055-056
บทที่ 55 ห้องเจ็ดมีครูพิเศษเพิ่มขึ้นมา!
"พรึบ พรึบ พรึบ"
สายตานับสิบคู่พุ่งตรงไปยังโจวรุ่ยพร้อมกันราวกับกำลังล้อมวงจับตาดูอะไรบางอย่าง
บางคู่มองด้วยความงุนงง บางคู่เต็มไปด้วยความไม่เชื่อ และบางคู่แฝงความไม่พอใจ
โจวรุ่ยรีบซ่อนโน้ตเพลงในมือไว้ใต้โต๊ะโดยอัตโนมัติ ก่อนจะลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้ามึนงง
"โจวรุ่ย ขึ้นมานี่หน่อย มาช่วยอธิบายข้อสอบฟิสิกส์ให้เพื่อนฟังหน่อย"
เสียงของหวงเต๋อเว่ยดังขึ้น ทำให้โจวรุ่ยในใจอดบ่นไม่ได้ว่า
“คราวนี้เขาจะเล่นอะไรอีกเนี่ย? เป็นเด็กเรียนดีนี่มันผิดตรงไหน ทำไมจะปล่อยให้ฉันเรียนเงียบ ๆ ไม่ได้เลยรึไง?”
แต่เมื่ออยู่ท่ามกลางสายตาของเพื่อนทั้งห้อง เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหยิบกระดาษข้อสอบขึ้นมาแล้วเดินไปที่หน้าชั้นเรียน
ตัวเลขสีแดง "300" บนกระดาษมันช่างสะดุดตา โจวรุ่ยจึงแอบพับมุมกระดาษนั้นซ่อนไว้
เมื่อยืนอยู่บนเวทีเล็ก ๆ หน้าชั้นเรียน โจวรุ่ยมองไปยังเพื่อนร่วมห้องจากมุมที่ไม่คุ้นเคย
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา เขาไม่เคยได้มองเพื่อน ๆ จากมุมนี้เลย
ถ้าไม่นับตอนที่ถูกทำโทษให้ยืนหน้าชั้น
เขามองเห็นจางซินที่ทำหน้าบูดบึ้ง อวี่สวี่ปัวที่ดูงุนงง ซ่งปินที่จ้องมองเขาด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความศรัทธา และถงซินที่สีหน้าอ่านไม่ออก
หวงเต๋อเว่ยถอยไปยืนข้าง ๆ แล้วยกมือส่งสัญญาณให้โจวรุ่ยเริ่มพูด
โจวรุ่ยสูดหายใจเข้าลึก ก่อนเริ่มต้นอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
"เอาล่ะ เรามาดูข้อแรกกันก่อน สมมติว่าลูกบอลเล็ก a เคลื่อนที่ด้วยความเร็วต้น 5 เมตรต่อวินาทีไปชนกับลูกบอลใหญ่ A..."
ช่วงแรกโจวรุ่ยยังพูดติดขัดอยู่บ้าง แต่ไม่นานเขาก็ปรับตัวได้ และเริ่มรู้สึกคุ้นเคยกับบทบาทการสอนนี้
คำพูดของเขาเริ่มลื่นไหลขึ้นเรื่อย ๆ ความคิดก็ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ
ความรู้นี้มันฝังลึกอยู่ในหัวของเขาอยู่แล้ว แม้แต่หวงเต๋อเว่ยเองก็อาจเข้าใจได้ไม่ลึกซึ้งเท่าเขา
ที่สำคัญที่สุดคือ ทักษะหนึ่งในหัวข้อ 【นักเรียนหัวกะทิ】ของเขา ซึ่งเขาไม่เคยสนใจมาก่อน กำลังทำงานอยู่ตอนนี้จะสามารถ
"เพิ่มแรงดึงดูดและความเชื่อมั่นต่อผู้เรียน"
ปกติแล้ว เขาไม่เคยให้ความสำคัญกับหัวข้อนี้เลย และไม่เคยรู้ว่ามันใช้งานได้จริง แต่เวลานี้กลับแสดงประสิทธิภาพออกมาอย่างไม่คาดคิด
นักเรียนทั้งห้องเริ่มรู้สึกว่าโจวรุ่ยอธิบายได้ชัดเจน เข้าใจง่าย และดูเหมือนจะมีเวทมนตร์บางอย่างที่ดึงดูดความสนใจของพวกเขาโดยไม่รู้ตัว
แม้แต่พวกที่ชอบเหม่อลอยในชั้นเรียน ยังจ้องมองเขาอย่างตั้งใจ และสมองก็เริ่มประมวลผลตามสิ่งที่เขาพูดโดยอัตโนมัติ
"ดังนั้นเวลาสอบ เราควรจะตัดสินใจได้ทันทีว่าคำตอบของข้อนี้ต้องเป็นค่าลบ ดังนั้นตัวเลือก A กับ D ตัดออกไปได้เลย ถ้าเดาแบบมีหลักการ ความน่าจะเป็นที่จะตอบถูกก็เพิ่มจาก 25% เป็น 50%"
หานจื่ออินมองโจวรุ่ยด้วยสายตาเปล่งประกาย เธอเชื่อมาตลอดว่าโจวรุ่ยนั้นโดดเด่น
แต่ทุกครั้งที่เห็นเขาเปล่งประกายแบบนี้ เธอก็ยังอดที่จะตื่นเต้นดีใจไม่ได้
"ข้อสอบข้อนี้เน้นเรื่องสมการโมเมนตัม เราสามารถเขียนสมการนี้ลงในกระดาษได้เลย"
จางซินที่แรกเริ่มยังทำหน้ายุ่งเพราะไม่พอใจ ทั้งเพราะนิสัยทะนงตัวและความขัดแย้งเล็ก ๆ กับโจวรุ่ยในช่วงนี้ เขาจึงฟังด้วยอารมณ์เหมือนจะจับผิด
แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็พบว่าโจวรุ่ยเข้าใจข้อสอบแต่ละข้อได้ลึกซึ้งมาก และยังสามารถเชื่อมโยงกับวิธีแก้ปัญหาอื่น ๆ ได้อีกหลายวิธี
จนกระทั่งตัวเขาเองยังรู้สึกเหมือนได้เติมเต็มความรู้ที่ขาดหายไป และเริ่มตั้งใจฟังโดยไม่รู้ตัว
"ข้อสอบข้อนี้ให้คะแนนง่ายมาก ใช้กฎมือขวาไขเกลียวได้เลย" (กฎในฟิสิกส์ที่ใช้สำหรับหาแรงแม่เหล็ก)
ถงซินที่นั่งอยู่แถวหน้ามองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความมั่นใจของโจวรุ่ยจนเผลอเคลิ้มไปชั่วขณะ
แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของแม่ในคืนนั้น เธอก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมา และความน้อยใจก็พลุ่งพล่านในใจ
"ข้อสุดท้ายค่อนข้างยากหน่อย เน้นการทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเร็วเชิงมุมนะ"
อวี่สวี่ปัวมองโจวรุ่ยด้วยสีหน้าซับซ้อน เขาไม่เข้าใจว่าเพื่อนสนิทในอดีตของเขาทำได้อย่างไร แต่ในใจก็อดดีใจแทนไม่ได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองคะแนนสองหลักบนกระดาษของตัวเอง ความรู้สึกโกรธก็ปะทุขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล
โกรธตัวเอง!
เขาขยำข้อสอบในมือเป็นก้อน แล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะ ไม่ยอมฟังอีกต่อไป...
ดูเหมือนจะนอนไม่พออยู่ตลอดเวลา
แม้คำพูดของโจวรุ่ยจะเหมือนมีมนตร์สะกด แต่ท้ายที่สุดมันก็ไม่ใช่เวทมนตร์จริง ๆ คนที่ไม่อยากฟัง ยังไงก็ไม่มีทางฟังอยู่ดี
หลังจากอธิบายโจทย์ข้อสอบเสร็จ โจวรุ่ยก็รู้สึกโล่งใจไม่น้อย ไม่ใช่เพราะตื่นเต้น แต่ปากที่พูดไม่หยุดนี่แหละทำให้เขาเริ่มกระหายน้ำ
เขาหันไปมองหวงเต๋อเว่ยด้วยสายตาที่สื่อว่า “ผมลงไปได้หรือยังครับ?”
แต่กลับกลายเป็นว่าหวงเต๋อเว่ยตบมือดัง “แปะ แปะ แปะ!” แล้วพูดเสียงดังว่า “ดีมาก! อธิบายได้ดีมาก! งั้นเธออธิบายส่วนที่เหลือต่อเลยแล้วกัน!”
โจวรุ่ย: “???”
ครูแน่ใจเหรอว่าแบบนี้มันเหมาะสม?
ความจริงแล้ว การที่หวงเต๋อเว่ยให้โจวรุ่ยขึ้นไปสอนในครั้งนี้ ก็ถือเป็นการทดลองครั้งหนึ่ง ถ้าหากโจวรุ่ยอธิบายได้ไม่ดี หรือพูดติดขัด เขาคงจะหยุดโจวรุ่ยกลางคันทันที
เพราะเขายังต้องรับผิดชอบนักเรียนคนอื่นด้วย
แต่สิ่งที่เขาค้นพบคือ โจวรุ่ยสอนเก่งมาก! เขาอธิบายเนื้อหาอย่างละเอียด เข้าใจง่าย แถมยังเชื่อมโยงกับเทคนิคการทำข้อสอบได้อีก
ที่สำคัญที่สุดคือ นักเรียนทั้งห้องตั้งใจฟังกันอย่างไม่น่าเชื่อ! นอกจากคนที่หมดไฟไปแล้ว คนอื่น ๆ ต่างตั้งใจฟังมากกว่าตอนที่เขาสอนเองเสียอีก
ถ้ามันช่วยให้โจวรุ่ยได้ทบทวนบทเรียน พร้อมกับช่วยเพื่อนร่วมชั้นไปด้วย แล้วจะเสียอะไรล่ะ?
ถึงเวลา ม.ปลายปีสามแบบนี้ บางทีอาจถึงเวลาที่ควรเปลี่ยนบรรยากาศ ให้นักเรียนได้ลองอะไรใหม่ ๆ
แม้โจวรุ่ยจะถามย้ำกับหวงเต๋อเว่ยหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่มีประโยชน์ เพราะอีกฝ่ายยืนกรานให้เขาสอนต่อ
สุดท้ายเขาก็ยอมแพ้ ในเมื่อคุณอยากให้สอน งั้นผมจะจัดเต็มแล้วนะ!
“ตึก ตึก ตึก!”
“ต่อไปนี้ฉันจะพูดถึงจุดสำคัญแล้วนะ!”
“นี่มันข้อสอบแจกคะแนน! พวกนายทำกันมากี่รอบแล้ว!”
“จางซิน! ลุกขึ้นมาตอบฉันหน่อยสิว่าข้อนี้ต้องทำยังไง!”
“พวกเธอคือรุ่นที่แย่ที่สุดที่ฉันเคยเจอ!”
แค่โจวรุ่ยซึ่งเป็นนักเรียนคนหนึ่งขึ้นมาสอนฟิสิกส์ทั้งคาบ ก็ถือว่าแปลกประหลาดมากพออยู่แล้ว
แต่พอถึงคาบเรียนคณิตศาสตร์ ครูคณิตฯ กลับไปกระซิบกระซาบกับหวงเต๋อเว่ยอยู่พักหนึ่ง แล้วเรียกโจวรุ่ยขึ้นมาสอนโจทย์คณิตศาสตร์อีก เขาก็ชักจะเริ่มชินแล้ว
นี่มันควรจ่ายเงินเดือนครูให้ผมด้วยไหมเนี่ย?
ครูคณิตศาสตร์ตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะลองดูก่อน ถ้าสอนไม่ไหวเขาจะหยุดทันที
แต่หลังจากฟังไปได้ 10 นาที เขากลับพบว่าโจวรุ่ยอธิบายได้ดีกว่าเขาอีก! ถึงขั้นที่เขาต้องหยิบแผนการสอนมาจดรายละเอียดที่ไม่เคยสังเกตมาก่อน
ต้องยอมรับเลยว่า ระบบคำศัพท์ 【นักเรียนหัวกะทิ】 ของโจวรุ่ยมันโกงเกินไปจริง ๆ!
ระหว่างนั้น มีเงาคนหนึ่งยืนอยู่ในทางเดินหลังห้อง มองเข้ามาในชั้นเรียนอยู่นาน
จนกระทั่งเงยหน้าขึ้นสบตากับโจวรุ่ยที่ยืนอยู่บนเวที
ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากผู้อำนวยการโรงเรียนชิงเหอ
โจวรุ่ยกำลังจะบ่นเรื่องที่โดนลากมาสอนแบบนี้ แต่ผู้อำนวยการกลับยกใบประกาศนียบัตรขึ้นมาโชว์จากระยะไกล
บนใบประกาศเขียนว่า "เรียนรู้เพื่อนำไปใช้ รางวัลสำหรับโจวรุ่ย ทุนการศึกษา 20,000 หยวน"
จากนั้นเขายิ้มส่งมาให้ราวกับจะบอกว่า “ฉันเข้าใจเธอนะ”
โจวรุ่ยพยักหน้าเบา ๆ ตอบกลับว่า ช่วยเพื่อนร่วมชั้น เหนื่อยนิดหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก
“กัวเซิ่ง! หยุดกระซิบกระซาบ ไปยืนหลังห้องเดี๋ยวนี้!”
“พวกหลังห้อง! หยิบปากกามาจดนะ! ความจำดีแค่ไหนก็สู้การจดไม่ได้!”
“เอาล่ะ! ขอเวลาพวกเธอช่วงพักอีก 5 นาที เดี๋ยวอธิบายข้อนี้ให้จบก่อนเลิกคาบนะ!”
…………………………………………………………………………………………………………………………….
บทที่ 56 อวี่เต๋อเฉวียน
โจวรุ่ยรู้สึกปากแห้งคอแห้ง วันนี้เขาพูดมากเกินไปจริง ๆ
“ไม่ไหวแล้ว พอกันที ฉันไม่ใช่ครูจริง ๆ ฉันก็แค่นักเรียนคนหนึ่งเท่านั้น”
หวงเต๋อเว่ยยื่นชามาให้เขาพร้อมพูดว่า
“เพื่อทบทวนสิ่งที่เรียนแล้วเรียนรู้สิ่งใหม่ ไหน ๆ เธอก็ได้ทบทวนบทเรียนไปในตัวแล้ว อีกอย่างนักเรียนที่ฟังเธอสอนวันนี้ตั้งใจเรียนกันมากเลยนะ ดูไม่ออกจริง ๆ ว่าเธอมีพรสวรรค์ในการเป็นครู”
โจวรุ่ยกลอกตา “นี่พวกครูอยากขี้เกียจกันหรือเปล่าเนี่ย?”
หวงเต๋อเว่ยทำหน้าจริงจัง “จะเป็นไปได้ยังไง ฉันดูเป็นคนแบบนั้นเหรอ?”
โจวรุ่ยเปิดฝาถ้วยชา ใช้ฝาปัดใบชาออกเบา ๆ ก่อนจิบไปหนึ่งคำ
“แค่ก!” เขารีบถุยเศษใบชาออกทันที
ท่าทางของเขาในตอนนี้ ดูไปดูมาเหมือนครูแก่ ๆ คนหนึ่งเข้าไปทุกที
“เอาเถอะครับ แบบครั้งคราวยังพอได้ แต่พรุ่งนี้ไม่เอาแล้วนะครับ ผมไม่ช่วยสอนแทนอีกแล้ว”
เมื่อออกจากโรงเรียน โจวรุ่ยเป็นหนึ่งในกลุ่มสุดท้ายที่เดินออกมา
ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว
ที่หน้าโรงเรียนมีเพียงนักเรียน ม.ปลายปีสามกลุ่มเล็ก ๆ กำลังเดินกลับบ้าน ท่ามกลางแสงไฟสีเหลืองนวลที่ส่องสว่างทางเดิน
“เธอได้ยินเรื่องนี้ไหม? วันนี้ในชั้นเรียน ม.6 ห้อง 7 มีนักเรียนคนหนึ่งสอนแทนครูทั้งวันเลยนะ”
“หมายความว่าไง?”
“ก็เหมือนมีนักเรียนคนหนึ่งเรียนเก่งมาก ครูก็เลยให้เขาขึ้นไปสอนอธิบายข้อสอบ สอนตั้งหลายวิชาแน่ะ!”
“จริงเหรอ? ฉันไม่เชื่อ!”
นักเรียนหญิงสองคนเดินจูงมือกัน พลางคุยเรื่องซุบซิบที่เกิดขึ้นวันนี้
คำพูดที่กระซิบกันนั้นลอดเข้าหูโจวรุ่ยโดยบังเอิญ เขาหันหน้าหนีทันทีเพราะไม่อยากให้ถูกจำได้
“ใครเหรอ?”
“ก็โจวรุ่ย ห้อง 7 ไง คนที่หล่อ ๆ น่ะ”
โจวรุ่ยรีบหันหน้ากลับมา ยืดอกขึ้นมาอย่างมั่นใจ
ใช่แล้ว คนที่พูดถึงก็คือฉันเองแหละ!
น่าเสียดายที่ฟ้ามืดเกินไป เด็กสาวทั้งสองไม่ได้สังเกตว่าเจ้าตัวเดินอยู่ข้าง ๆ พวกเธอนี่เอง
สำหรับประสบการณ์ “สอนแทนครู” ที่แปลกประหลาดในวันนี้ พอเดินออกจากโรงเรียน โจวรุ่ยก็ทำใจยอมรับได้
ถึงจะเสียเวลาจดเพลงไปบ้าง แต่ถ้ามันช่วยให้เพื่อนร่วมชั้นทำคะแนนดีขึ้นได้สักนิด ก็นับว่าไม่เลว
ที่สำคัญ ยังได้โอกาสลงโทษกัวเซิ่งให้ไปยืนหลังห้อง และเรียกจางซินขึ้นมาทำข้อสอบ สบายใจไปสามต่อเลยทีเดียว
หลังจากนั้นเขาก็เข้าใจว่า เหตุผลที่เขาสามารถทำให้เพื่อนร่วมชั้นตั้งใจฟังได้ขนาดนี้ เป็นเพราะระบบหัวข้อ 【นักเรียนหัวกะทิ】 ของเขากำลังทำงาน
พอครูเห็นว่าทุกคนตั้งใจฟังเขามากกว่าปกติ ก็เลยอยากให้เขาช่วยสอนต่อไปอีก
สำหรับนักเรียนแล้ว โจวรุ่ยดูเหมือนจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการโน้มน้าวใจ หรือไม่ก็เป็นนักพูดมืออาชีพ
ถือเป็นประสบการณ์ที่สนุกไปอีกแบบ
“อ๊า!!”
เสียงกรีดร้องดังขึ้นมาจากที่ไม่ไกล โจวรุ่ยหันไปมองทันที
ปรากฏว่าเป็นนักเรียนหญิงสองคนที่พูดถึงเขาเมื่อครู่นั่นเอง
ที่บนทางเดินเล็ก ๆ ร่างชายคนหนึ่งที่ดูมอมแมมขวางพวกเธอไว้ กลิ่นเหล้าหึ่งออกมาจากตัวเขา
“พวกเธอรู้จักลูกชายฉันไหม? พวกเธอเห็นเขาบ้างรึเปล่า?”
โจวรุ่ยขมวดคิ้ว ก่อนจะหันไปมองทางห้องพักเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของโรงเรียน...
น่าเสียดาย ที่ตรงนี้อยู่ห่างจากโรงเรียนออกมาหลายร้อยเมตรแล้ว ทางเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคงไม่ทันสังเกตเห็นสถานการณ์นี้ และจริง ๆ ก็ไม่ใช่หน้าที่พวกเขาด้วย
ชายคนที่ยืนขวางอยู่ไม่ได้ทำอะไรรุนแรง แต่ด้วยอาการเมาเหล้าของเขา เขาก็ไม่ยอมให้เด็กสาวสองคนเดินผ่านไปได้ง่าย ๆ "พวกเธอรู้จักลูกชายฉันไหม? เขาชื่อหอวี่สวี่ปัว ช่วยเรียกเขาออกมาหน่อย บอกเขาว่าพ่อเขามาหา!"
เด็กสาวสองคนเริ่มร้องไห้ด้วยความกลัว "เราไม่รู้จักค่ะ! เลิกเรียนไปนานแล้ว! ไม่มีใครอยู่ในโรงเรียนแล้วค่ะ! อย่าเข้ามานะ!!"
ชายคนนั้นยังคงพยายามพูดต่อ แต่แล้วก็มีมือหนึ่งวางลงบนไหล่ของเขา
"ลุงอวี่ครับ ลุงมารับอวี่สวี่ปัวกลับบ้านเหรอ?"
โจวรุ่ยพูดขึ้นพร้อมส่งสายตาให้เด็กสาวทั้งสองรีบหนีไป
เด็กสองคนที่ตกใจจนแทบหมดสติ ไม่รีรอแม้แต่นิดวิ่งหนีไปทันที เสียงกระเป๋าและข้าวของในกระเป๋ากระทบกันดังก๊องแก๊งไปตลอดทาง
อวี่เต๋อเฉวียนหันมามองโจวรุ่ย เขารู้สึกว่าโจวรุ่ยคุ้นหน้า แต่ก็นึกชื่อไม่ออกในทันที
เหมือนว่าโจวรุ่ยจะเป็นเพื่อนลูกชายของเขา คนที่เคยมาเล่นที่บ้านอยู่บ้าง
"เธอชื่ออะไรนะ...ใช่ 'อะไรรุ่ยๆ' หรือเปล่า?"
"โจวรุ่ยครับ"
อวี่เต๋อเฉวียนตบมือดัง "อ้อ ใช่ ใช่ เธอคือเพื่อนรักของสวี่ปัว! โจวรุ่ย! เธอเคยมาที่บ้านเราด้วยใช่ไหม! งั้นช่วยลุงหน่อย ไปเรียกสวี่ปัวออกมาหน่อย บอกเขาว่าพ่อมีเรื่องด่วนต้องคุยด้วย!"
โจวรุ่ยถอยหลังเล็กน้อยเพื่อหลบกลิ่นเหล้าราคาถูกจากลมหายใจของอีกฝ่าย ก่อนจะส่ายหัวเบา ๆ "ลุงอวี่ครับ เลิกเรียนไปนานแล้ว สวี่ปัวน่าจะกลับบ้านไปแล้ว ลุงลองกลับไปดูที่บ้านก่อนดีไหมครับ?"
ตอนนี้ในซอยเล็ก ๆ แห่งนี้ เหลือเพียงโจวรุ่ยกับอวี่เต๋อเฉวียนเท่านั้น พ่อของเพื่อนเขาคนนี้จับมือโจวรุ่ยไว้แน่น เหมือนกลัวว่าเขาจะหนีไป ทำให้โจวรุ่ยเริ่มขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ
"เขาไม่ได้กลับบ้าน! ฉันตามหามาจากบ้านนี่แหละ! ไอ้ลูกบ้าคนนั้นต้องไปเกเรที่ไหนอีกแน่ ๆ โจวรุ่ย ลุงขอร้อง ช่วยลุงตามหาสวี่ปัวหน่อยเถอะ"
โจวรุ่ยถอนหายใจ "ผมเพิ่งเจอเขาที่โรงเรียนเมื่อบ่าย เขาน่าจะกลับไปถึงบ้านสักพักแล้วมั้งครับ"
อวี่เต๋อเฉวียนกลับยิ่งกระวนกระวาย "ไม่ ไม่ใช่! ไอ้ลูกบ้านั่นไม่ได้กลับบ้านมาหลายวันแล้ว! เขาต้องไปเกเรที่ไหนอีกแน่ ๆ โจวรุ่ย เธอเป็นเพื่อนสนิทของเขา เธอต้องรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนใช่ไหม? ช่วยพาลุงไปหาเขาที ลุงมีเรื่องสำคัญมากจริง ๆ!"
โจวรุ่ยตอบด้วยความอึดอัด "ช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้ติดต่อกับเขาเท่าไหร่จริง ๆ ครับ ผมไม่รู้เลยว่าเขาอยู่ที่ไหน"
อวี่เต๋อเฉวียนพูดด้วยเสียงเมา "ไม่จริงหรอก! ฉันได้ยินมาว่าเขากับเพื่อน ๆ ไปทำงานแต่งรถยนต์กันอยู่ ไม่ใช่กับเธอเหรอ? หรือว่าเธอสองคนไม่ได้ไปไหนมาไหนด้วยกันแล้ว?"
โจวรุ่ยนึกย้อนถึงตอนที่เขาเจอกับอวี่สวี่ปัวที่ร้านเกี๊ยวครั้งก่อน อวี่สวี่ปัวเคยพูดถึงเรื่องที่จะหยุดเรียนไปทำงานที่อู่ซ่อมรถของเพื่อนในวงการ เพื่อเรียนรู้วิชาชีพ
ในตอนนั้นโจวรุ่ยยังพยายามห้ามเขาอยู่เลย
"เหมือนชื่ออะไรนะ...อู่ซินไท่ ใช่ไหม? อยู่บนถนนผิงเจียง...หรือจะเป็นถนนซื่อเจียง?"
อวี่สวี่ปัวเริ่มทำงานก่อนเรียนจบแล้วสินะ? ที่เขาหลับทั้งวันในโรงเรียน ก็เพราะทำงานตอนกลางคืนเหรอ?
โจวรุ่ยเริ่มรู้สึกทั้งสงสัยและเป็นห่วงอวี่สวี่ปัวขึ้นมาทันที
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อนึกถึงภาพคืนนั้นที่อวี่สวี่ปัวพุ่งเข้ามาช่วยเขาอย่างไม่ลังเล ก็ทำให้เขาตัดสินใจได้
ผิงเจียงกับซื่อเจียงอยู่ใกล้กัน ลองไปดูหน่อยแล้วกัน
อีกทั้งอวี่เต๋อเฉวียนในสภาพนี้ ถ้าปล่อยไว้ก็คงก่อเรื่องไม่จบ เพราะถึงแม้นักเรียนจะมีไม่มาก แต่ก็ยังมีคนผ่านไปมา
"ลุงอวี่ ลุงลองบอกผมหน่อยว่า 'ซินไท่' นี่เขียนว่า 'ซิน' กับ 'ไถ' ตัวไหน เดี๋ยวผมลองค้นหาดูในเน็ตครับ"
อวี่เต๋อเฉวียนยิ้มกว้าง จับแขนโจวรุ่ยแน่น "โจวรุ่ย! ลุงรู้แล้วว่าเธอต้องช่วยลุง! ไม่เหมือนเพื่อนเกเรของสวี่ปัว เธอนี่แหละเพื่อนแท้ของเขา! ฮึก~!"
โจวรุ่ยไม่ตอบ เพราะกลิ่นลมหายใจของอวี่เต๋อเฉวียนทำให้เขาแทบทนไม่ไหว
ที่แย่กว่านั้นคือ อวี่เต๋อเฉวียนยืนยันจะจับมือโจวรุ่ยไว้แน่น เหงื่อที่เหนียวเหนอะหนะทำให้โจวรุ่ยรู้สึกอึดอัดมาก
ถ้าคนตรงหน้าไม่ใช่พ่อของเพื่อน เขาคงโดนต่อยไปนานแล้ว
ยิ่งโตขึ้น โจวรุ่ยก็ยิ่งเข้าใจว่า
ไม่ใช่ผู้ใหญ่ทุกคนที่ควรค่าแก่การเคารพ
(จบตอน)