ตอนที่ 185 ค่ายกลกระบี่ห้าธาตุ(ฟรี)
เดือนสิงหาคม ปีที่ 20 แห่งรัชศกหง ช่วงฤดูร้อน
แสงแดดแผดเผาจนสุนัขแก่ในเมืองต้องนอนหอบลิ้นยาวอยู่ใต้ร่มไม้ ชาวบ้านต่างพากันหลบร้อนอยู่ในบ้าน
แต่ตอนนั้นเอง กลับมียันต์สื่อสารสีทองมากมาย บินว่อนไปมาทั่วเมืองราวกับหิ่งห้อยเพื่อส่งต่อข่าวสาร
“เซียนกระบี่แห่งสำนักกระบี่มั่วเป่ยอยู่ห่างจากเมืองหลวงหนานตูอีกเพียงสามร้อยลี้!”
เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป ทั่วทั้งเมืองต่างแตกตื่น
ผู้นำของทุกสำนักและตระกูลใหญ่ต่างได้รับข่าวนี้มานานแล้ว พวกเขามารวมตัวกันที่เมืองหลวงหนานตู รอคอยการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่นี้ การต่อสู้ครั้งนี้ได้รับความสนใจมากกว่าการต่อสู้ระหว่างเซียนเฒ่าในแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อเยวี่ยเสียอีก
“โลกภายนอกต่างเล่าลือถึงความแข็งแกร่งของเซียนกระบี่และค่ายกลกระบี่ วันนี้ข้าจะได้เห็นกับตาตนเองเสียที!”
“ว่ากันว่าค่ายกลกระบี่เป็นท่าไม้ตายของสำนักกระบี่มั่วเป่ย ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาใช้มันก็คือสามพันปีก่อน ตอนนั้นมีอสูรนอกดินแดนบุกเข้ามา เซียนวิญญาณแรกก่อตั้งระดับสูงสุดยังทำอะไรมันไม่ได้ สุดท้ายพวกเขาก็ใช้ค่ายกลกระบี่จัดการมัน!”
“บ้าจริง! นี่พวกเขากำลังเปรียบลู่เฉินเป็นอสูรจากนอกดินแดนงั้นหรือ?”
“หากพูดถึงความสามารถ ลู่เฉินก็ไม่ต่างอะไรจากอสูรนอกดินแดน แต่ผลลัพธ์ของการต่อสู้ครั้งนี้…ยากที่จะคาดเดา!”
“สำนักกระบี่มั่วเป่ยมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ข้าได้ยินมาว่าค่ายกลกระบี่นี้สืบทอดมาจากโลกเบื้องบน หากค่ายกลไร้ช่องโหว่…เกรงว่าลู่เฉินจะลำบาก”
“ลำบากอะไรกัน? ข้าคิดว่าเซียนลู่ควรใช้ธนูทำลายวิถีเซียน ยิงหัวหน้าค่ายกลและทำลายจุดอ่อนของค่ายกลเสีย เช่นนั้นค่ายกลก็จะพังทลาย”
“มันไม่ได้ง่ายอย่างที่เจ้าคิดหรอก! พลังของค่ายกลกระบี่เกินกว่าที่เราจะจินตนาการได้! แม้ธนูทำลายวิถีเซียนจะทรงพลัง แต่หากเข้าไปในค่ายกลกระบี่ ก็ไม่รู้ว่ามันจะบินไปทางไหน ยิ่งไปกว่านั้น เซียนลู่ได้สัญญากับเซียนอี้เจี้ยนแล้วว่าจะต่อสู้ด้วยกระบี่ ไม่ใช้อาวุธอื่น…”
“ต่อสู้ด้วยกระบี่ เซียนลู่กำลังมัดมือชกตัวเองชัด ๆ”
ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ดังขึ้นทั่วสารทิศ เหล่าเซียนผู้แข็งแกร่งต่างเดินออกจากบ้าน ไม่สนใจแสงแดดที่แผดเผา มุ่งหน้าไปยังจุดที่เหมาะสมสำหรับรับชมการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่
ไม่นานนัก ภาพที่น่าตื่นตะลึงก็ปรากฏขึ้น
กระบี่บิน! กระบี่บิน!
กระบี่บินนับไม่ถ้วนพุ่งมาจากทิศเหนือ ภายใต้แสงตะวันร้อนฉ่า กระบี่เหล่านี้สะท้อนแสงสีขาวเจิดจ้า บนกระบี่แต่ละเล่มมีเซียนกระบี่ในชุดดำยืนอยู่อย่างสง่างาม
เซียนกระบี่เหล่านี้ได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มงวด ทุกคนยืนตัวตรง ท่าทางองอาจ สะพายกระบี่ไว้ด้านหลัง พร้อมปล่อยจิตสังหาร
“พวกเขามาแล้ว!” เหล่าเซียนผู้แข็งแกร่งและชาวเมืองต่างเงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยความตกตะลึง
“นี่มัน…น่าจะมีเป็นพันคนได้! สำนักกระบี่มั่วเป่ยยกทัพมาทั้งหมดเลยหรือ?”
“นี่ไม่ใช่ค่ายกลกระบี่ธรรมดา แต่มันคือค่ายกลกระบี่ขั้นสูง! ไม่แปลกใจเลยที่ได้ยินมาว่าสำนักกระบี่มั่วเป่ยฝึกฝนมันมาหลายปี!”
“จบสิ้นแล้ว! คราวนี้ลู่เฉินคงลำบาก”
ขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกัน เซียนกระบี่นับพันคนก็หยุดอยู่เหนือเมืองหลวงหนานตู ในชั่วพริบตา ทั่วทั้งเมืองก็เต็มไปด้วยแสงกระบี่และจิตสังหาร ทำให้ทุกคนในเมืองเงียบลงโดยไม่รู้ตัว
“ข้าคือลู่เฉิน เซียนอิสระแห่งเมืองหลวงหนานตู ยินดีที่ได้พบกับสหายเซียนกระบี่ทุกท่าน!” ลู่เฉินเตรียมพร้อมรับมือ
เขาสวมชุดขาว เดินอยู่บนอากาศจากยอดเขาหวังฟู ราวกับมีบันไดล่องหนอยู่ใต้ฝ่าเท้า พาเขาลอยขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึงท้องฟ้า
“สหายเต๋าลู่” เซียนอี้เจี้ยนเดินออกมา กำหมัดคำนับลู่เฉินและกล่าว “สุภาษิตกล่าวว่า ‘ฝนเล็บสิบปี’ หลังจากพ่ายแพ้ ข้าก็กลับไปที่สำนักกระบี่มั่วเป่ยและรวบรวมพลังของทั้งสำนักเพื่อฝึกค่ายกลกระบี่ บัดนี้ข้าสำเร็จวิชา ‘ค่ายกลกระบี่ห้าธาตุ’ แล้ว!”
“ค่ายกลกระบี่ห้าธาตุนี้แบ่งออกเป็น ทอง ไม้ น้ำ ไฟ และดิน ค่ายกลแต่ละส่วนมีแกนกลางและประตู สามารถแปรเปลี่ยนได้ไม่สิ้นสุดและทรงพลังอย่างยิ่ง”
“นอกจากข้าแล้ว ยังมีศิษย์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งอีกห้าคนที่รับผิดชอบค่ายกลย่อยทั้งห้า ศิษย์หลานระดับแก่นทองคำอีกหนึ่งร้อยคนที่ควบคุมประตู และศิษย์ระดับก่อตั้งรากฐานอีกหนึ่งพันคนที่เป็นฐานของค่ายกล รวมทั้งหมดหนึ่งพันหนึ่งร้อยหกคน…”
เสียงของเซียนอี้เจี้ยนดังก้องไปทั่วเมืองหลวงหนานตู เซียนกระบี่เป็นคนตรงไปตรงมา เขาบอกแผนการทั้งหมดเพื่อให้ลู่เฉินได้เตรียมตัว
“ใช้คนกว่าพันคนต่อสู้กับเฉินเอ๋อร์หรือ?” ลู่โฉ่วอี๋ที่ตอนนี้อายุเจ็ดสิบปีแล้ว เดินออกมาจากตำหนัก มองดูท้องฟ้าด้วยความตกตะลึง
เซียนเหมิงป๋อก็ออกมาเช่นกัน เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความตกใจ พยักหน้าและกล่าวว่า “นี่คือค่ายกลกระบี่ของสำนักกระบี่มั่วเป่ย ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีคนเพียงคนเดียวหรือหลายคน ค่ายกลก็ยังคงมีขนาดเท่าเดิม”
“นี่มันมากเกินไปแล้ว!” ลู่โฉ่วอี๋กล่าว “คนกว่าพันคน แต่ละคนถือกระบี่ พวกเขาจะรุมทำร้ายเฉินเอ๋อร์ เช่นนี้จะสู้ได้อย่างไร?”
เหมิงป๋อก็ไม่รู้ว่าจะสู้ได้อย่างไร
เขาส่ายหน้าและยิ้มแห้ง ๆ “การต่อสู้ของเซียนไม่เหมือนการต่อสู้ของคนธรรมดา ตราบใดที่เซียนลู่มีพลังมากพอ เขาก็ยังคงมีโอกาสชนะ”
เดิมทีเขาอยากจะบอกว่ามีโอกาสชนะเพียงเล็กน้อย แต่รู้สึกว่าดูแคลนลู่เฉินไป จึงเปลี่ยนคำพูด แต่ในใจเขาก็คิดว่าลู่เฉินมีโอกาสชนะน้อยมาก
เสียงของเซียนอี้เจี้ยนดังมาจากท้องฟ้าอีกครั้ง “สหายเต๋าลู่ หากท่านยอมแพ้ตอนนี้ และมอบวิชากระบี่เหาะให้พวกเรา พวกเราก็ยังสามารถสงบศึกนี้กันได้”
ทุกคนที่เป็นห่วงลู่เฉินต่างก็อยากให้เขา “ยอมแพ้!”
คนฉลาดย่อมไม่เอาตัวเองไปเสี่ยง สำนักกระบี่มั่วเป่ยมีคนกว่าพันคนที่ฝึกฝนมาสิบปีและเตรียมพร้อมเป็นอย่างดี ลู่เฉินจะสามารถต่อสู้กับพวกเขาเพียงลำพังได้อย่างไร?
ทว่า ลู่เฉินกลับไม่ยอมแพ้
เสียงของเขาดังก้องไปทั่วเมืองหลวงหนานตู “ข้าขอประกาศอีกครั้ง วิชากระบี่เหาะนี้ไม่ได้มาจากสำนักกระบี่มั่วเป่ย และไม่เกี่ยวข้องอะไรกับสำนักกระบี่มั่วเป่ย!”
“หากสำนักกระบี่มั่วเป่ยคิดจะใช้กำลังบังคับให้ข้ามอบวิชา ข้าก็จะสู้สุดกำลัง!”
“ข้าขอเตือนพวกท่านอีกครั้ง การต่อสู้ครั้งนี้มีความสำคัญมาก ข้าไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยของทุกคนได้ หากมีผู้ใดเสียชีวิต ก็อย่าได้โทษผู้อื่น!”
“หืม~” ทุกคนในเมืองต่างสูดหายใจเข้าลึก ๆ “เซียนลู่ไม่เพียงแต่ไม่ยอมแพ้ แต่ยังข่มขู่พวกเขาด้วย! เขาจะเอาชนะได้จริง ๆ หรือ?”
มีเซียนเฒ่าคนหนึ่งกล่าว “เด็กหนุ่มผู้นี้ช่างโอหังนัก ไม่รู้จักความเป็นความตาย!”
คนที่คาดไม่ถึงมากที่สุดคือเซียนอี้เจี้ยน
สาเหตุที่เขาพูดมากขนาดนี้ เพราะเขาสำนึกบุญคุณที่ลู่เฉินไว้ชีวิตเขาในครั้งก่อน เขาหวังว่าลู่เฉินจะยอมแพ้ เพื่อหลีกเลี่ยงการต่อสู้
แต่ลู่เฉินยังคงยืนกรานที่จะต่อสู้
ดวงตาของเซียนอี้เจี้ยนเย็นชากว่าเดิม “สหายเต๋าลู่ ในเมื่อท่านยืนกรานที่จะต่อสู้ เช่นนั้นก็มาสู้กัน! ข้าเป็นเซียนกระบี่แห่งมั่วเป่ย ไม่เคยกลัวการต่อสู้!”
“เซียนกระบี่แห่งมั่วเป่ยไม่เคยกลัวการต่อสู้!” เซียนกระบี่นับพันคนตะโกน พลังของพวกเขาสะเทือนฟ้าดิน
ลู่เฉินกล่าว “ตั้งแต่ต้นจนจบ พวกท่านเป็นฝ่ายมาหาเรื่องข้าและยืนกรานที่จะต่อสู้ ครั้งนี้ข้าจะไม่ปราณี! พวกท่านไม่จำเป็นต้องออมมือ ชีวิตและความตายของพวกท่านขึ้นอยู่กับโชคชะตา!”
เซียนอี้เจี้ยนตะโกน “ชีวิตและความตายขึ้นอยู่กับโชคชะตา! สู้สุดกำลัง! กระบี่อยู่ที่ใด คนอยู่ที่นั่น!”
“สู้สุดกำลัง! กระบี่อยู่ที่ใด คนอยู่ที่นั่น!” เซียนกระบี่ทุกคนคำรามลั่น
ทันใดนั้น เซียนอี้เจี้ยนก็บินขึ้นสู่ท้องฟ้า เขายกมือขึ้นโบก ธงสีเหลืองห้าผืนก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า คนภายนอกมองไม่เห็นกลไก แต่ค่ายกลกระบี่ห้าธาตุทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุมของธงห้าผืนนี้
เขาโบกธงไปมา ค่ายกลกระบี่ห้าธาตุก็ก่อตัวขึ้น ล้อมรอบลู่เฉินและกักขังเขาไว้ตรงกลาง
ไม่นานนัก ค่ายกลก็ถูกสร้างขึ้น ลู่เฉินถูกขังอยู่ในนั้นโดยสมบูรณ์
จี้อู๋ซวงที่กำลังชมการต่อสู้ในตำหนักก็กังวล “ค่ายกลนี้มีขนาดใหญ่และซับซ้อน แต่ละส่วนมีทั้งประตูมงคลและประตูอมตะ หากก้าวพลาดเพียงนิดเดียว ก็อาจถึงแก่ชีวิต! หากเกิดเรื่องไม่ดี ข้าคงเข้าไปช่วยเขาได้ยาก!”
เกาเซิงจื่อถอนหายใจ “ไม่รู้ว่าสหายเต๋าลู่คิดอะไร เขาคิดว่าจะสามารถทำลายค่ายกลได้จริง ๆ หรือ?”