ตอนที่ 17 เดิมพัน
ตอนที่ 17 เดิมพัน
เหล่าอาวุโสจากสองสำนักต่างทยอยเดินขึ้นไปรับกำไลบันทึกการฝึกฝน
จางอวิ๋นก็เดินขึ้นไปเช่นกัน
"เจ้าก็คืออาวุโสผู้เลื่องชื่อจากสำนักเซียนสวรรค์ที่ใคร ๆ ต่างขนานนามว่าแปลกประหลาดใช่หรือไม่?"
เสียงเย้ยหยันดังขึ้นมาข้างหูของเขา จางอวิ๋นหันไปมองก็พบว่าเป็นอาวุโสหนุ่มจากสำนักภูผาใต้ในชุดคลุมสีน้ำเงิน เขากำลังมองจางอวิ๋นตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาประหนึ่งกำลังดูของประหลาด "เฮอะ ๆ สำนักเซียนสวรรค์นี่ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก แค่ระดับสร้างรากฐานก็เป็นอาวุโสได้แล้ว!"
จางอวิ๋นขมวดคิ้วเล็กน้อย เสียงของอาวุโสหนุ่มผู้นั้นจงใจพูดให้ดังจนทุกคนในบริเวณได้ยิน เหล่าผู้คนจึงหันมามอง
"อาวุโสประหลาด? คนที่ฝึกฝนจนตัวเองเสียสมดุลจนพลังถดถอยคนนั้นน่ะหรือ?"
"ไม่น่าเชื่อเลย ข้าเพิ่งได้ยินเพื่อนจากสำนักเซียนสวรรค์เล่าเรื่องนี้เมื่อไม่กี่วันก่อนนี่เอง!"
"พลังลดลงขนาดนี้ แต่ยังกล้ามานำศิษย์เข้าร่วมงานประชุมแลกเปลี่ยนอีกหรือ?"
...
สายตาเหล่านั้นล้วนจับจ้องไปที่จางอวิ๋น พร้อมเสียงซุบซิบนินทาไม่ขาดสาย
เหล่าอาวุโสจากสำนักเซียนสวรรค์ต่างมีสีหน้าหนักใจ พวกเขารู้ดีว่าอาวุโสหนุ่มจากสำนักภูผาใต้นั้นจงใจหาเรื่อง แต่ก็ไม่อาจหาคำมาโต้แย้งได้
อารมณ์ไม่พอใจจึงตกอยู่ที่จางอวิ๋น ราวกับจะบอกว่า "เจ้านี่ล่ะที่ทำให้สำนักเราตกต่ำ!"
จางอวิ๋นถอนหายใจเบา ๆ พลางกลอกตา เขาฟังเสียงซุบซิบรอบตัวด้วยท่าทีเรียบเฉยก่อนจะส่ายหัว "ไม่ว่าจะโลกไหน ข่าวลือนี่แพร่ไวกว่าสิ่งใดเสมอ"
เขาเหลือบมองอาวุโสหนุ่มจากสำนักภูผาใต้ครู่หนึ่ง โดยไม่ได้แสดงท่าทีโกรธเคือง ก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "ขออภัย อาวุโสท่านนี้มีนามว่าอะไรหรือ?"
"อะไรนะ คิดจะทำความรู้จักกับข้ารึ?" อาวุโสหนุ่มได้ยินดังนั้นก็แค่นหัวเราะ "ข้าไม่คิดเสียเวลาทำความรู้จักกับเจ้า..."
"ที่แท้ท่านมีนามว่าท่านอาวุโสสินะ ช่างเป็นแซ่ที่หาได้ยากยิ่ง!" ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะพูดจบ จางอวิ๋นก็ทำหน้าตาประหนึ่งเข้าใจทุกสิ่ง และพูดขึ้นมาทันที
"เจ้านี่พูดจาเหลวไหลอะไร! ข้าบอกตอนไหนว่าข้ามีนามว่าท่านอาวุโส? ข้าเป็นอาวุโสแปดแห่งสำนักภูผาใต้ นามว่า ฉิวลวี่!"
“อ้อ ที่แท้เจ้ามีนามว่าฉิวลวี่นี่เอง!”
จางอวิ๋นพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“เจ้า...”
ฉิวลวี่ที่เพิ่งรู้ตัวว่าถูกหลอกให้บอกชื่อออกไป สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ
“ฉิวลวี่...ฉิวลวี่… ช่างเป็นนามที่ประหลาดยิ่งนัก สมกับเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวกว่าใคร!” จางอวิ๋นกล่าวพลางยิ้มขัน
“เจ้า!” ฉิวลวี่ที่กำลังเดือดอยู่แล้ว ยิ่งฟังก็ยิ่งโกรธจัด
จางอวิ๋นยิ้มเรียบ “อาวุโส ‘ฉิวลวี่’ ในเมื่อเจ้ารู้จักข้า เช่นนั้นเจ้าสนใจเดิมพันกับข้าสักรอบหรือไม่?”
“เดิมพัน?” ฉิวลวี่ชะงัก “เจ้าคิดจะเดิมพันอะไร?”
“อีกไม่นานงานประชุมแลกเปลี่ยนของสองสำนักก็จะเริ่มแล้ว เรามาเดิมพันกันว่าศิษย์ที่เรานำมานั้น ใครจะทำผลงานได้ดีกว่ากัน”
จางอวิ๋นกล่าวด้วยท่าทีสบาย ๆ “หากผลงานของศิษย์ข้าดีกว่า ข้าชนะ แต่หากศิษย์เจ้าดีกว่า เจ้าชนะ แล้วผู้แพ้ต้องมอบหินวิญญาณหนึ่งหมื่นก้อนให้ผู้ชนะ ท่านคิดเห็นเช่นไร?”
“หินวิญญาณหนึ่งหมื่นก้อน?”
คำพูดนี้ทำให้บริเวณโดยรอบเงียบกริบลงทันที
เหล่าผู้คนที่ล้อมดูเหตุการณ์ต่างมองจางอวิ๋นด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
“เจ้าอาวุโสประหลาดนี่เสียสติไปแล้วหรือไร? เดิมพันกับอาวุโสระดับแก่นทองคำ ยังจะเดิมพันด้วยหินวิญญาณถึงหนึ่งหมื่นก้อนอีก! หรือเขาคิดว่ามีมากจนไม่รู้จะใช้ยังไง?”
เหล่าอาวุโสจากสำนักเซียนสวรรค์ที่ได้ยินจำนวนนี้ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองจางอวิ๋นด้วยความแปลกใจ
“เจ้ามั่นใจแล้วหรือ?” ฉิวลวี่ที่ตกตะลึงไปชั่วครู่รีบถามกลับด้วยความไม่อยากเชื่อ
“หรือว่าอาวุโส ‘ฉิวลวี่’ ของเราไม่กล้าเดิมพัน?” จางอวิ๋นยักไหล่
“มีหรือที่ข้าจะไม่กล้า!” ฉิวลวี่แค่นเสียง หัวเราะเยาะ “ในเมื่อเจ้าอยากส่งหินวิญญาณมาให้ข้า ข้าก็รับไว้ก็แล้วกัน!”
พูดจบเขาก็หรี่ตา มองจางอวิ๋นด้วยสายตาเหยียดหยาม “แต่ถึงอย่างไร ข้าก็อดกังวลไม่ได้ว่าเจ้าผู้ที่มีพลังเพียงระดับสร้างรากฐาน จะมีหินวิญญาณถึงหนึ่งหมื่นก้อนหรือเปล่า ข้าเกรงว่าหลังจบงานนี้ เจ้าจะไม่ยอมจ่ายและเบี้ยวเอา”
“อาวุโส ‘ฉิวลวี่’ ไม่ต้องห่วง ข้ามีหินวิญญาณหนึ่งหมื่นก้อนอย่างแน่นอน หากไม่เชื่อ ท่านลองถามอาวุโสสิบของเราดูได้” จางอวิ๋นกล่าวพลางยิ้มบาง และชี้ไปยังอาวุโสเมิ่งจงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
เมิ่งจงที่ถูกชี้หน้าตกใจเล็กน้อย ใบหน้ากระตุกทันที เขารู้ว่าจางอวิ๋นหมายถึงหินวิญญาณหนึ่งหมื่นก้อนที่เขาเคยเสียให้จางอวิ๋นในการเดิมพันครั้งก่อน
“เจ้ากล้าหยิบหินวิญญาณที่ข้าเสียให้เจ้ามาใช้เดิมพันกับคนอื่นอย่างนั้นหรือ? ไอ้บ้าเอ๊ย!” เมิ่งจงคิดในใจด้วยความเจ็บใจ!
เมื่อเจอสายตาสงสัยจากฉิวลวี่ เขาก็แค่แค่นเสียงเย็นชาและเบือนหน้าหนี
ท่าทางนี้ทำให้ฉิวลวี่รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก
"ดี! ข้าจะเดิมพันกับเจ้า!"
หินวิญญาณหนึ่งหมื่นก้อนที่ส่งมาให้ถึงมือโดยง่าย ใครจะไม่เอา?
"เดี๋ยวก่อน!" จางอวิ๋นพูดแทรกขึ้น
"อะไร? นี่เจ้าจะถอนคำพูดหลังจากเสนอการเดิมพันเองงั้นหรือ?" ฉิวลวี่แค่นเสียงเย้ยหยัน
ในสายตาของเขา จางอวิ๋นตั้งใจจะเสนอจำนวนหินวิญญาณมากถึงหนึ่งหมื่นก้อนเพื่อข่มขู่เขา แต่เมื่อเห็นว่าไม่ได้ผล ก็คิดจะถอยหนีเสียแล้ว
"อาวุโส 'ฉิวลวี่' เจ้าช่างจินตนาการเก่งเสียจริง!" จางอวิ๋นกลอกตา พลางพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย "ข้าแค่จะบอกว่า คำพูดของเจ้าก่อนหน้านี้ทำให้ข้านึกอะไรขึ้นได้ ข้ากลัวว่าเมื่อข้าชนะแล้ว เจ้าจะไม่มีหินวิญญาณหนึ่งหมื่นก้อนมาให้ข้าน่ะสิ"
"ข้าจะเป็นฝ่ายแพ้งั้นหรือ?" ฉิวลวี่หัวเราะเย้ย
จางอวิ๋นตอบด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ "อาวุโส 'ฉิวลวี่' การมีความมั่นใจเป็นสิ่งที่ดี แต่สิ่งที่ข้าพูดคือความจริง ข้าสามารถหาหลักประกันได้จากอาวุโสสิบเมิ่งจงของเรา แล้วเจ้าล่ะ จะมีใครมารับรองให้เจ้าหรือไม่?"
"ข้าไม่เคย..." ก่อนที่ฉิวลวี่จะพูดจบ เมิ่งจงที่ยืนอยู่ด้านข้างก็หันมามองด้วยสายตาตกใจ
เขาต้องเป็นหลักประกันให้จางอวิ๋นอย่างนั้นหรือ?
"อาวุโสเมิ่งจง!"
ยังไม่ทันที่เมิ่งจงจะปฏิเสธ จางอวิ๋นก็ยิ้มพลางพูดแทรกขึ้น ก่อนจะปรายตามองไปยังเจ้าสำนักใหญ่แห่งสำนักเซียนสวรรค์และเหล่าอาวุโสที่อยู่รอบ ๆ
เมิ่งจงชะงักไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นสายตาของเจ้าสำนักใหญ่และเหล่าอาวุโสที่มองมาที่เขา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที
ในสถานการณ์แบบนี้ หากเขาปฏิเสธนั่นเท่ากับว่าเขากำลังทำลายความน่าเชื่อถือของอาวุโสในสำนักตนเอง
การมีปัญหากันเองภายในยังพอว่าได้ แต่ถ้าทำเช่นนั้นต่อหน้าสำนักคู่แข่งอย่างสำนักภูผาใต้ มันจะกระทบถึงความสามัคคีของสำนักโดยรวม และแน่นอนว่าเจ้าสำนักใหญ่แห่งสำนักเซียนสวรรค์จะไม่ปล่อยเขาไว้หลังจบงานนี้
"เจ้าคนไร้ยางอาย!!" เมิ่งจงกัดฟันมองจางอวิ๋นที่ยังคงยิ้มด้วยท่าทีสบาย ๆ ความโกรธของเขารุนแรงจนแทบกัดฟันกรามหัก แต่เขาก็ยังคงเงียบ ไม่กล้าพูดอะไรออกมา
ถือเป็นการยอมรับว่าเมิ่งจงต้องเป็นหลักประกันให้จางอวิ๋นโดยปริยาย
ฉิวลวี่ขมวดคิ้ว ก่อนจะหันไปมองเหล่าอาวุโสของสำนักภูผาใต้เพื่อขอคำตอบ
"ทางสำนักของเราสามารถเป็นหลักประกันให้แก่ฉิวลวี่ได้!"
ในขณะนั้น เสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างกะทันหัน ทุกคนต่างชะงักและหันมองไปยังผู้พูด ซึ่งก็คือเจ้าสำนักใหญ่แห่งสำนักภูผาใต้
เจ้าสำนักใหญ่แห่งสำนักภูผาใต้ยิ้มเล็กน้อยพลางมองไปยังจางอวิ๋น "อาวุโสจาง ท่านคิดว่าข้าสามารถเป็นหลักประกันให้ฉิวลวี่ได้หรือไม่?"
จางอวิ๋นมองอีกฝ่ายด้วยความแปลกใจ แต่ก็พยักหน้า "ในเมื่อเจ้าสำนักใหญ่แห่งสำนักภูผาใต้เต็มใจรับรอง เช่นนั้นข้าย่อมไม่มีปัญหา..."
"แต่ข้าว่าเดิมพันหินวิญญาณแค่หนึ่งหมื่นก้อนน้อยเกินไป อาวุโสจาง ท่านสนใจเพิ่มเดิมพันหรือไม่?"
เจ้าสำนักใหญ่แห่งสำนักภูผาใต้กล่าวต่อด้วยรอยยิ้ม "หากท่านชนะ ข้าจะเพิ่มให้ท่านอีกหนึ่งแสนหินวิญญาณ แต่หากท่านแพ้ ท่านเพียงต้องเพิ่มให้ฉิวลวี่อีกครึ่งหนึ่งของจำนวนเดิม นั่นคือห้าหมื่นหินวิญญาณ ท่านคิดเห็นอย่างไร?"
เมื่อคำพูดนี้จบลง บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยความตกตะลึง
หินวิญญาณหนึ่งแสนก้อน นี่ถือเป็นจำนวนมหาศาลสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไป!
จางอวิ๋นเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเพิ่มเดิมพันถึงเพียงนี้
"อะไรหรือ? อาวุโสจางไม่กล้าหรือ?"
เมื่อเห็นเขายังไม่ตอบ เจ้าสำนักใหญ่แห่งสำนักภูผาใต้ก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ใช้คำพูดกระตุ้น
เหล่าอาวุโสของสำนักเซียนสวรรค์ที่อยู่รอบ ๆ ต่างขมวดคิ้ว ก่อนจะรีบกล่าวเตือนจางอวิ๋น "อาวุโสเก้า อย่าใจร้อน!"
พวกเขาไม่ได้สนใจจางอวิ๋นมากนัก แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ หากเดิมพันถูกตั้งไว้ในที่สาธารณะแล้วจางอวิ๋นแพ้ หนี้หินวิญญาณหกหมื่นก้อนนี้จะไม่มีทางเลี่ยงได้
หากจางอวิ๋นไม่สามารถจ่ายได้ นั่นไม่เพียงแต่ทำให้เขาเสียหน้า แต่ยังเป็นการทำให้สำนักเซียนสวรรค์ทั้งสำนักต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงด้วย
จางอวิ๋นเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มและตอบกลับ "ในเมื่อเจ้าสำนักใหญ่แห่งสำนักภูผาใต้ต้องการจะเดิมพัน ข้าย่อมไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ!"
…