามืด เด็กขอทานก็ยังไม่กลับมา มู่หรงฟู่เริ่มกังวลในใจว่า “หรือจะเกิดเรื่องขึ้น?”
ขณะที่เขากำลังจะออกไปตามหา เสียงด่าทอดังมาจากที่ไกล ๆ เขารีบพุ่งตัวไปตามเสียง
เมื่อมาถึงในป่า เขาเห็นเด็กขอทานกำลังกอดหัววิ่งกลับไปทางกระท่อม โดยมีเด็กชายหญิงวัยสิบกว่าปีหลายคนไล่ตามหลังมา พวกนั้นขว้างก้อนหินใส่เด็กขอทานพร้อมตะโกนด่าทอ
“ตีมันให้ตาย เจ้าเด็กตัวซวยนี่!”
“ใช่! เอามันออกไปจากเมืองของเรา!”
มู่หรงฟู่โกรธจัด “เจ้าพวกเด็กเหลือขอ พวกเจ้ากล้ารังแกผู้มีพระคุณช่วยชีวิตข้ารึ!” เขาเหวี่ยงฝ่ามือในอากาศ ลมปราณพัดก้อนหินที่ลอยอยู่ให้กระเด็นกลับไป เด็กบางคนโดนก้อนหินจนล้มลงร้องไห้เสียงดัง
“ไสหัวไปให้หมด!”
เด็ก ๆ แตกตื่นวิ่งหนีกระจัดกระจาย มู่หรงฟู่ดึงมือเด็กขอทานมาดู เสื้อผ้าของเขาขาดรุ่งริ่ง เผยให้เห็นผิวหนังที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ ใบหน้าของเด็กเปรอะเปื้อนไปด้วยโคลน มู่หรงฟู่โกรธจนแทบระงับอารมณ์ไม่อยู่ คิดในใจว่าตอนนั้นไม่น่าปล่อยพวกเด็กเหล่านั้นไปง่าย ๆ
เขาพาเด็กขอทานมาที่ริมแม่น้ำแล้วพูดว่า “เจ้ามีบาดแผลเต็มตัว ไปล้างตัวก่อนแล้วข้าจะรักษาให้”
เด็กขอทานดูเหมือนไม่เข้าใจ มู่หรงฟู่จึงชี้ไปที่แม่น้ำแล้วชี้ไปที่โคลนบนตัวเด็ก “อาบน้ำ! หมายถึงล้างโคลนบนตัวเจ้าออก เข้าใจไหม?”
เด็กขอทานส่ายหน้า มู่หรงฟู่ไม่รู้ว่าเด็กหมายความว่าอะไร จึงพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ช่างเถอะ ข้าจะช่วยเจ้าเอง” ว่าแล้วก็ยื่นมือไปแก้ผ้าโพกหัวของเด็ก
แต่เด็กขอทานกลับสะบัดมือเขาออก กอดหัวตัวเองไว้แน่นแล้วถอยไปสองสามก้าว
มู่หรงฟู่มองเด็กอย่างงุนงง เขาก้าวเข้าไปอีกก้าวพลางพูดว่า “เจ้ามองไม่เห็นหรือว่าตัวเองสกปรกแค่ไหน?”
เด็กขอทานส่ายหัวถอยไปอีกก้าว
มู่หรงฟู่ก้าวเข้าไปอีก “เชื่อข้า ล้างตัวแล้วจะรู้สึกดีขึ้น”
…
ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร เด็กขอทานก็ยังส่ายหัวและถอยหลังไปเรื่อย ๆ
มู่หรงฟู่เริ่มหงุดหงิด เขาพูดด้วยเสียงเข้มว่า “วันนี้เจ้าจะล้างตัวหรือไม่ล้างก็ต้องล้าง ยืนอยู่ตรงนั้น ห้ามขยับ!” พูดจบเขาก็ใช้วิชาตัวเบาพุ่งไปข้างหน้า
เด็กขอทานดูเหมือนจะตกใจ ยืนนิ่งไม่กล้าขยับ
มู่หรงฟู่มาถึงตัวเด็ก ยื่นมือไปแก้ผ้าโพกหัวของเขา เด็กขอทานพยายามหดหัวตามสัญชาตญาณ แต่เมื่อได้ยินมู่หรงฟู่ตะคอกว่า “อย่าขยับ!” เขาก็หยุดนิ่ง
เมื่อผ้าโพกหัวถูกแกะออก มู่หรงฟู่ถึงกับตกตะลึง เพราะสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าคือเส้นผมสีขาวยาวสลวยที่ไหลลงมาจนถึงเอวของเด็กขอทาน!