ตอนที่ 156 มีน้ำใจ (ฟรี)
ตอนที่ 156 มีน้ำใจ
เมื่อเข้าไปในห้องประชุม สิ่งที่สวี่จื้อเห็นก็คือ เจ้าหน้าที่อาวุโสของรัฐบาลกลางหลายคนในวัยหกสิบเศษๆ
ความประหลาดใจเล็กน้อยแวบขึ้นมาในดวงตาของพวกเขา เมื่อพวกเขาเห็นรูปร่างหน้าตาของ สวี่จื้อ แม้ว่าพวกเขาจะเคยเห็นรูปถ่ายของเธอในอดีต และเฝ้าดูธุรกรรมทั้งหมดกับสหพันธ์ และร่างของสวี่จื้อที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาก็เหมือนกับที่พวกเขาเคยเห็นมาก่อนอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็มีบางสิ่งที่ต่างออกไป
มีความแตกต่างอย่างมากจากภาพถ่ายของเธอ ไม่ใช่ว่ารูปร่างหน้าตาของเธอเปลี่ยนไป แต่มีความแตกต่างอย่างมากในด้านอารมณ์ และบรรยากาศรอบตัว มันเหมือนกับเธอเปลี่ยนเป็นคนละคนเลยทีเดียว
เมื่อสวี่จื้อเข้ามาในห้องประชุม เธอก็รับรู้ได้ถึงคลื่นพลังงานที่ผันผวน ภายใต้ผลของสกิลเนตรส่องความลับ เธอสามารถมองผ่านได้อย่างง่ายดายว่าห้องประชุมมีรูปแบบป้องกันซึ่งปิดกั้นสายตาที่สอดรู้สอดเห็นทั้งหมดได้ในระดับหนึ่ง
ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายให้ความสำคัญกับการประชุมครั้งนี้มาก
หลังจากนั่งลงแล้ว เดิมทีเจ้าหน้าที่อาวุโสต้องการแลกเปลี่ยนคำทักทายสองสามคำกับสวี่จื้อ พยายามทำความใกล้ชิดให้มากขึ้น แต่สวี่จื้อก็ไม่สนใจสิ่งนี้เลย และเริ่มตรงเข้าประเด็นในทันที
“คราวนี้ ฉันมาที่นี่เพื่อทำข้อตกลงกับสหพันธ์”
“นี่เป็นข้อตกลงพิเศษ จึงต้องให้พวกคุณทุกคนช่วยกันตัดสินใจ”
เมื่อเห็นว่าสวี่จื้อไม่ได้ตั้งใจที่จะเสียเวลาแลกเปลี่ยนคำทักทาย พวกเขาจึงมองหน้ากัน และเริ่มเปิดประเด็น “แล้วคุณต้องการจะหารือเกี่ยวกับข้อตกลงแบบใดกับเรา”
“ก่อนอื่น” สวี่จื้อกล่าว “เกี่ยวกับค่าตอบแทนสำหรับการจัดการกับอาร์คบิชอป เนื่องจากข้อมูลที่ผิดพลาด จากอาร์คบิชอปสองคนกลายเป็นสาม พวกคุณจึงจะต้องจ่ายเพิ่ม”
เมื่อได้ยิน พวกเขาก็มองหน้ากันด้วยความสับสน “คุณสวี่ เราขอพูดตามตรง สหพันธ์ได้จ่ายเงินไปเป็นจำนวนมากเป็นค่าตอบแทนสำหรับคุณ หากให้เพิ่มอีกตอนนี้ก็เกินความสามารถของเราไปจริงๆ”
“นอกจากนี้ ไม่ใช่ว่าเราจงใจปกปิดการปรากฏตัวของอาร์คบิชอปอีกคน แต่เราไม่รู้เรื่องนี้เลยต่างหาก!”
เมื่อสวี่จื้อได้ยินสิ่งนี้ เธอก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่สามารถทำในสิ่งที่เธอร้องขอได้จริงๆ และนั่นเป็นเพียงข้อแก้ตัวในการเจรจาต่อรอง
แต่เธอก็ไม่คิดจะทำงานเพิ่มให้ฟรีๆ พวกเขาจึงต้องหลั่งเลือดกันสักหน่อย
ยิ่งไปกว่านั้น เธอรู้มานานแล้วว่าจะมีอาร์คบิชอปมากกว่าสองคน และวางแผนใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ และขอรางวัลเพิ่มเติม
“แน่นอน ฉันไม่ใช่คนใจร้ายอะไร” สวี่จื้อกล่าวว่า “ฉันอยากจะเชื่อว่าพวกคุณไม่ได้ตั้งใจจะหลอกฉัน และไม่รู้เกี่ยวกับอาร์คบิชอปคนที่สาม ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงขอรางวัลเพียงครึ่งเดียว แต่คุณให้คำสัญญากับฉันข้อหนึ่ง”
ที่จริงแล้ว จุดประสงค์ของสวี่จื้อไม่ใช่การร้องขอรางวัลมากมายอะไร อย่างไรก็ตาม ความต้องการสำหรับแก่นพลังของเธอก็ยังไม่ได้หายไปไหน
"คุณต้องการอะไร" เหล่าเจ้าหน้าที่อาวุโสไม่ตอบรับในทันที ‘คำสัญญา’ ของสวี่จื้อ ต้องไม่ใช่เรื่องเล็กๆ อย่างแน่นอน
“ฉันอยากขอให้สหพันธ์ให้สิทธิ์การเป็นเจ้าของเมืองหยุนแก่ฉัน เมืองหยุนจะเป็นอิสระนับจากนี้เป็นต้นไป และประกาศต่อสาธารณะว่าเมืองหยุนจะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสหพันธ์อีกต่อไป แต่จะเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของฉัน”
เมื่อได้ยิน ห้องประชุมก็เงียบลง
ความเงียบปกคลุมทั้งประชุมอยู่ชั่วหนึ่ง
ทุกคนมองหน้ากัน จากนั้นมองไปที่สีหน้าของสวี่จื้อ ราวกับยืนยันว่าเธอจริงจังเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่
แต่เมื่อพิจารณาจากสีหน้าของสวี่จื้อ นี่ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของการเจรจาต่อรอง ดูเหมือนเด็กสาวคนนี้จะจริงจังเกี่ยวกับเรื่องนี้
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะให้พวกเขาจะยอมเห็นด้วย
ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาก็ต้องการเข้าไปในเมืองหยุนมาโดยตลอด ตอนนี้เมืองหยุนได้เปิดทางเข้าออกแล้ว จึงมีความหวังที่พวกเขาจะสามารถเข้าออกได้อย่างอิสระ คำขอดังกล่าวในช่วงเวลานี้ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้อย่างไม่ต้องสงสัย
“เราไม่สามารถทำตามคำขอของคุณได้”
แน่นอนว่าผู้นำของเจ้าหน้าที่อาวุโสปฏิเสธ
สวี่จื้อไม่แปลกใจเกี่ยวกับกับสิ่งนี้ เธอยิ้ม และพูดต่อว่า “อย่ารีบปฏิเสธ”
“พวกคุณควรรู้อย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตามจริงๆ แล้วมันไม่ได้สำคัญอะไรสำหรับฉัน”
“ที่ฉันเอ่ยปากขอก็เพื่อทำให้มันถูกต้องเท่านั้นเอง ที่จริงแล้วไม่ว่าพวกคุณจะเห็นด้วยหรือไม่ เมืองหยุนก็กลายเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของฉันแล้ว”
หลังจากเธอพูดจบ ดวงตาของทุกคนที่อยู่รอบๆ ก็เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย
ในความคิดของพวกเขา แม้ว่าความแข็งแกร่งของสวี่จื้อจะสูงมาก แต่เธอก็ไม่น่าจะต่อต้านพลังของทั้งสหพันธ์ได้
หากความสัมพันธ์ถูกตัดขาดจริงๆ และพวกเขาใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมดที่มี ก็มีโอกาสสูงที่จะฆ่าเธอได้
สำหรับเรื่องของอาร์คบิชอปที่พวกเขายอมถอย ก็เพราะพวกเขาเหนื่อยล้า และกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน จึงไม่ได้คิดจะใช้มาตรการรุนแรง ไม่ใช่หมายความว่าพวกเขาไม่มีทางสู้จริงๆ
ทัศนคติของสวี่จื้อตอนนี้ จึงค่อนข้างหยิ่งไม่น้อย
เมื่อเห็นสิ่งนี้ สวี่จื้อก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบโดยไม่กะพริบตา “ไม่ต้องพูดถึงความแข็งแกร่งของฉัน ยังมีอีกอีกเหตุผลหนึ่งที่พวกคุณไม่สามารถปฏิเสธได้”
"นั่นคือ ฉันสามารถควบคุมได้ว่าใครสามารถเข้าและออกจากเมืองหยุนได้”
เหมือนโยนระเบิดลงในน้ำลึก บรรยากาศในห้องประชุมก็เดือดพล่านในพริบตา
เช่นเดียวกับที่จงหลิงฟานไม่สามารถควบคุมสีหน้าของตัวเองได้เมื่อได้ยินข่าว คนเหล่านี้ที่อยู่ในห้องประชุมก็เช่นเดียวกัน
สวี่จื้อมองดูสีหน้าประหลาดใจ และความไม่อยากเชื่อในสายตาของพวกเขาอย่างใจเย็น ไม่นานก็มีคนถามด้วยน้ำเสียงทุ้มว่า “สิ่งที่คุณพูดเป็นเรื่องจริงเหรอ?”
สวี่จื้อเลิกคิ้ว “แน่นอน ทำไมฉันต้องโกหกเกี่ยวกับเรื่องสำคัญขนาดนี้ด้วย?”
นี่เป็นเรื่องจริง ง่ายเกินไปที่จะตรวจสอบความถูกต้อง
“ถ้าอย่างนั้น คุณช่วยพิสูจน์ให้เราเห็นหน่อยได้มั้ย?”
พวกเขาไม่ใช่คนโง่ ที่จะเชื่อในทุกคนที่คนอื่นพูด
สวี่จื้อพยักหน้า และหยิบป้ายไม้ขนาดครึ่งฝ่ามือออกมา ดูเหมือนว่าจะทำออกมาค่อนข้างหยาบ โดยมีคำว่า ‘บัตรผ่านหยุนเฉิง’ สลักเอาไว้
สวี่จื้อขอให้ผู้ปลุกพลังในฐานช่วยทำสิ่งนี้ขึ้นมาโดยจ่ายค่าเหนื่อยให้อย่างสมน้ำสมเนื้อ
พลังวิเศษของเธอติดอยู่กับป้ายไม้ ทำให้มันสามารถมอบสิทธิ์ในการเข้าออกเมืองหยุนสำหรับหนึ่งคน โดยเข้าและออกได้เพียงหนึ่งครั้ง
สวี่จื้ออธิบายสั้นๆ เกี่ยวกับหน้าที่ของป้ายไม้ แล้วพูดว่า “ด้วยบัตรผ่านอันนี้ พวกคุณสามารถเข้าและออกจากตำแหน่งใดก็ได้ หากต้องการพิสูจน์ก็ให้คนไปลองดูได้เลย”
“หากพวกคุณคิดว่าฉันโกหก ก็ลองพยายามเข้าไปในเมืองด้วยวิธีอื่นดูก่อนได้เช่นกัน”
คำพูดของสวี่จื้อค่อนข้างมั่นใจ ด้วยความกึ่งเชื่อ และกึ่งสงสัย และแม้จะอธิษฐานว่าเรื่องนี้จะไม่เป็นความจริง แต่ป้ายไม้ก็ยังถูกส่งไปที่ชานเมืองอยู่ดี
ในไม่ช้า ทุกอย่างก็ได้รับการตรวจสอบ
ป้ายไม้นี้สามารถอนุญาตให้ผู้คนเข้าและออกจากเมืองหยุน และสามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
“.เป็นยังไงบ้าง?”
“เราจะเชื่อได้อย่างไรว่านี่คือพลังวิเศษของคุณ ไม่ใช่เกิดจากสิ่งอื่น”
พวกเขายังคงไม่อยากยอมรับความจริงข้อนี้ และยังคงถามด้วยความสงสัย
สิ่งนี้ทำให้สีหน้าสวี่จื้อดูไม่ค่อยดี “พวกคุณน่าจะมีผู้ปลุกพลังที่สามารถตรวจสอบความผันผวนของพลังงานได้อยู่ไม่ใช่เหรอ”
“แค่ตรวจสอบดูก็น่าจะรู้ได้ไม่ยากแล้วว่าพลังงานบนป้ายไม้นั้นเป็นของฉันจริงหรือเปล่า”
เหล่าเจ้าหน้าที่อาวุโสของสหพันธ์ไม่ใช่คนโง่ ดังนั้นพวกเขาจึงคิดถึงเรื่องนี้เอาไว้ก่อนแล้ว คำถามที่ถามออกไปก็เพียงเพื่อดูว่าพวกเขาสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้อีกหรือไม่
เมื่อเห็นว่าสวี่จื้อไม่คิดจะเปิดเผยอะไร พวกเขาก็รู้สึกปวดหัว นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขารู้สึกว่าไม่มีอะไรที่พวกเขาสามารถทำได้เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้
“เราพอเข้าใจแล้ว มาหารือกันต่อเถอะ”
สวี่จื้องงงวย “มีอะไรให้หารือกันด้วยเหรอ?”
“ไม่ว่าพวกคุณจะตกลง และได้รับโอกาสเข้าสู่เมืองหยุน หรือคุณปฏิเสธ ก็ไม่มีใครที่จะเข้าไปในเมืองได้หากไม่ได้รับอนุญาตจากฉัน สำหรับผู้คนที่อยู่ในเมืองหยุน วิถีชีวิตก็ยังเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย”
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของเจ้าหน้าที่อาวุโสดูไม่ค่อยดี สวี่จื้อก็ถอนหายใจ และพูดอย่างมีน้ำใจว่า “ฉันจะให้เวลาพวกคุณหารือกันเองก่อน สักประมาณ 10 นาทีล่ะกัน แล้วฉันจะกลับมาเอาคำตอบ”