บทที่ 32 ผู้มาเยือน
ว่านเทียนชางน้ำตาคลอเบ้ากล่าวเล่าถึงความโหดร้ายของตระกูลจวี๋และสภาพของตระกูลว่านที่อยู่ในสถานการณ์อันยากลำบาก ทั้งยังเน้นย้ำถึงความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลว่านและตระกูลหลี่ที่ไม่อาจแยกจากกัน ความรุ่งโรจน์หรือความสูญเสียของทั้งสองตระกูลล้วนเกี่ยวพันกัน
คำพูดของเขาทำให้หลี่เย่เซินผู้คอยรับใช้ที่อยู่ข้างๆรู้สึกสะเทือนใจ ทว่าหลี่มู่เถียนกลับก้มหน้าลง ดื่มชาเบาๆโดยไม่ได้แสดงอาการใดๆและพูดขึ้นว่า
“สถานการณ์ของตระกูลว่านถึงกับเลวร้ายถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
“ใช่แล้ว!”
ว่านเทียนชางมองหลี่มู่เถียนกัดฟันแน่น เพราะรู้ว่าชายผู้นี้ไม่ใช่คนที่จะใจอ่อนง่ายๆ เขาจึงหยิบม้วนหนังสัตว์ออกมาจากอกเสื้อแล้วกล่าวว่า
“ก่อนจากมา พี่ชายในตระกูลได้กำชับให้ข้านำม้วนค่ายกลนี้มามอบเพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณของตระกูลหลี่”
หลี่มู่เถียนโบกมือให้หลี่ทงหยาเดินมารับฟังคำอธิบายจากว่านเทียนชาง
“ค่ายกลนี้มีชื่อว่า ‘ค่ายกลพรางตา’ เป็นสิ่งที่ท่านปู่ซื้อจากตลาดเมื่อร้อยปีก่อน ใช้ธงค่ายกลเพื่อสร้างค่ายกลขึ้น ท่านปู่โปรดปรานค่ายกลเป็นอย่างมาก ค่ายกลในภูเขาของตระกูลเราล้วนเป็นผลงานของท่าน”
“หลังจากท่านปู่ล่วงลับไปก็ไม่มีใครในตระกูลที่เชี่ยวชาญค่ายกลอีกเลย”
ว่านเทียนชางพูดด้วยความเสียดายก่อนจะส่งม้วนหนังสัตว์ให้หลี่ทงหยาด้วยสองมืออย่างไม่เต็มใจนัก
เมื่อหลี่ทงหยาพยักหน้าหลี่มู่เถียนจึงยิ้มพลางกล่าวว่า
“ท่านว่านช่างมีน้ำใจ ตระกูลว่านและตระกูลหลี่ต่างก็อยู่ภายใต้การดูแลของสำนักชิงฉือย่อมต้องช่วยเหลือกัน เมื่อครอบครัวท่านประสบความยากลำบาก ตระกูลหลี่จะไม่ฉวยโอกาสแต่อย่างใด ดังนั้นผลผลิตที่ตระกูลหลี่จะเก็บนั้นขอเพียงร้อยละสิบห้าก็พอ”
ว่านเทียนชางได้แต่หัวเราะอย่างขมขื่นพลางตอบว่า
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโส!”
หลี่มู่เถียนพยักหน้ารับเบาๆจากนั้นหลี่ทงหยาก็พาว่านเทียนชางและหลี่เย่เซินออกไป
ทันทีที่ออกจากประตูเรือน ว่านเทียนชางก็หันไปถามหลี่ทงหยาด้วยความหวังว่า
“ข้าสามารถทราบได้หรือไม่ว่าตระกูลหลี่จัดสรรพื้นที่นาของข้าไว้ที่ใด? ขอให้พาไปชมพื้นที่ด้วย”
“ย่อมได้”
หลี่ทงหยาพยักหน้าและเดินไปตามทางหินพลางอธิบายว่า
“ตระกูลหลี่ของเรามีหมู่บ้านสองแห่งที่ตั้งอยู่ตามเส้นทางโบราณกู่หลี่ หนึ่งในนั้นคือหมู่บ้านหลี่เต้าโข่วซึ่งท่านว่านเดินทางผ่านมา อีกแห่งคือหมู่บ้านหลี่ชวนโข่วซึ่งตั้งอยู่ริมทะเลสาบวั่งเยว่”
“สำหรับพื้นที่นาที่ให้เช่านั้นตั้งอยู่ที่หมู่บ้านหลี่ชวนโข่ว ซึ่งข้าได้สั่งให้สร้างเรือนเล็กๆไว้แล้ว พื้นที่นาก็อยู่ในสภาพสมบูรณ์ดี ผลผลิตต่อปีอยู่ที่ประมาณเจ็ดสิบชั่ง”
ว่านเทียนชางพยักหน้าแสดงความเข้าใจก่อนจะหันไปชมทิวทัศน์ของหมู่บ้านหลี่จิ้งตามทางพลางกล่าวว่า
“ถนนหนทางที่นี่ช่างสะอาดเรียบร้อย ผู้คนไปมาหาสู่กันอย่างสะดวก เป็นภาพที่พบเห็นได้ยากจริงๆ”
“ท่านว่านชมเกินไปแล้ว”
หลี่ทงหยาหัวเราะเบาๆก่อนจะพูดต่อว่า
“ข้าได้ยินมาว่าแถวนี้มีตลาดของเหล่าผู้บำเพ็ญ ตระกูลหลี่ของเราเพิ่งก่อตั้งยังไม่ค่อยทราบเรื่องมากนัก”
“ท่านทงหยาช่างต้องการขุดเอาความลับจากพวกเราอยู่เรื่อย!”
ว่านเทียนชางหัวเราะเสียงดัง พลางหยอกล้อหลี่ทงหยาก่อนจะกลับมาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า
“ข้าเพิ่งฝึกฝนถึงวงล้อแห่งความล้ำลึกและยังไม่เคยไปตลาดนั้นเลย แต่พี่ชายและหัวหน้าตระกูลของข้าเคยไปมาแล้วและได้เล่าหลายสิ่งเกี่ยวกับที่นั่น”
“ตลาดแห่งนั้นตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆในทะเลสาบวั่งเย่วและเปิดโดยผู้บำเพ็ญสายอิสระระดับฝึกพลังขั้นสูงสุด ในคืนพระจันทร์เต็มดวงจะมีเรือลำใหญ่ลำเลียงเหล่าผู้บำเพ็ญหรือครอบครัวเล็กๆเช่นพวกเราไปยังเกาะนั้น”
“หัวหน้าตระกูลบอกว่าการไปยังเกาะนั้นควรรอจนกว่าจะฝึกฝนถึงวงล้อแห่งหยกอันสูงส่งเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายระหว่างทาง”
ว่านเทียนชางรีบกล่าวเตือน เพราะกลัวว่าตระกูลหลี่จะส่งคนไปเสี่ยงอันตรายและทำให้เกิดความบาดหมางระหว่างสองตระกูล
“พวกเราย่อมเข้าใจดี”
หลี่ทงหยาพยักหน้าพลางจดจำข้อมูลสำคัญนี้ไว้ในใจแล้วเปลี่ยนไปสนทนาเรื่องอื่นกับว่านเทียนชาง
ไม่นานพวกเขาก็มาถึงหมู่บ้านหลี่ชวนโข่ว เฉินเอ้อร์หนิวเมื่อทราบว่าหลี่ทงหยาพาแขกจากต่างตระกูลมาด้วยก็รีบร้อนออกมาต้อนรับพร้อมกับคนงานในหมู่บ้านและเดินตามหลี่ทงหยาอย่างระมัดระวังพลางพูดคุยกับหลี่เย่เซินอย่างแผ่วเบา
ว่านเทียนชางตรวจดูขนาดพื้นที่นา วัดปริมาณลมปราณและคุณภาพดิน จากนั้นจึงพยักหน้าให้หลี่ทงหยาเพื่อแสดงความพึงพอใจ หลี่ทงหยาจึงยิ้มพลางกล่าวว่า
“ท่านว่านเดินทางมาไกลคงเหนื่อยล้ามาก ข้ายังมีธุระในตระกูลต้องจัดการจึงขอตัวลาก่อน”
เมื่อพูดจบก็สั่งให้หลี่เย่เซินและเฉินเอ้อร์หนิวช่วยดูแลเรื่องต่างๆให้เรียบร้อยแล้วเขาก็เดินทางกลับหมู่บ้านหลี่จิ้ง
_____
บัดนี้บริเวณภูเขาด้านหลังหมู่บ้านหลี่จิ้งเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ชาวบ้านต่างเรียกภูเขาแห่งนี้ว่า ภูเขาหลี่จิ้ง บริเวณป่าทึบที่ล้อมรอบเต็มไปด้วยเรือนหลังเล็กๆที่สร้างด้วยอิฐสีเขียว หลังคากระเบื้องสีเทา ดูงดงามลงตัว
ทางหินคดเคี้ยวทอดยาวจากเชิงเขาจนถึงยอดเขา ที่เชิงเขามีชาวบ้านเฝ้าอยู่ เมื่อเห็นหลี่ทงหยาก็มอบคำทักทายด้วยความเคารพว่า
“ขอต้อนรับท่านเซียน”
หลี่ทงหยาพยักหน้าตอบเบาๆก่อนจะเดินขึ้นไปตามทางหิน ใช้เวลาเดินประมาณหนึ่งธูปถึงเรือนเล็กๆหลังหนึ่งที่ปรากฏแก่สายตา
ในเรือนนั้น หมอหานเหวินสวี่กำลังสอนหนังสืออยู่ ภายในลานเต็มไปด้วยเด็กๆ อายุกลางๆ ประมาณห้าถึงหกสิบคน แต่ละคนล้วนตั้งใจนั่งฟังบทเรียนใต้ต้นไม้
ไม่เพียงแต่เด็กจากหมู่บ้านหลี่จิ้งและหมู่บ้านจิ้งหยางเท่านั้น แต่ยังมีเด็กจากหมู่บ้านหลี่เต้าโข่วและหลี่ชวนโข่วที่มาเรียนด้วย สำหรับครอบครัวที่พอมีกำลังทรัพย์มักจะส่งเด็กในบ้านมาเรียนหนังสือที่นี่
หลี่ทงหยามองไปที่หลี่เสวียนเซวียนซึ่งนั่งเรียนอยู่ในลาน เขาคิดในใจว่า
“อีกไม่กี่เดือน เมื่อเด็กอายุครบหกถึงเจ็ดปี ร่างกายจะพัฒนาเต็มที่ก็สามารถทดสอบว่ามีประตูวิญญาณหรือไม่ ตอนนี้ยังมีสัญลักษณ์ไข่มุกดำเหลืออีกสามชิ้น แม้ว่าจะไม่มีประตูวิญญาณในตัวของเสวียนเอ๋อก็ไม่ใช่ปัญหา”
“ถ้านับเวลาอีกไม่กี่เดือนเถียนหยุนก็จะคลอดบุตรแล้ว”
ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดภาพของหลิวโหรวเสวี่ยนก็ผุดขึ้นในความคิดของหลี่ทงหยา ทำให้เขาสะดุ้งเฮือกรีบสลัดความคิดออกและหัวเราะขมขื่นก่อนจะเดินต่อไปยังยอดเขา
เมื่อผ่านเรือนเรียนก็พบกับบันไดหนึ่งร้อยยี่สิบหกขั้น ที่ปลายบันไดมีประตูไม้ทาสีแดงตั้งตระหง่านอยู่บนลานกว้างด้านหน้าประตูมีชายชราผมสีดอกเลานั่งอยู่
“เถียนซู!”
หลี่ทงหยาทักทาย ขณะมองดูเถียนโส่วสุ่ยซึ่งกำลังยิ้มแย้มพร้อมกับถือค้อนเล็กๆในมือและกำลังทำม้าไม้ที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์อยู่
“ทงหยากลับมาแล้วหรือ”
เถียนโส่วสุ่ยหัวเราะพลางพยักหน้า เขาดูเก้อเขินเล็กน้อยเมื่อชี้ไปที่ม้าไม้ในมือแล้วกล่าวว่า
“นี่คือของเล่นที่ทำไว้ให้หลาน เพราะอีกไม่นานหยุนเอ๋อก็จะคลอดแล้ว”
ชายชราผู้นี้เคยได้รับบาดเจ็บหนักในวัยหนุ่มทำให้อายุล่วงเลยมากกว่าสหายรุ่นราวคราวเดียวกัน แม้เขาจะอายุเท่ากับหลี่มู่เถียนแต่กลับดูชรากว่าราวสิบปี
“เชิญท่านทำงานต่อเถิด”
หลี่ทงหยามอบความเคารพต่อชายชราผู้นี้เช่นบิดาของตน หลังจากทักทายกันเสร็จเขาจึงเดินเข้าไปในเรือน
ในเรือนหลี่เซี่ยงผิงกำลังตื่นจากการทำสมาธิ เขาพ่นลมหายใจแรงก่อนจะหันไปมองหลี่ทงหยาพร้อมกล่าวว่า
“พี่ใหญ่สำเร็จถึงวงล้อแห่งการหมุนเวียนแล้วหรือ?”
“ใช่”
หลี่ทงหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ยังตอบด้วยรอยยิ้ม
“พี่ใหญ่ยังเร็วกว่าข้าก้าวหนึ่งเสมอ”
หลี่เซี่ยงผิงแสร้งทำหน้าไม่พอใจ แต่สุดท้ายก็หัวเราะก่อนจะลุกขึ้นบิดตัวไปมาเพื่อผ่อนคลาย
เมื่อหลี่ทงหยาบอกเล่าเรื่องของว่านเทียนชางและวางม้วนค่ายกลลงบนโต๊ะ หลี่ทงหยาก็ยกถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นมาดื่มขณะที่หลี่เซี่ยงผิงนั่งครุ่นคิดอยู่ เขาจึงถามว่า
“คิดอะไรอยู่?”
“ว่านเทียนชางรับมือยากกว่าว่านหยวนข่ายมาก”
หลี่เซี่ยงผิงเงยหน้าขึ้นตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
หลี่ทงหยาหัวเราะเบาๆ ขณะเตรียมจะพูดต่อ แต่แล้วก็ได้ยินเสียงเถียนโส่วสุ่ยร้องเรียก
“หลินเฟิงมาแล้ว!”
ทั้งสองสบตากันด้วยความสงสัย ก่อนจะเห็นหลิวหลินเฟิงเร่งรีบเดินเข้ามาในลาน เขาเช็ดเหงื่อบนหน้าผากพลางมองพวกเขาและกล่าวว่า
“ที่เชิงเขามีเซียนมาเยือน บอกว่ามาจากยอดเขาชิงสุ่ยเฟิง”
(จบบท)