บทที่ 12 การพบกันอีกครั้ง
บทที่ 12
หลังจากเฝ้าสังเกตอยู่ครู่หนึ่ง หลู่คุนเห็นว่ามู่หรงฟู่เพียงจ้องมองเขาด้วยสายตาเลื่อนลอย ดูเหมือนจะหมดแรงจริง ๆ จึงค่อยโล่งใจ พลางสบถตัวเองว่า "ระวังตัวเกินไป" อีกทั้งเด็กคนนี้ไม่มีดาบในมือแล้ว จะกลัวอะไรอีก
หลู่คุนก้าวเข้าไปใกล้ ก่อนแทงดาบใส่อกซ้ายของมู่หรงฟู่ ทันใดนั้นมู่หรงฟู่กลับลุกขึ้นนั่ง พร้อมใช้สองมือแสดงท่าทางซับซ้อน
หลู่คุนชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนนึกขึ้นได้ว่านี่คือท่าที่มู่หรงฟู่เคยใช้ลวงเขาตอนหลบหนี "ฮึ คิดจะหลอกข้าอีกหรือ"
หลู่คุนหัวเราะเยาะ ก่อนแทงดาบต่อไป แต่สิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นกลับไม่เกิด มู่หรงฟู่ใช้สองฝ่ามือประสานกันตรงหน้าอก ห่างกันเพียงไม่กี่นิ้ว พร้อมทั้งปล่อยพลังลมปราณออกมาต้านปลายดาบไว้
จากนั้นมู่หรงฟู่ใช้แรงผลักดาบกลับไปในมุมที่ไม่น่าเป็นไปได้ ดาบพุ่งย้อนกลับแทงอกซ้ายของหลู่คุน "อ๊า!" หลู่คุนร้องลั่น ยังไม่ทันตั้งตัวก็ถูกดาบแทงจนล้มลง
มู่หรงฟู่เผยรอยยิ้มแห่งความยินดี แต่แล้วก็ต้องสิ้นหวังอีกครั้ง เมื่อพบว่าหลู่คุนยังไม่ตาย ที่แท้ดาบเล่มนั้นแทงเข้าไปไม่ลึกพอและพลาดจุดสำคัญ
มู่หรงฟู่รู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว ก่อนร่างกายอ่อนแรงล้มลงอย่างหมดสิ้นพลัง เขาใช้กระบวนท่า โต่วจ้วนซิงอี้ [วิชาหมุนดาวเปลี่ยนดวง] จนพลังลมปราณหมดสิ้นและเกินขีดจำกัด แต่กลับไม่อาจสังหารหลู่คุนได้ ตอนนี้เขาไร้เรี่ยวแรง แม้แต่จะขยับตัว
หลู่คุนเองก็หวาดกลัวไม่น้อย ดาบเมื่อครู่พลิกกลับมาแทงเขาอย่างไม่คาดคิด หากมู่หรงฟู่ยังมีแรง ดาบคงแทงลึกกว่านี้และอาจปลิดชีพเขาไปแล้ว
หลู่คุนยิ่งคิดก็ยิ่งหวาดผวา เขาจึงไม่กล้าเข้าใกล้มู่หรงฟู่อีก รีบห้ามเลือดตัวเองแล้วถอยห่างไปหนึ่งจ้าง (ประมาณสามเมตร) ก่อนจ้องมองมู่หรงฟู่อย่างระมัดระวัง
หลังผ่านไปหนึ่งเค่อ (15 นาที) หลู่คุนหยิบดาบขึ้นมา เดินช้า ๆ เข้าไปหามู่หรงฟู่ที่นอนนิ่งเหมือนศพ มู่หรงฟู่คิดถึงสารพัดเรื่องในใจ ชาติที่แล้วเขาตายอย่างรวดเร็วแทบไม่รู้สึกอะไร แต่ครั้งนี้เขารู้สึกถึงการมาเยือนของความตายอย่างชัดเจนจนเกิดความหวาดกลัว
แต่สิ่งที่เขารู้สึกมากกว่าคือความไม่ยอมแพ้ เขาเพิ่งได้โอกาสมาเกิดใหม่ในโลกนี้ แต่ยังไม่ได้ฝากร่องรอยอะไรไว้เลย กลับต้องมาตายอย่างน่าอับอายเช่นนี้ แถมยังตายด้วยน้ำมือของตัวประกอบไร้ชื่อเสียง
"ช่างน่าขันนัก ที่ข้าเคยวิจารณ์มู่หรงฟู่ในนิยายว่าโชคไม่ดี แต่ข้าก็ไม่ได้ดีไปกว่าเขาเลย ความรู้ล่วงหน้าไม่ได้ช่วยอะไรเลยจริง ๆ"
ดาบของหลู่คุนใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ มู่หรงฟู่ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่ยอมแพ้ พลันเกิดเรี่ยวแรงขึ้นมานิดหนึ่ง เขากัดฟันแล้วกระโดดลงแม่น้ำอย่างสุดกำลัง
เมื่อร่างตกลงน้ำ มู่หรงฟู่รู้สึกเหมือนโลกหมุนคว้าง ความคิดสุดท้ายในใจคือ "ถึงจะตาย ข้าก็จะไม่ตายด้วยน้ำมือคนเช่นนี้"
ความเจ็บปวดแปลบปลาบ ทั้งแสบทั้งคันแล่นไปทั่วร่างกาย มู่หรงฟู่ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ก่อนจะค่อย ๆ รู้สึกตัว เขารู้สึกเหมือนมีมดไต่กัดทั่วตัว ร่างกายอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง
เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ มู่หรงฟู่รู้สึกยินดี "ข้ายังมีชีวิตอยู่!"
ที่นี่คือที่ใด? มู่หรงฟู่ลืมตาและเริ่มมองไปรอบ ๆ สายตายังพร่ามัวเล็กน้อย
ดูเหมือนจะเป็นกระท่อมไม้ รอบ ๆ แขวนฟางแห้งอยู่ประปราย ดูเก่าทรุดโทรม เขานอนอยู่บนเตียงเล็ก ๆ เสื้อผ้าขาดวิ่น มีใครบางคนกำลังทายาให้เขา
มู่หรงฟู่สะดุ้งเล็กน้อย ก่อนมองชัด ๆ และพบว่าคนที่ช่วยเขาคือเด็กขอทานที่เขาเคยเห็นเมื่อวาน เขาจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก
"เจ้าเป็นคนช่วยข้าหรือ? ขอบใจมาก รอให้ข้าหายดี ข้าจะให้เงินมากมายจนเจ้าไม่ต้องเป็นขอทานอีกต่อไป"
มู่หรงฟู่รู้สึกซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง หากไม่ได้เด็กคนนี้ เขาคงตายไปแล้ว และคงกลับไปเกิดใหม่อีกครั้งในโลกเดิม พร้อมกับครุ่นคิดในใจว่า "นี่คงเป็นเรื่องของโชคชะตา"
เด็กขอทานเห็นมู่หรงฟู่ฟื้นขึ้นมา แววตาเปล่งประกาย แต่กลับหม่นลงในทันที เขาหยิบใบไม้ไม่ทราบชื่อขึ้นมา เคี้ยวในปากแล้วคายออกมาทายาลงบนบาดแผลของมู่หรงฟู่
มู่หรงฟู่คาดว่านี่คงเป็นสมุนไพรบางชนิด ซึ่งดูเหมือนจะได้ผลดี เพราะบาดแผลของเขาเริ่มคันอย่างมาก ซึ่งเป็นสัญญาณของการฟื้นตัว
"ยาของเจ้าดีมาก ทาเพิ่มให้ข้าอีกหน่อย"
เด็กขอทานไม่พูดอะไร เพียงทายาเสร็จแล้วเดินออกไป มู่หรงฟู่มองตามหลังอย่างงุนงง "หรือว่าเขาจะเป็นใบ้?"
เมื่อย้อนคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา มู่หรงฟู่รู้สึกหวาดกลัวไม่น้อย เขาเกือบจะตายเพราะตัวประกอบไร้ชื่อทั้งสองคน นี่มันน่าขายหน้าสำหรับคนที่ข้ามภพมาอย่างเขาเสียจริง!
ทันใดนั้น มู่หรงฟู่รู้สึกสับสนและกระวนกระวายใจเล็กน้อย นับตั้งแต่เขาข้ามภพมายังโลกนี้ ก็มีความรู้สึกเหมือนทุกอย่างเป็นเพียงความฝันอยู่เสมอ เขาคิดว่าตนเองคุ้นเคยกับเนื้อเรื่องในโลกนี้ และมีทัศนคติที่เหมือนกำลังเล่นเกม
แต่ตอนนี้เขาเพิ่งตระหนักว่า โลกใบนี้แปลกใหม่และไม่คุ้นเคยสำหรับเขาอย่างยิ่ง เขาเป็นเหมือนแมลงตัวเล็ก ๆ ท่ามกลางฟ้าดิน หากประมาทเพียงนิดเดียวก็อาจดับสิ้นไปในพริบตา
บาดแผลจากดาบที่เจ็บปวดและความกลัวที่เผชิญหน้ากับความตายก่อนหน้านี้ ล้วนแต่ตอกย้ำว่าโลกนี้ซับซ้อนและสมจริงเพียงใด
มู่หรงฟู่ลองเดินลมปราณ แต่พบว่าในตันเถียนไม่มีพลังงานตอบสนองแม้แต่น้อย กลับรู้สึกเจ็บปวดที่เส้นลมปราณแทน เมื่อเขาตรวจสอบอย่างละเอียดก็พบว่าเส้นลมปราณทั่วร่างเกือบจะขาดทั้งหมด
ที่จริงแล้ว ด้วยพลังลมปราณของมู่หรงฟู่ การฝึกฝน โต่วจ้วนซิงอี้ [วิชาหมุนดาวเปลี่ยนดวง] ขั้นที่สองก็ถือว่ายากลำบากมากอยู่แล้ว แม้ในช่วงที่ร่างกายสมบูรณ์เต็มที่ก็ยังไม่ควรใช้อย่างพลการ ยิ่งไปกว่านั้น ตอนที่เขาใช้กระบวนท่านี้ พลังลมปราณในร่างเหลือไม่ถึงหนึ่งส่วนในสิบ การที่เขาไม่ถูกพลังสะท้อนจนตายทันทีถือว่าเป็นปาฏิหาริย์
มู่หรงฟู่ตกตะลึง เพราะวิทยายุทธ์คือสิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้เขายืนหยัดอยู่ในโลกนี้ได้ หากไม่สามารถฝึกฝนได้อีก ก็แทบไม่ต่างจากกลายเป็นคนไร้ค่า ความรู้สึกสิ้นหวังจู่โจมเขาอีกครั้ง ราวกับเขาได้ย้อนกลับไปยังช่วงแรกที่เพิ่งข้ามภพมา
“ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้าติงเตี้ยนตัวแสบ! เห็นข้าจะตายก็ไม่ยอมช่วย! หากข้าเจอเจ้าอีกครั้งล่ะก็...”
มู่หรงฟู่หยุดพูดไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะเยาะตัวเอง "หากเจอแล้วจะทำอะไรได้ล่ะ? อีกหน่อยติงเตี้ยนจะต้องกลายเป็นยอดฝีมือ แต่ข้ากลับ...หืม?"
จู่ ๆ ในหัวของมู่หรงฟู่ก็เกิดความคิดวูบขึ้น เหมือนมีข้อมูลสำคัญบางอย่างที่เขามองข้ามไป
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง มู่หรงฟู่ก็ตระหนักได้ว่า ติงเตี้ยนที่เคยถูกตัดเส้นเอ็นมือและเท้า แต่กลับกลายเป็นยอดฝีมือในภายหลัง ก็เพราะ เสินเจ้าเกิง [วิชาแสงแห่งเทพ] ไม่ใช่หรือ? คิดไปแล้ว วิชานี้น่าจะมีประสิทธิภาพในการรักษาเส้นลมปราณได้เป็นอย่างดี!
และตอนนี้วิชาแสงแห่งเทพก็อยู่ในความทรงจำของเขา ทำไมไม่ลองฝึกดูเล่า!
มู่หรงฟู่หลับตาลงและเริ่มฝึกฝนวิชาวิชาแสงแห่งเทพเสินทันที ด้วยการประยุกต์คำอธิบายของเหมยเนี่ยนเซิง ที่เคยบอกไว้ รวมกับพรสวรรค์อันยอดเยี่ยมของเขา เพียงหนึ่งชั่วยาม (2 ชั่วโมง) เส้นลมปราณที่เสียหายก็เริ่มมีอาการคันเล็กน้อย ซึ่งเป็นสัญญาณว่ากำลังฟื้นตัวอย่างช้า ๆ
มู่หรงฟู่ดีใจอย่างมาก เพราะวิชาแสงแห่งเทพนี้แตกต่างจากวิชาลมปราณอื่น ๆ มันไม่ต้องพึ่งพาเส้นลมปราณในการฝึกฝน แถมยังสามารถช่วยรักษาเส้นลมปราณที่เสียหายได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม เขายังไม่แน่ใจว่าวิชานี้จะรักษาบาดแผลอื่น ๆ ได้หรือไม่
เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้มู่หรงฟู่ได้รับบทเรียนสำคัญ ในอดีตเขามักคิดถึงแต่ "เป่ยหมิงเสินกง” [วิชาพลังเทพเป่ยหมิง] และมองข้ามวิชาลมปราณไร้นามของตระกูลมู่หรง จึงไม่ได้ฝึกฝนอย่างจริงจัง
ต่อจากนี้ไป เขาจะไม่ทะนงตัวอีกแล้ว กว่าจะไปถึงภูเขาอู๋เหลียงยังมีหนทางอีกยาวไกล สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการรักษาชีวิตให้รอด!