บทที่ 36 เหตุใดต้องลำบาก
หลิวเหมียวถู่เดินวนเวียนอยู่ในภูเขาหนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืน แต่ไม่เพียงไม่ได้พบของวิเศษแห่งเซียน แม้แต่ขนเส้นเดียวก็ไม่เห็น เขานั่งบนหินใหญ่พลางด่าทอพวกคนเกียจคร้านในหมู่บ้าน
“พวกหมาขี้เกียจ! บอกว่ามีสมบัติดีในภูเขา พูดจาไร้สาระทั้งนั้น!”
เมื่อมองดูหมอกที่เริ่มปกคลุมหุบเขา หลิวเหมียวถู่สะท้านเยือกหนึ่งรำพึงในใจว่า
“แม้ว่าหมาป่าและเสือดาวในภูเขาแห่งนี้จะถูกขับไล่ไปเมื่อหลายปีก่อน แต่ใครจะรู้ว่ามีตัวใดหลุดรอดไปหรือไม่! หมอกนี่มันแปลกเกินไปรีบลงจากภูเขาดีกว่า…”
เขาลุกขึ้นเดินตามทางบนภูเขาไปเกือบหนึ่งชั่วโมง แต่รอบตัวกลับเต็มไปด้วยหมอกขาวไม่มีทางออกให้เห็น
“นี่มันแปลกจริง! ทำไมยังลงจากภูเขาไม่ได้อีก!”
เมื่อมองไปที่ก้อนหินใหญ่ข้างหน้า หลิวเหมียวถู่รู้สึกเย็นวาบไปทั้งสันหลังพูดออกมาด้วยเสียงสั่น “เป็นไปไม่ได้!”
นี่คือก้อนหินใหญ่ที่เขานั่งอยู่ก่อนหน้านี้ เขาเดินมาตามทางภูเขาเป็นชั่วโมง ทำไมถึงยังอยู่ที่เดิมได้!
ความกลัวทำให้เขาตกใจจนสติหลุด เขาหันหลังแล้ววิ่งไปพร้อมกับร้องลั่น วิ่งไปได้เพียงช่วงหนึ่งก็หยุดหอบหายใจ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นดูหินก้อนใหญ่นั้นกลับอยู่ตรงหน้าเขาอีกครั้ง
“บ้าจริง…ออกไปไม่ได้แล้ว”
เมื่อค่ำคืนมาถึงหลิวเหมียวถู่สวมเสื้อผ้าบางเบา จิตใจที่กำลังตื่นตระหนกถูกลมหนาวพัดจนสลบไป
ในช่วงเช้าตรู่หลิวเหมียวถู่ฟื้นขึ้นมา เขารู้สึกตัวร้อนจัดพลางได้ยินเสียงเรียกห่างๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเงาคนอยู่ไม่ไกลเขาจึงลุกขึ้น แต่แล้วกลับได้ยินเสียงตะโกนดัง
“ใครอยู่ที่นั่น!”
หลิวเหมียวถู่ที่ยังสับสนอยู่ในทันทีเข่าอ่อนจนล้มกลิ้งลงมาตรงหน้าของคนผู้นั้น
หลิวหลินเฟิงเมื่อมองหน้าชายผู้นั้นกลับพบว่าเป็นเจ้าเหลือขอแห่งตระกูลหลิว ในใจเขาก็พลันเข้าใจทุกอย่างทันที ความโกรธพลุ่งขึ้นมาจนแทบระเบิด ใบหน้าแดงก่ำพลางตวาดเสียงดัง
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่!”
หลิวเหมียวถู่ที่โดนตวาดก็ตื่นตัวขึ้นมาในทันที รีบตอบกลับด้วยท่าทีขลาดกลัว
“ขะ…ขึ้นเขามาเก็บไม้ขอรับ”
“พูดจาไร้สาระ!”
หลิวหลินเฟิงด่าทอด้วยความโกรธชี้นิ้วไปที่จมูกของหลิวเหมียวถู่พลางตะโกนต่อ
“เจ้าขึ้นเขานี้ทำไมไม่บอกเจ้าบ้าน นี่มันที่ที่เจ้ามาได้หรือ!”
เพียงพูดสองคำหลิวหลินเฟิงก็ตระหนักได้ถึงบางอย่าง ความเย็นวาบแล่นจากกระดูกสันหลังขึ้นมาถึงท้ายทอย เขาคิดในใจ
“ตระกูลหลิวของเราดันมีไอ้ขยะอย่างนี้ ตอนนี้ล่ะเคราะห์ร้ายใหญ่หลวงแน่ หลานเขยของข้าร้ายกาจและช่างระแวง เขาจะปล่อยให้รอดได้อย่างไร ขอเพียงอย่าให้ตระกูลหลิวของข้าต้องเดือดร้อนก็พอ!”
เมื่อเห็นหลิวเหมียวถู่ที่คุกเข่าก้มหัวอย่างคนสิ้นหวัง หลิวหลินเฟิงก็คิดอะไรได้ ใบหน้าที่โกรธเคืองเปลี่ยนเป็นเย็นชา เขากล่าวเสียงต่ำ
“ตามข้ามา อย่างน้อยจะช่วยรักษาชีวิตเจ้าไว้ได้!”
หลิวเหมียวถู่รีบเดินตามเขาเข้าไปในลานบ้าน หลิวหลินเฟิงหยิบเชือกป่านเส้นใหญ่ขึ้นมามัดมือของหลิวเหมียวถู่ไพล่หลังทันที
“หัวหน้าตระกูล ท่าน…ท่านจะทำอะไร…”
หลิวเหมียวถู่ที่รู้สึกไม่มั่นใจถามออกมาอย่างหวาดกลัว
“พาเจ้าไปขอขมา อย่างน้อยต้องแสดงความจริงใจ”
หลิวหลินเฟิงโบกมือหยิบดาบที่ซ่อนไว้ตรงเอวอย่างลับๆก่อนจะพูดเสียงเย็นชา
“เดินไป!”
“ขอรับๆ ขอบคุณท่านหัวหน้าตระกูล!”
ไม่นานนักทั้งสองมาถึงลานบ้าน หลิวหลินเฟิงชี้ไปที่พื้นดินข้างทางก่อนจะเอ่ยว่า
“คุกเข่าตรงนั้น”
หลังจากนั้นเขาก็เข้าไปเรียกหลี่ทงหยาและหลี่เซี่ยงผิงออกมา เมื่อเข้าไปในลานบ้านแล้วเขาคุกเข่าต่อหน้าทั้งสองคนพลางกล่าวด้วยความขมขื่น
“ตระกูลหลิวไม่ได้อบรมดูแลอย่างเคร่งครัด ขอได้โปรดเมตตาด้วย!”
คำพูดนี้ทำให้ทั้งสองคนตกใจจนกระโดดลุกขึ้น พยายามเข้ามาพยุงตัวเขา หลี่ทงหยาเอ่ยเสียงหนักแน่น
“อย่าเลย! ท่านทำถึงขนาดนี้ทำไมกัน!”
หลิวหลินเฟิงยิ้มอย่างขมขื่นก่อนจะเล่าเรื่องของหลิวเหมียวถู่อย่างละเอียด เมื่อฟังจบหลี่เซี่ยงผิงเพียงกล่าวเบาๆ
“ท่านจัดการเองเถิดไม่จำเป็นต้องมากพิธีเช่นนี้”
“ขอเชิญตามข้ามา”
หลิวหลินเฟิงส่ายหัวเล็กน้อยก่อนตอบ พลางพาสองคนไปยังหน้าประตูบ้านชี้ไปที่หลิวเหมียวถู่ที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า
เมื่อหลิวเหมียวถู่เห็นคนทั้งสาม เขาก็เริ่มร้องไห้คร่ำครวญ แต่ไม่ทันไรหลิวหลินเฟิงก็ก้าวพรวดเดียวเข้ามาย่อตัวจับแขนหลิวเหมียวถู่แล้วฟันลงที่ลำคอของเขาอย่างแรง หลิวเหมียวถู่ร้องเพียงสองเสียงก่อนที่เลือดจะพุ่งออกจากลำคอราวกับสายน้ำ เขาไออย่างรุนแรงและพ่นเลือดออกมาเป็นฝอย ก่อนที่ร่างจะล้มลงกับพื้นอย่างไร้ชีวิต
“ท่านลุงยังคงรอบคอบ”
หลี่เซี่ยงผิงตบมือเบาๆมองหลิวเหมียวถู่ที่ล้มลงก่อนจะหันไปพูดกับหลี่ทงหยาพร้อมรอยยิ้ม
“เลือกที่ตรงดินโคลนเพื่อลดการทำเปื้อนบันไดหินหน้าบ้านข้า”
หลี่ทงหยาเพียงถอนหายใจยาวมองหลิวหลินเฟิงแล้วกล่าวว่า
“รบกวนท่านลุงจัดการด้วย”
“เป็นเรื่องที่ต้องทำอยู่แล้ว”
หลิวหลินเฟิงตอบกลับทันทีก่อนลากศพเข้าไปในป่า
เมื่อจัดการเรียบร้อยสองคนจึงหันกลับเข้าลานบ้าน หลี่ทงหยายังคงขมวดคิ้วอยู่ตลอดเวลา ขณะที่หลี่เซี่ยงผิงกลับตบบ่าเขาเบาๆแล้วพูดด้วยเสียงหนักแน่น
“เขาหาเรื่องเอง อย่าคิดมากเลย”
หลี่ทงหยายิ้มขื่นๆเมื่อมองเข้าไปในดวงตาของน้องชาย แล้วอธิบายว่า
“ข้าไม่ได้สงสารเขา เพียงแต่รู้สึกสะเทือนใจเท่านั้น ที่ตระกูลหลี่มีเจ้าเป็นผู้ดูแล ท่านพ่อจึงยินยอมปล่อยมือจากเรื่องต่างๆ เพราะข้าก็ยังโหดเหี้ยมไม่พอ”
หลี่เซี่ยงผิงส่ายหัวพร้อมรอยยิ้ม ก่อนตอบว่า
“เจ้าก็ฆ่าเหมือนกัน เพียงแต่เจ้าจะจัดให้ชาวบ้านเห็นเป็นพยานก่อน ไล่เรียงความผิดของเขาแปดข้อ แล้วจึงประหารเขาต่อหน้าผู้คนเพื่อให้เจ้าสบายใจ”
“ในเมื่อเป็นการฆ่าคน ทำไมต้องลำบากขนาดนั้น!”
หลี่ทงหยายืนอยู่หน้าลานบ้านเล็กๆ บนเชิงเขา ภาพคำพูดของหลี่เซี่ยงผิงวนเวียนในหัว ทำให้เขาอดสะท้อนใจไม่ได้
“หากข้าไม่ฆ่าเขาตระกูลหลี่ก็คงลงเอยเหมือนตระกูลว่านที่ถูกซึมลึกทั้งในและนอกจนเป็นรังปลวก”
เขาส่ายหัวเบาๆปล่อยเรื่องราวนี้ออกจากใจ ก่อนผลักประตูบ้านเข้าไป ในลานนั้นเขาเห็นหลิวโหรวเสวี่ยนนั่งสมาธิฝึกฝนลมปราณอย่างตั้งใจ นางกำลังฝึกฝนการหายใจตาม “วิธีบำรุงวงล้อพลังแห่งความบริสุทธิ์” เพื่อรวบรวม “วงล้อแห่งความล้ำลึก” แต่วิธีการนี้เน้นเพียงการหายใจและชำระลมปราณซึ่งประสิทธิภาพต่ำยิ่งนัก
เขาพึมพำในใจ
“ไม่น่าแปลกใจที่โหรวเสวี่ยนฝึกฝนมาสองปีแล้วยังคงเป็นเพียงคนธรรมดา ต่างจากหลี่ชิวหยางที่อาศัยพลังของผลงูมังกรจึงก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและใกล้จะรวบรวมวงล้อแห่งความล้ำลึกได้แล้ว”
ในยามปกติหลิวโหรวเสวี่ยนมักทักทายเขาด้วยรอยยิ้มเสมอ แต่วันนี้ที่ได้เห็นนางตั้งใจฝึกฝน เขาก็อดมองด้วยความประหลาดใจไม่ได้ จนกระทั่งนางเริ่มขยับขนตาและดูเหมือนจะตื่นจากสมาธิ เขาจึงรีบหลบสายตา
“พี่ทงหยา!”
เมื่อหลิวโหรวเสวี่ยนลืมตาเห็นหลี่ทงหยา นางก็ร้องเรียกด้วยความดีใจ
“อืม”
หลี่ทงหยาตอบรับเบาๆพร้อมกับก้มหน้าเล็กน้อยคล้ายรู้สึกผิดในใจ
หลิวโหรวเสวี่ยนแอบมองใบหน้าด้านข้างของเขา ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า
“ข้าก็สิบเจ็ดแล้ว คนอื่นๆในหมู่บ้านต่างแต่งงานมีลูกกันหมดข้ากลับยังไม่มีใครเลย…”
หลี่ทงหยาได้ฟังก็ส่ายหัวเบาๆ แล้วตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เจ้าก้าวเข้าสู่เส้นทางเซียนแล้ว ไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องเหล่านี้ เจ้าต่างจากพวกเขา ตั้งใจฝึกฝน รวบรวมวงล้อแห่งความล้ำลึกให้ได้ก่อน”
“ข้าก็ตั้งใจจริงนะ ข้าฝึกวันละแปดชั่วโมงเลย!”
หลิวโหรวเสวี่ยนพูดพร้อมยู่ปากเบาๆก่อนเงยหน้ามองหลี่ทงหยาและถามว่า
“พี่ทงหยาก็เลือกอยู่คนเดียวเพราะต้องการฝึกฝนใช่ไหม?”
เมื่อเห็นหลี่ทงหยาพยักหน้าเบาๆหลิวโหรวเสวี่ยนหน้าแดงเล็กน้อย หายใจแรงขึ้นเล็กน้อยก่อนพูดด้วยเสียงเบาๆว่า
“พี่ทงหยา…ยังคิดว่าข้า…พอจะเหมาะสมหรือไม่…”
(จบบท)