ตอนที่ 1750 ความเมตตา? (ฟรี)
ตอนที่ 1750 ความเมตตา?
พลังอวตารสีน้ำเงินสิบสี่กลีบ ออร่า และสายฟ้าที่แปลกประหลาดก็เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนหวาดกลัว พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ
แม้ว่าจะไม่เคยเห็นผู้มีมลทินมาก่อนก็จริง แต่พวกเขาก็ยังเคยได้ยินเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับเขา โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ บางคนรู้แล้วว่าพลังอวตารนี้เป็นของใครเมื่อพวกเขาได้เห็นมัน แต่พวกเขาก็ยังสงสัย นี่คือพลังอวตารของผู้มีมลทิน? ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นบุคคลที่ทรงพลังที่สุดในดินแดนแห่งความว่างเปล่าจริงๆ งั้นเหรอ? เพราะยังไงซะพลังอวตารของผู้มีมลทินนั้นสูงใหญ่และเจิดจร้ามาก แต่ถึงแบบนั้นก็ยังไม่มีใครกล้าพูดความสงสัยออกมา พวกเขากล้าที่จะเอาชีวิตไปคุกคามซวนอี้ แต่พวกเขากลับไม่กล้าทำแบบนั้นกับผู้มีมลทิน
ทุกคนที่ตัวสั่นก้มหัวลง พวกเขากลัวมากจนไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับลู่โจว
“ใครเป็นคนสั่งให้เจ้ามาสร้างความวุ่นวายที่วิหารซวนอี้?” ลู่โจวที่ยกมือขึ้นถาม ผนึกฝ่ามือของเขาแทนที่ผนึกพลังงานของซวนอี้ มันคว้าคอของผู้ฝึกยุทธที่หยิ่งผยองเอาไว้ ดวงตาของเขาดูราวกับจะสามารถสะกดวิญญาณได้
ผู้ฝึกยุทธคนนั้นที่ใบหน้าเปลี่ยนไปเป็นสีแดงก็เพราะพลังฝ่ามือ เส้นชีพจรทั้งแปดของเขาถูกสกัดกั้นโดยพลังเต๋าแห่งสวรรค์ เขาขยับไม่ได้ วิญญาณของเขากำลังสั่นเทา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “ปะ...ปะ...เปล่า ข้า...” เขากล่าวอย่างยากลำบาก
“นั่นไม่ใช่คำตอบที่ข้าต้องการ ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง” ลู่โจวที่ส่ายหัวกล่าว
ผู้ฝึกยุทธคนนั้นพยายามอย่างเต็มที่ที่จะกลั้นน้ำตา ร่างกายของเขาสั่นเทา แต่เขาก็ยังคงไม่ยอมเปิดเผยว่าใครคือผู้อยู่เบื้องหลัง
“ความจริงแล้วต่อให้เขาจะไม่บอก ข้าก็รู้คำตอบอยู่ดี” สีวู่หยาที่ยืนอยู่ข้างหลังลู่โจวยิ้มพูดต่อ “คนที่สั่งให้เจ้ามาสร้างความเดือดร้อนก็คือจักรพรรดิหยูจากเผ่าขนนกแห่งดินแดนหุบเหวอันยิ่งใหญ่ ใช่รึเปล่า?” เขามองดูผู้ฝึกยุทธคนนั้นและกล่าว
ผู้ฝึกยุทธคนนั้นมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป เขาสะอื้น
“ไม่จำเป็นต้องปฏิเสธหรอก เผ่าขนนกได้ยึดครองดินแดนหุบเหวอันยิ่งใหญ่มานานหลายปีหลังจากที่ทำข้อตกลงกับดินแดนแห่งความว่างเปล่าเพื่อที่จะปกป้องเสาหลักแห่งหายนะที่นั่น มันเป็นสถานที่ๆ เดียวที่มีแสงแดดในดินแดนที่ไม่รู้จัก และมันก็ยังอยู่ใต้ดินแดนเมฆา หากเสาหลักแห่งหายนะดินแดนหุบเหวอันยิ่งใหญ่พังทลายลง เผ่าขนนกจะเป็นกลุ่มแรกที่ต้องเผชิญหน้ากับหายนะ เผ่าขนนกอาศัยอยู่ในดินแดนหุบเหวอันยิ่งใหญ่อย่างมีความสุขมานานกว่า 100,000 ปี การที่พวกเขาจะกลัวว่าชีวิตของตัวเองจะได้รับผลกระทบนั้นถือเป็นเรื่องปกติ” สีวู่หยาที่ยิ้มกล่าว
ซวนอี้ตกใจกับคำพูดของสีวู่หยา
ผู้ฝึกยุทธคนนั้นยังคงดิ้นรน เขาไม่ยอมพูดความจริง
“จักรพรรดิหยูมอบกระบองสยบสวรรค์ให้กับคนอื่น เป้าหมายของเขาก็คือการดึงดูดความสนใจจากดินแดนแห่งความว่างเปล่า เขาไม่ต้องการให้ผู้ที่ครอบครองเมล็ดพันธุ์แห่งความว่างเปล่าทำความเข้าใจเต๋าที่ยิ่งใหญ่ เขาจึงได้สั่งให้เจ้ามาสร้างความเดือดร้อนที่แก่นพลังระดับสูง ใช่รึเปล่า?” สีวู่หยาพูดต่อ
ผู้ฝึกยุทธคนนั้นส่ายหัว เขาปฏิเสธคำพูดของสีวู่หยา
“กระบองสยบสวรรค์อยู่ที่ข้า” ลู่โจวกล่าว
ถึงแม้ว่าสีวู่หยาจะคาดเดาเอาไว้แล้วก็ตาม แต่เขาก็ยังอดที่จะสะเทือนใจไม่ได้หลังจากที่ได้ยินท่านอาจารย์ยอมรับ “จักรพรรดิหยูคงจะต้องเดาตัวตนของท่านออก เขาจึงได้มอบกระบองสยบสวรรค์ให้กับท่านเพื่อที่จะยุยงให้ท่านกับหมิงซินเป็นศัตรูกัน” เขากล่าว
“ข้าต้องให้เขามายุยงข้างั้นเหรอ?” ลู่โจวที่แค่นเสียงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
ความเป็นศัตรูระหว่างเขากับหมิงซินนั้นถูกกำหนดเอาไว้แล้ว
“เจ้าคิดว่าข้าจะปราณีและปล่อยเจ้าไปงั้นเหรอ? เจ้าคิดว่าข้ากลัวการล่มสลายของดินแดนแห่งความว่างเปล่างั้นสิ?” ลู่โจวที่จ้องมองผู้ฝึกยุทธคนนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เศร้าหมอง
“หา?”
ผู้ฝึกยุทธคนนั้นเริ่มดิ้นรน เขาร้องครวญคราง เขาพยายามที่จะหลุดพ้นจากพันธนาการของลู่โจว แต่น่าเสียดาย ไม่ว่าเขาจะพยายามมากแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากพันธนาการของลู่โจวได้
“ฝ่าบาท ข้าขอร้องให้ท่านเห็นแก่ผู้คนมากมายบนโลกใบนี้ด้วย!” ผู้ฝึกยุทธมากมายที่ตอนนี้โค้งคำนับตะโกน
“ฝ่าบาท ข้าขอร้องให้ท่านเมตตาด้วย!”
“ท่านจะฆ่าผู้บริสุทธิ์ไม่ได้!”
พวกเขาไม่สามารถเอาชีวิตไปคุกคามลู่โจวได้ พวกเขาทำได้แค่เพียงหวังพึ่งซวนอี้
“ข้าจะปล่อยให้ท่านอาจารย์เป็นคนจัดการเรื่องของวิหารซวนอี้” ซวนอี้ที่ส่ายหัวมองดูลู่โจวกล่าว
‘ท่านอาจารย์?! เขาคือผู้มีมลทินจริงๆ ด้วย!’
ทุกคนตัวสั่นอีกครั้ง
“ดูเหมือนกับว่าเจ้าจะไม่เข้าใจที่ข้าพูด เจ้าใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในดินแดนแห่งความว่างเปล่า ถึงเวลาแล้วล่ะ ที่เจ้าจะต้องได้ลิ้มรสความทุกข์ทรมาน” ลู่โจวที่หันหลังกลับไปมองดูผู้ฝึกยุทธคนนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
ผู้ฝึกยุทธคนนั้นรู้สึกราวกับว่าผนึกฝ่ามือที่ตอนนี้กำลังบีบคอของเขานั้นแน่นขึ้น เขาดิ้นรนมากขึ้น เสียงร้องของเขาดังขึ้น
แคร็ก!
เสียงกระดูกแตกดังไปทั่ว
ทุกอย่างเงียบลงในทันที
ผู้ฝึกยุทธมากมายมองดูผู้ฝึกยุทธที่ตอนนี้เสียชีวิตไปแล้วด้วยความตกตะลึง ผนึกฝ่ามือไม่เพียงแต่ทำลายความหวังของพวกเขาเท่านั้น แต่มันยังทำลายความคิดที่จะต้องต่อสู้ด้วยชีวิตของพวกเขาอีกด้วย
ผนึกฝ่ามือกำมือแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งดวงตาของผู้ฝึกยุทธคนนั้นถลนออกมา สายฟ้าอันทรงพลังแผ่ขยายไปทั่วร่างกายของเขา มันกลืนกินร่างกายของเขา ไม่นานนักร่างกายของเขาก็หายไปในสวรรค์กับโลก
“ตอนนี้ข้าจะเริ่มสังหารหมู่ซะ ดูสิพวกเจ้าจะทำยังไง?” ลู่โจวที่มองดูทุกคนกล่าว เขายืนเอามือไขว้หลัง
“...”
ทุกคนถอยห่างออกไป
ผู้คนที่ครั้งหนึ่งเคยโกรธแค้นตอนนี้กลับถูกปราบโดยลู่โจวเพียงคนเดียว ตอนนี้ไม่มีใครคิดที่จะต่อสู้ด้วยชีวิตหรือทำลายแก่นพลังระดับสูงแม้ว่าพวกเขาจะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม พวกเขารู้เพียงแค่ว่าพวกเขาต้องถอยห่างออกไป ความหวาดกลัวที่ไม่อาจอธิบายได้กัดกินพวกเขา พวกเขากลืนน้ำลายและถอยห่างออกไปเรื่อยๆ
“สังหารทุกคนที่ก่อเรื่อง!” ซวนอี้สั่งการเมื่อผู้ฝึกยุทธมากมายเกือบจะออกจากพื้นที่ของแก่นพลังระดับสูง
“ครับ!”
ยามทมิฬมากมายบินเข้าหาผู้ฝึกยุทธในทันที
ผู้ฝึกยุทธมากมายรีบถอยห่างออกไป คนที่ครั้งหนึ่งเคยส่งเสียงดังตอนนี้กลับมีสีหน้าซีดเผือดก็ด้วยความหวาดกลัว บางคนถึงกับกลั้นปัสสาวะไว้ไม่อยู่
“ต้วนมู่เฉิงอยู่ที่ไหน?” ลู่โจวที่เก็บพลังอวตารกลับไปถาม
“นับตั้งแต่ที่ต้วนมู่เฉิงได้รับเลือกให้เป็นแม่ทัพแห่งวิหารซวนอี้ที่ดินแดนเมฆา เขาก็ยังไม่ได้ปรากฏตัวขึ้น ข้าไม่รู้ว่าเขาหายไปไหน...” ซวนอี้ตอบ
“ท่านอาจารย์ ข้าสงสัยว่าจักรพรรดิแดงคงจะต้องไปที่เสาหลักแห่งหายนะจีหมิง ที่นั่นคือสถานที่ๆ องค์หญิงหม่อนอยู่ ตอนนี้ดินแดนแห่งความว่างเปล่ากำลังจะพังทลายลง จักรพรรดิแดงคงจะไม่ทิ้งนางไว้ที่นั่นแน่...” สีวู่หยาที่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
ลู่โจวพยักหน้า
“ท่านอาจารย์ ในเมื่อพวกเรามาที่ดินแดนแห่งความว่างเปล่าแล้ว พวกเราก็ควรจะต้องมั่นใจว่าคนอื่นๆ จะต้องทำความเข้าใจเต๋าที่ยิ่งใหญ่ได้สำเร็จ พวกเราไม่ต้องสนใจศิษย์พี่สามกับศิษย์พี่สี่ พวกเขาจะต้องปลอดภัย” สีวู่หยาพูดต่อ
“อืม เจ้ากลับไปที่โถงถูเว่ยก่อนเถอะ” ลู่โจวกล่าว
“ครับ ท่านอาจารย์” สีวู่หยาที่โค้งคำนับกล่าว “ทุกคน ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” เขาหันไปหาคนของศาลาปีศาจลอยฟ้าก่อนจะโค้งคำนับเล็กน้อย
“ท่านเจ็ด!” เม้งฉางตงที่ตอนนี้เพิ่งจะเห็นสีวู่หยาที่ตอนนี้กำลังสวมหน้ากากอยู่กล่าวอย่างตื่นเต้น เขาก้าวไปข้างหน้า ด้วยคำพูดที่สีวู่หยามีต่อลู่โจว ไม่แปลกที่พวกเขาจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“ท่านเจ็ด ท่านโชคดีมากที่ได้ฟื้นคืนชีพ!”
สีวู่หยาถอดหน้ากากออก เผยให้เห็นใบหน้าของเขา
คนของศาลาปีศาจลอยฟ้ามองดูสีวู่หยาด้วยความตกตะลึง บางคนค่อนข้างสะเทือนอารมณ์ บางคนค่อนข้างตื่นเต้น บางคนค่อนข้างประหลาดใจ และบางคนก็ยังไม่อยากจะเชื่อ
ศิษย์คนที่เจ็ดแห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าที่ครั้งหนึ่งเคยถูกทิ้งอยู่ในมหาสมุทรไม่มีที่สิ้นสุดได้ฟื้นคืนชีพ!
“ยินดีต้อนรับกลับมา ท่านเจ็ด!” คนของศาลาปีศาจลอยฟ้าที่โค้งคำนับกล่าวพร้อมกัน
“ข้าสงสัยมาโดยตลอดว่าทำไมฉีเชิงถึงได้ไม่โหดเหี้ยมเท่ากับในอดีต สัญชาตญาณของข้าถูกต้องแล้ว!” ฝานลี่เทียนพูดอย่างสะเทือนอารมณ์
“ชื่อฉีเชิงก็น่าจะบอกคำตอบพวกนั้นได้แล้ว! เจ้าไม่ได้บอกหรอกเหรอว่าเป็นไปไม่ได้ที่ฉีเชิงกับท่านเจ็ดจะเป็นคนเดียวกัน?” ใครบางคนหัวเราะ
“พวกเจ้าคิดมากไปเอง!”
คนของศาลาปีศาจลอยฟ้าหัวเราะออกมาเสียงดัง พวกเขามีความสุขมาก นานมากแล้วที่พวกเขาไม่ได้หัวเราะออกมาเสียงดังแบบนี้
หลังจาก 200 ปี สีวู่หยาก็ได้กลับมารวมตัวกับคนอื่นๆ อีกครั้ง
“ขอบคุณที่เป็นห่วงพวกเรา ข้ายังคงมีธุระสำคัญ ข้าคงต้องขอตัวก่อน” สีวู่หยาที่ถึงแม้ว่าจะเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วก็จริง แต่เขาก็ยังอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้กล่าว
“ท่านเจ็ด เชิญเถอะ พวกเราเชื่อมั่นในตัวท่าน!”
“ข้ายังคงรอคอยวันที่ศิษย์ทั้งสิบแห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าจะได้กลับมารวมตัวกัน” ฝานลี่เทียนกล่าว
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย คำพูดพวกนี้ไม่ใช่เรื่องโกหก นานมากแล้วที่ศิษย์ทั้งสิบคนจากศาลาปีศาจลอยฟ้าไม่ได้รวมตัวกัน หลังจากที่สีวู่หยา ‘เสียชีวิต’ พวกเขาคิดว่ามันคงจะเป็นไปไม่ได้ แต่ตอนนี้สีวู่หยากลับมาแล้ว ทุกคนต่างก็ตั้งตารอการรวมตัว
“ไปเถอะ” ลู่โจวที่โบกแขนเสื้อกล่าว
สีวู่หยาที่พยักหน้าบินขึ้นไปบนฟ้า ปีกที่ลุกไหม้ปรากฏขึ้นบนหลังของเขา ปีกขนาดใหญ่นั้นปกคลุมท้องฟ้า เปลวเพลิงลุกไหม้
ผู้ฝึกยุทธมากมายมองดูด้วยความตกใจ
“เทพเพลิง?!”
“เขาเป็นผู้สืบทอดของเทพเพลิง? ข้าไม่คิดเลยว่าท่านอาจารย์จะมีศิษย์ที่โดดเด่นขนาดนี้! เขายังเป็นถึงผู้สืบทอดของเทพเพลิงอีกด้วย!” ซวนอี้ที่มองดูปีกที่ลุกไหม้นั้นกล่าวอย่างชื่นชม
ซวนอี้คิดว่าศิษย์ที่เขาได้พบนั้นยอดเยี่ยมมากพอแล้ว แต่เขาไม่คิดเลยว่ายังคงมีอีกคนที่พลังฝึกฝนนั้นไม่อาจหยั่งถึงได้ ยิ่งเป็นถึงผู้สืบทอดของเทพเพลิงด้วยแล้ว ‘ศาลาปีศาจลอยฟ้านี่มัน...ทรงพลังจริงๆ!’ เขาพยักหน้าและใช้ความคิด
“เจ้าศาลาลู่ เชิญท่านที่ห้องโถงใหญ่” ซวนอี้ที่เก็บความคิดที่ซับซ้อนกลับไปกล่าว
ลู่โจวที่ยืนเอามือไขว้หลังเดินลงมา ทุกคนเดินตามเขา
ยามทมิฬมากมายอยู่ที่นี่เพื่อที่จะปกป้องแก่นพลังระดับสูง ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าไปใกล้
“ยินดีด้วย ท่านอาจารย์ ท่านกลับมาถึงขีดสุดแล้ว ท่านสามารถประกาศการกลับมาของท่านให้โลกรับรู้ได้แล้ว!” ซวนอี้ที่โค้งคำนับอีกครั้งหลังจากที่ทุกคนกลับมาถึงห้องโถงใหญ่กล่าว
ถึงแม้ว่าลู่โจวจะไม่ได้บอกว่าเขาเป็นถึงผู้มีมลทิน เจ้าแห่งภูเขาลึกลับ แต่การกลับมาของเขาก็ยังถูกเปิดเผยหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ต่างๆ มากมายอยู่ดี
“วิหารซางจางเป็นยังไงบ้าง?” ลู่โจวถาม
“พวกเราไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องวิหารซางจาง เขาเป็นถึงจักรพรรดิเทพคนเดียวในสิบวิหาร เขากำลังปกป้องเด็กสาวสองคนนั้น” ซวนอี้ที่ยิ้มพูดต่อ “ยิ่งไปกว่านั้นหนึ่งในนั้นยังคงเป็นถึงลูกสาวของเขา เขาค่อนข้างระแวดระวัง หากมีใครคิดที่จะแทงลูกสาวของเขาด้วยมีด เขาคงจะเป็นคนแรกที่เข้าไปรับมีดแทน”
“หลิงเว่ยหยางยังอยู่ในดินแดนแห่งความว่างเปล่ารึเปล่า?” ลู่โจวที่ค่อนข้างพอใจกับความปลอดภัยของเด็กสาวทั้งสองคนพยักหน้า ตอนนี้เขาต้องคำนึงถึงศิษย์คนแรกและคนที่สองของเขาแล้ว
“เขากลับมาแล้ว เขารู้ว่าดินแดนแห่งความว่างเปล่ากำลังจะพังทลายลง เขาจึงได้หมดหวังที่จะกลับไป” ซวนอี้กล่าวอย่างเศร้าโศก ความจริงแล้วในใจของเขาก็ยังไม่อยากจะให้ดินแดนแห่งความว่างเปล่าพังทลายลงเช่นกัน แต่น่าเสียดาย มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งท่าทีของวิหารศักดิ์สิทธิ์ด้วยแล้ว
“ท่านอาจารย์ เซียนหญิงซีเหอได้มาพบกับท่านหลายครั้งแล้ว” ซวนอี้กล่าว
“หลานซีเหองั้นเหรอ?”
“นางบอกว่ามีเรื่องอยากจะปรึกษากับท่าน” ซวนอี้ที่หันไปหาลูกน้องคนหนึ่งสั่งการทันที “ไปบอกเซียนหญิงซีเหอว่าเจ้าศาลาลู่อยู่ที่วิหารซวนอี้”
“ครับ”
หลานซีเหอที่อยู่ในวิหารซีเหอตลอดทั้งวันดีใจมากที่ได้รับข่าวจากซวนอี้ นางรีบเรียกโอยางจื่อหยุนมาที่ห้องโถงใหญ่
“ท่านหญิง” โอยางจื่อหยุนโค้งคำนับทักทายเมื่อมาถึง
“ท่านโอยาง เจ้าศาลาลู่กลับมาแล้ว ข้าคิดว่าท่านเหมาะสมที่สุดที่จะไปกับข้า” หลานซีเหอกล่าว
“ท่านจะไปพบกับเจ้าศาลาลู่จริงๆ งั้นเหรอ?” โอยางจื่อหยุนถาม
“ข้าบอกได้เลยว่าวิหารศักดิ์สิทธิ์จงใจเพิกเฉยต่อเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้น ดินแดนแห่งความว่างเปล่ากำลังจะถล่มลงมา ตอนนี้ข้าทำได้แค่เพียงไปหาเจ้าศาลาลู่เท่านั้น ท่านโอยาง ทำไมท่านถึงได้ไม่ให้ข้าไปพบกับเจ้าศาลาลู่มาโดยตลอด?” หลานซีเหอกล่าว
“ในเมื่อท่านยืนกรานแบบนี้ ข้าก็จะไปกับท่าน” ท่านโอยางที่ถอนหายใจกล่าว
“ดี พวกเราอย่าได้เสียเวลากันเลย ไปกันเถอะ” หลานซีเหอที่พยักหน้ากล่าว
จากนั้นทั้งสองก็ยังคงออกจากวิหารซีเหอไป