บทที่ 16 ศัตรูร่วม
ในขณะเดียวกัน ณ มุมหนึ่งของจวนตระกูลเฟิง เฟิงฉางอวิ๋นและเฟิงโม่กำลังวางแผนบางอย่าง
“ไอ้ขยะนั่นกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ได้อย่างไร? มันไม่ได้มีชีพจรวิญญาณกระบี่! ยิ่งกว่านั้น ทั้งตระกูลเฟิงหรือแม้แต่ทั้งเมืองลั่วเฟิง ก็ไม่มีวิชากระบี่ที่คู่ควรเลยด้วยซ้ำ!”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เฟิงฉางอวิ๋นขบกรามแน่น ทั้งไม่เข้าใจและเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
ผู้ฝึกกระบี่คือบุคคลที่มีอนาคตอันไร้ขีดจำกัด!
ศักยภาพของผู้ฝึกกระบี่ ย่อมเหนือกว่าผู้ที่มีชีพจรวิญญาณขั้นสวรรค์อย่างเฟิงโม่ไปอีกหลายขั้น
โอกาสอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ เหตุใดจึงตกไปอยู่ในมือของไอ้ขยะเช่นนั้น?
ความคิดของเฟิงฉางอวิ๋นในตอนนี้เต็มไปด้วยอคติ
เขาไม่กล้าเกลียดชังอัจฉริยะที่แท้จริงเช่นเยว่ชิงอิง เพราะในสายตาของนาง เขายังต่ำต้อยจนไม่คู่ควรจะกล่าวสิ่งใด
แต่เขากลับไม่อาจยอมรับได้ที่ “ไอ้ขยะ” คนหนึ่งซึ่งเคยถูกเขาเหยียบย่ำ กลับลุกขึ้นมาสูงส่งกว่าเขาได้
ในมุมมองของเขา คนที่เป็นขยะควรจะเป็นขยะไปตลอดชีวิต การที่เฟิงอู๋เฉินกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่และก้าวล้ำหน้าเขาไปนั้น ถือเป็นความผิดร้ายแรง!
เฟิงโม่ยิ้มอย่างมั่นใจ “วางใจเถอะท่านพ่อ ผู้ฝึกกระบี่ก็เพียงแค่ไร้ผู้ต้านในระดับเดียวกัน แต่ข้านำหน้าเขาไปไกลนัก อีกทั้งข้ายังมีชีพจรวิญญาณขั้นสวรรค์! เจ็ดวันหลังจากนี้ในการประลอง ข้ามีความมั่นใจเก้าในสิบส่วนที่จะบดขยี้มัน!”
เฟิงฉางอวิ๋นส่ายศีรษะ “ความมั่นใจเก้าในสิบส่วนยังไม่พอ! หากจะลงมือ ก็ต้องมั่นใจว่าไร้ข้อผิดพลาด หากข้าสามารถทำให้เจ้าบรรลุถึงขั้นปราณยุทธ์ระดับสองได้ในเจ็ดวันนี้เล่า?”
ประกายตาของเฟิงโม่สว่างวาบ “จริงหรือ? หากเป็นเช่นนั้น ไอ้ขยะนั่นคงไม่มีแม้แต่โอกาสชนะหนึ่งในสิบส่วน!”
“ดี! เจ้าจงจำไว้ให้ดี หลังการประลองในอีกเจ็ดวัน เจ้าต้องไม่ปล่อยให้มันรอดลงจากเวทีได้ หากปล่อยไว้ ย่อมเป็นภัยในอนาคต!”
“ข้าเข้าใจ!”
ค่ำคืนที่เงียบงัน
เฟิงฉางอวิ๋นสวมเสื้อคลุมสีดำ เดินทางอย่างลับๆ ไปยังจวนตระกูลหลิน
ในห้องที่เงียบสงัด เฟิงฉางอวิ๋นนั่งเผชิญหน้ากับหลินชาง ผู้มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่? เมื่อหนึ่งปีก่อน เจ้าส่งมอบชีพจรวิญญาณขั้นพิภพของเฟิงอู๋เฉินให้แก่ตระกูลหลิน และตระกูลหลินก็มอบทรัพยากรให้บุตรชายของเจ้าเพื่อยกระดับเป็นผู้สืบทอดแห่งตระกูลเฟิง เราสองฝ่ายถือว่าชดใช้กันหมดสิ้นแล้วมิใช่หรือ?”
เฟิงฉางอวิ๋นหัวเราะเบาๆ “ใช่...เรื่องนั้นเราสองฝ่ายจบสิ้นกันไปแล้ว แต่ความบาดหมางระหว่างเฟิงอู๋เฉินกับพวกเจ้า...ยังไม่จบ!”
หลินชางขมวดคิ้วแน่น “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
เฟิงฉางอวิ๋นหัวเราะเยาะ “แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้ไอ้ขยะนั่นฟื้นพลังกลับมาแล้ว แถมยังกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ เจ้าคิดหรือว่ามันจะปล่อยพวกเราไป? หากปล่อยให้มันเข้าร่วมสำนักชิงเฉินและพัฒนาฝีมือขึ้นมาได้ พวกเราสองตระกูลย่อมพบจุดจบ!”
หลินชางจ้องเฟิงฉางอวิ๋นด้วยดวงตาเย็นชา “แต่บุตรชายของเจ้าก็มีพลังในขั้นปราณยุทธ์ ไม่น่าจะมีปัญหาใดมิใช่หรือ?”
เฟิงฉางอวิ๋นแค่นเสียง “หลินอี้และเฟิงฉางอี้ก็อยู่ในขั้นปราณยุทธ์มิใช่หรือ? แต่สุดท้ายก็ตายใต้กระบี่ของมัน! ผู้ฝึกกระบี่นั้นมิอาจวัดความแข็งแกร่งด้วยมาตรฐานของคนธรรมดา!”
หลินชางพ่นลมหายใจอย่างไม่สบอารมณ์ “แล้วอย่างไร? ข้าไม่ได้เป็นคนขึ้นเวทีในวันนั้น จะชนะหรือแพ้ข้าก็ไม่อาจกำหนดได้”
เฟิงฉางอวิ๋นยิ้มบาง “อย่าทำเป็นไม่รู้เรื่องเลยท่านผู้อาวุโส ข้ารู้ว่าตระกูลหลินยังมีโอสถหลอมกายาอยู่หนึ่งเม็ด มันสามารถช่วยให้ผู้ที่อยู่ในขั้นปราณยุทธ์บรรลุขึ้นอีกหนึ่งระดับได้!”
ดวงตาของหลินชางหรี่ลงเล็กน้อย “เจ้าหมายความว่า ให้ข้าใช้โอสถหลอมกายานั้นกับเฟิงโม่ เพื่อให้มันมีความมั่นใจเต็มที่ในการกำจัดเฟิงอู๋เฉิน? เจ้าคิดจะเอาเปรียบข้าเกินไปแล้ว! โอสถหลอมกายาคือสมบัติล้ำค่าของตระกูลหลิน ข้าจะมอบให้เจ้าไปทำไม?”
“นี่ไม่ใช่การให้เปล่า!” เฟิงฉางอวิ๋นกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“เฟิงอู๋เฉินในตอนนี้คือศัตรูร่วมของพวกเราทุกคน และการประลองในอีกเจ็ดวันข้างหน้า คือโอกาสเดียวที่จะกำจัดมัน หากปล่อยให้มันกลายเป็นศิษย์สายตรงของสำนักชิงเฉิน ตระกูลหลินของเจ้าก็เตรียมรอวันล่มสลายได้เลย!”
เมื่อพูดจบ เฟิงฉางอวิ๋นก็สังเกตเห็นว่าหลินชางยังคงนิ่งเฉย เขาถอนหายใจยาว “เอาเถอะ...หากท่านผู้อาวุโสหลินไม่เชื่อ เช่นนั้นก็ถือว่าข้าไม่เคยมาที่นี่!”
“ช้าก่อน!”
ทันทีที่เฟิงฉางอวิ๋นลุกขึ้นยืน เตรียมตัวจากไป เสียงของหลินชางก็ดังขึ้น
เมื่อเฟิงฉางอวิ๋นหันกลับมา เขาก็เห็นกล่องไม้เล็กๆ ที่ประณีตงดงามปรากฏอยู่บนโต๊ะตรงหน้าหลินชาง
“โอสถเม็ดนี้เดิมทีข้าตั้งใจเก็บไว้ให้หลานสาวของข้าหลินหว่าน แต่ตอนนี้นางไม่ต้องการมันแล้ว เจ้ารับไปเถอะ!”
คำพูดนี้ทำให้ดวงตาของเฟิงฉางอวิ๋นสั่นไหว
‘ไม่ต้องการแล้ว?’
หรือว่าในเวลาเพียงหนึ่งปี หลินหว่านได้บรรลุขั้นกายสุวรรณแล้ว? หรือบางที...นางอาจอยู่เหนือขั้นกายสุวรรณไปแล้วด้วยซ้ำ!
‘สำนักชิงเฉิน...สถานที่แห่งนั้นช่างสมกับเป็นสวรรค์ของผู้ฝึกยุทธ์เสียจริง!’
ในใจของเฟิงฉางอวิ๋นร้อนระอุ เขากำหมัดแน่นด้วยความคาดหวัง
‘ด้วยพรสวรรค์ของบุตรชายข้า สักวันหนึ่งเขาจะต้องก้าวขึ้นไปถึงจุดนั้นได้อย่างแน่นอน!’
เจ็ดวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เช้าตรู่ของวันนี้ คนตระกูลเฟิงได้มารวมตัวกันที่หน้าประตูเมืองตั้งแต่ฟ้าสางเพื่อรอการมาถึงของแขกสำคัญ
เมื่อเห็นเงาของคนที่สวมชุดของสำนักชิงเฉินปรากฏในสายตา ทุกคนในตระกูลเฟิงต่างพร้อมใจกันคุกเข่าลงภายใต้การนำของเฟิงฉางเกิง
“ตระกูลเฟิงทุกคน ขอคารวะผู้อาวุโสลู่!”
กลางวันแสกๆ ณ สนามประลองของตระกูลเย่ เหล่าตระกูลผู้ทรงอิทธิพลแห่งเมืองลั่วเฟิง เช่น ตระกูลเย่ ตระกูลหลิน และตระกูลโจว ต่างพากันมารวมตัว เพื่อร่วมชมพิธีต้อนรับผู้ทรงพลังจากสำนักชิงเฉิน
ตรงตำแหน่งสำคัญที่สุดของสนามประลอง มีชายชราผมสีดอกเลานั่งอยู่ ท่ามกลางศิษย์สองคนของสำนักชิงเฉินที่อยู่ข้างกาย ทั้งคู่ล้วนอยู่ในขั้นปราณยุทธ์
ชายชราผู้นี้คือ ผู้อาวุโสลู่ชิงแห่งสำนักชิงเฉิน และเป็นยอดฝีมือขั้นกายสุวรรณขอบเขตสูงสุด
สองข้างของลู่ชิง เต็มไปด้วยผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงจากตระกูลใหญ่ของเมืองลั่วเฟิง