บทที่ 637: ไม่กล้ามอง
หวังรุ่ยดูจะพอใจกับความร่วมมือของเฉียวซางมาก เขาพูดขึ้นทันทีว่า
“งั้นเรียกรูปแบบใหม่ของเหยี่ยวเกราะเหล็กออกมาสักทีสิ”
ในฐานะนักวิจัยระดับสูงแห่งสถาบันวิจัยสัตว์อสูรประเภทบินเขต 3 เขามักมีท่าทีหยิ่งยโสเป็นนิสัย น้ำเสียงจึงเต็มไปด้วยความเหนือกว่าผู้อื่น
แต่ทันทีที่พูดจบ เขาก็สังเกตเห็นสายตาของอธิการบดีที่เหลือบมองเขา
หวังรุ่ยนึกขึ้นได้ทันทีว่าสถานที่นี้คือโรงเรียนมัธยมปลายไซแนนท์ที่ซึ่งลูกหลานตระกูลใหญ่รวมตัวกันอยู่ อีกทั้งเฉียวซางก็มีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา
แม้จะไม่ถึงกับเกรงกลัว แต่หวังรุ่ยก็รีบเสริมคำพูดเพื่อสร้างความประทับใจ
“ทุกครั้งที่ผู้ฝึกสัตว์อสูรค้นพบรูปแบบใหม่ของสัตว์อสูร คนที่ค้นพบจะได้รับสิทธิ์ตั้งชื่อสัตว์อสูรตัวนั้น เธอคิดชื่อให้รูปแบบใหม่ของเหยี่ยวเกราะเหล็กไว้หรือยัง? ถ้าคิดแล้ว เดี๋ยวหลังจากวันนี้ฉันจะส่งรายงานให้เอง”
เฉียวซางขณะประสานมืออัญเชิญตอบขึ้นว่า
“คิดไว้แล้วค่ะ ชื่อว่าเหยี่ยวเกราะพิทักษ์ค่ะ”
“กงเว่ย”
เหมือนจะเป็นการตอบรับ เสียงเรียกของกงเป่าที่ถูกอัญเชิญออกมาดังขึ้นอย่างพอเหมาะพอดี
“เหยี่ยวเกราะพิทักษ์ (กงเว่ยซุน) คงตั้งชื่อตามเสียงร้องของมันสินะ” หวังรุ่ยมองดูรูปแบบใหม่ของเหยี่ยวเกราะเหล็กด้วยดวงตาเป็นประกาย พร้อมทั้งเอ่ยพลางยื่นมือออกไปลูบคลำอย่างจริงจัง
กงเป่าแสดงสีหน้าชาไร้อารมณ์
มันรู้สึกว่าวันนี้ตัวเองคงโดนลูบจนขนร่วงหมดแน่...
เมื่อก่อนก็ไม่เห็นพวกมนุษย์เหล่านี้จะชอบมันขนาดนี้เลย...
“มัวแต่ยืนเฉยอยู่ทำไม รีบถ่ายรูปสิ!” หวังรุ่ยที่กำลังลูบคลำอยู่พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ หันไปพูดกับเหล่าผู้ช่วยที่ยืนอยู่ข้างๆ
พวกเราถ่ายไม่ได้น่ะสิ คุณเอาแต่มาลูบแบบนี้... ผู้ช่วยทั้งหลายได้แต่โกรธแต่ไม่กล้าพูด พากันหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปกงเป่าแบบ 360 องศา ไร้มุมอับ
หวังรุ่ยเองก็รู้ตัวว่าตัวเองขวางการถ่ายทำ จึงถอยไปยืนด้านข้าง
หลังจากถ่ายรูปกันอยู่ราวสิบกว่านาที หวังรุ่ยก็หันไปหาเฉียวซางแล้วพูดว่า
“ต่อไปจะต้องทำการต่อสู้เพื่อยืนยันว่าเหยี่ยวเกราะพิทักษ์เป็นวิวัฒนาการแบบสายสัมพันธ์จริงหรือเปล่า ทำการต่อสู้แบบปกติ ถ้าระหว่างนั้นเหยี่ยวเกราะพิทักษ์ได้รับบาดเจ็บจนเธอรู้สึกเจ็บด้วยก็รีบบอกเราทันที”
“ได้เลยค่ะ!” เฉียวซางตอบด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น
พอดีเมื่อวานกลับดึก เธอยังไม่มีโอกาสลองใช้ทักษะใหม่ของกงเป่าเลย คราวนี้จะได้ลองดูว่ามันทรงพลังแค่ไหน
และเพราะกงเป่าน่าจะเป็นวิวัฒนาการแบบสายสัมพันธ์จริง เธอก็อยากรู้เหมือนกันว่าสัตว์อสูรที่วิวัฒนาการแบบสายสัมพันธ์นั้นในการต่อสู้จะเป็นไปตามที่พูดกันบนอินเทอร์เน็ตหรือเปล่า...
“เบอร์นิส ฝากเธอด้วย” หวังรุ่ยหันไปส่งสัญญาณให้หญิงสาวผมทองที่อยู่ข้างๆ
ก่อนจะมาที่นี่ สถาบันวิจัยได้รับข่าวว่าเหยี่ยวเกราะเหล็กอาจเป็นวิวัฒนาการแบบสายสัมพันธ์ เนื่องจากหากเป็นจริง ผู้ฝึกสัตว์อสูรจะรู้สึกเจ็บปวดตามไปด้วย ทางสถาบันจึงได้เลือกคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมมาเตรียมไว้ล่วงหน้า
เบอร์นิสมีสัตว์อสูรปูฟองน้ำที่เพิ่งวิวัฒนาการเป็นสัตว์อสูรระดับกลางเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งเหมาะที่สุดสำหรับการทดสอบ
เบอร์นิสเดินไปยืนประจำที่ทันที จากนั้นก็เริ่มร่ายเวท
กลุ่มดาวสีเทาปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่นานสัตว์อสูรรูปทรงคล้ายปู ขนาดราว 80 เซนติเมตร ลำตัวเป็นสีน้ำเงินเข้ม หัวมีหนามสองอัน และขามากถึงหกข้าง ก็ปรากฏตัวในกลุ่มดาว
ผู้ช่วยที่อยู่รอบๆ พร้อมกล้องถ่ายวิดีโอ เตรียมบันทึกการต่อสู้อย่างละเอียดทุกช็อต
“พูดถึงแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นการต่อสู้ของนักเรียนแลกเปลี่ยนจากดวงดาวอื่นในโรงเรียนเรา” อธิการบดีที่หาที่นั่งเรียบร้อยแล้วพูดด้วยความรู้สึก
นักเรียนแลกเปลี่ยนจากดวงดาวอื่่นมักจะเรียนอยู่ปีสาม ใครจะมีโอกาสได้เจอพวกเขาล่ะ นี่ยังไม่นับว่านักเรียนแลกเปลี่ยนเลย แม้แต่นักเรียนในโรงเรียนเราก็แทบไม่ได้เจอการต่อสู้กันเลย... มู่เต๋อลี่คิดในใจ แต่ภายนอกกลับแสร้งพยักหน้าเห็นด้วยว่า
“ฉันเองก็เพิ่งเคยเห็นเฉียวซางต่อสู้ครั้งแรกเหมือนกัน”
ระหว่างที่ทั้งสองคุยกัน การต่อสู้บนสนามก็เริ่มขึ้นแล้ว
“ปืนฉีดน้ำ!” เบอร์นิสออกคำสั่งทันที
เฉียวซางทำหน้าตาแปลกๆ เพราะเธอไม่ได้เจอผู้ฝึกสัตว์อสูรที่เริ่มต้นการต่อสู้ด้วยการสั่งคำสั่งโดยตรงแบบนี้มานานแล้ว...
ก้ามด้านขวาของปูน้ำฟองเปิดออกอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้กระแสน้ำพุ่งตรงออกมาในแนวเส้นตรง
ความเร็วของกระแสน้ำไม่เร็วมากนัก สำหรับกงเป่าที่เห็นการต่อสู้ของหยาเป่าอยู่บ่อยครั้งแล้ว มันดูเหมือนจะค่อนข้างช้า
ด้วยความเร็วและพลังแบบนี้ ไม่จำเป็นต้องหลบด้วยซ้ำ ใช้ ปีกเหล็ก ฟันแยกก็พอ... เฉียวซางมองการโจมตีของสัตว์อสูรฝ่ายตรงข้ามพร้อมกับคิดในใจ
ทันทีที่ความคิดผุดขึ้นมา กงเป่าก็กางปีกทั้งสองข้างขึ้นไขว้กันไปข้างหน้า กลายเป็นใบมีดสีม่วงสองเล่มในพริบตา และฟันแยกกระแสน้ำตรงหน้าจนแตกกระเซ็น
น้ำกระเด็นลงพื้น
จริงอย่างที่คิด ใช้โอกาสนี้โจมตีสวนกลับเลยดีกว่า คมมีดปีกเหล็กทักษะนี้น่าจะลองดูพลังได้... เฉียวซางเพิ่งคิดจะสั่งการ
แต่ยังไม่ทันได้ออกคำสั่ง กงเป่าก็กางปีกออกไปด้านหลัง ราวกับมันใช้แขนคู่หนึ่งดึงสิ่งที่อยู่ด้านหลังออกมา
ในเสี้ยววินาที ขนนกสองเส้นที่เปล่งประกายแสงสีม่วง ราวกับคมดาบ ก็ถูกดึงออกมาจากปีกของมัน
จากนั้น กงเป่าก็ใช้ปีกที่กำขนนกสีม่วงเป็นใบมีดพุ่งเข้าใส่ปูน้ำฟองด้วยความเร็วสูง ร่างของมันกลายเป็นแสงสีม่วงพร่าเลือน
ฉัวะ!
ภายในเสี้ยววินาที เงาร่างพร่าเลือนของกงเป่าและคมดาบสีม่วงได้ฟาดฟันปูน้ำฟองจนโดนเข้าเต็มๆ
ก่อนหน้านั้นเพียงเสี้ยววินาที เบอร์นิสเพิ่งส่งเสียงออกคำสั่งด้วยความตื่นตระหนกว่า “หลบเร็ว!”
“วอ!”
ปูน้ำฟองส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะล้มลงและหลับตาแน่น
เอ๊ะ... เฉียวซางจ้องปูน้ำฟองที่ล้มลงด้วยความมึนงงไปสองสามวินาที
คู่ต่อสู้นี่จริงจังแล้วใช่ไหม?
นี่จบแล้วเหรอ?
บรรยากาศในสนามเงียบสงัดชั่วขณะ
อธิการบดีที่นั่งอยู่ด้านข้างดวงตาเป็นประกาย:
“ไม่น่าเชื่อว่าเหยี่ยวเกราะเหล็กตัวนี้เพิ่งวิวัฒนาการเป็นสัตว์อสูรระดับกลางก็สามารถปลุกทักษะระดับสูงอย่างคมมีดปีกเหล็กได้แล้ว!”
โดยปกติสัตว์อสูรระดับเริ่มต้นจะไม่สามารถเรียนรู้ทักษะระดับสูงได้เลย เขาเลยไม่เคยคาดคิดถึงเรื่องที่ว่ามันอาจจะเรียนรู้อยู่ก่อนแล้วเลยสักนิด
มู่เต๋อลี่เอ่ยเสียงเบาๆ ด้วยความสงสัย
“พวกที่สถาบันวิจัยส่งมานี่อ่อนเกินไปหรือเปล่า? ดูเหมือนจะสั่งการไม่ทันกับสถานการณ์ในสนามเลย”
อธิการบดีครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนตอบว่า
“คนของสถาบันวิจัยใช้เวลาทั้งวันอยู่ในห้องวิจัย ทักษะการต่อสู้จริงๆเลยไม่ได้ดีนัก พวกเขาอาจจะเห็นว่าเหยี่ยวเกราะเหล็กของเฉียวซางเพิ่งวิวัฒนาการ คงไม่คิดว่าจะมีทักษะระดับสูงอย่างคมมีดปีกเหล็ก”
“ยิ่งกว่านั้น เฉียวซางเองก็เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนระดับแชมป์ปีสามจากบลูสตาร์ประเทศมังกร แม้ว่าเธอจะทำพันธสัญญากับเหยี่ยวเกราะเหล็กหลังมาที่อัลติเมทสตาร์ แต่ฝีมือเธอก็ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว”
“ถ้าเหยี่ยวเกราะเหล็กตัวนี้เป็นวิวัฒนาการแบบสายสัมพันธ์จริง การประสานงานระหว่างผู้ฝึกกับสัตว์อสูรก็ต้องดีกว่าคนของสถาบันวิจัยเป็นธรรมดา”
“พวกเขาคงกังวลแต่เรื่องความเจ็บปวดจากวิวัฒนาการแบบสายสัมพันธ์จนลืมไปว่าเฉียวซางเองก็มีฝีมือ”
“เข้าใจแล้วค่ะ” มู่เต๋อลี่พยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนพูดต่อด้วยน้ำเสียงเห็นอกเห็นใจ
“แต่ก็โทษพวกเขาไม่ได้ ใครจะคิดว่าสัตว์อสูรที่เพิ่งวิวัฒนาการจะมีทักษะระดับสูง แถมยังใช้งานได้คล่องขนาดนี้”
อธิการบดีไม่ได้ตอบอะไร ถือเป็นการยอมรับ
โดยทั่วไปแล้ว สัตว์อสูรที่เพิ่งวิวัฒนาการมักจะได้รับทักษะใหม่ 1-2 ทักษะ ซึ่งทักษะระดับต่ำยังพอใช้งานได้ทันที แต่ทักษะระดับกลางหรือสูงต้องใช้เวลาในการฝึกฝนอย่างน้อยหลายวันถึงจะสามารถใช้งานได้อย่างลื่นไหล
กรณีของเฉียวซางนับว่าเป็นข้อยกเว้น การที่สถาบันวิจัยไม่ได้คาดการณ์ไว้ก็ถือว่าเข้าใจได้
หวังรุ่ยเองก็ดูเหมือนจะตระหนักถึงข้อผิดพลาดของตัวเอง เขาไอเบาๆ แล้วหันไปมองเฉียวซาง ก่อนจะพูดเพื่อแก้สถานการณ์ว่า
“แม้ว่าจะเป็นการต่อสู้ปกติ แต่เป้าหมายหลักของเราก็คือการตรวจสอบว่าเหยี่ยวเกราะพิทักษ์เป็นวิวัฒนาการแบบสายสัมพันธ์หรือไม่ ดังนั้นเธอสามารถออมมือหน่อยก็ได้นะ”
ในสถาบันวิจัยไม่ใช่ว่าไม่มีสัตว์อสูรระดับสูงระดับนายพลหรือแม้แต่ระดับราชา แต่เนื่องจากหากสัตว์อสูรตัวนั้นวิวัฒนาการแบบสายสัมพันธ์จริง อาจส่งผลให้ผู้ฝึกสัตว์อสูรได้รับบาดเจ็บ การส่งสัตว์อสูรระดับกลางที่มีพลังใกล้เคียงกันจึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุด
แต่ใครจะไปคิดว่าสัตว์อสูรระดับเดียวกันจะโดนจัดการภายในไม่กี่วินาที...
ทำไมไม่บอกกันให้เร็วกว่านี้... เฉียวซางได้แต่บ่นในใจ ขณะที่ภายนอกเธอพยักหน้าตอบด้วยท่าทีจริงจังว่า
“ฉันเข้าใจแล้วค่ะ”
“กงเว่ย...”
กงเป่าค่อยๆ เสียบขนนกสีม่วงที่เปล่งแสงกลับไปยังปีกทั้งสองข้างอย่างเงียบๆ
“สก็อต นายขึ้นไปแทน” หวังรุ่ยกล่าวต่อ
ในสถาบันวิจัยไม่ได้มีเพียงเบอร์นิสที่มีสัตว์อสูรระดับกลาง แต่มีเพียงเธอเท่านั้นที่สัตว์อสูรของเธอเพิ่งวิวัฒนาการ
เบอร์นิสเรียกปูฟองน้ำกลับไปพร้อมกับเดินถอยออกไปด้วยความอับอาย
จากนั้นชายผมสีน้ำตาลตาสีฟ้ากลางคนคนหนึ่งก็เดินขึ้นมาบนสนาม
เขาประสานมือทั้งสองและในกลุ่มดาวสีเขียวก็ปรากฏสัตว์อสูรรูปร่างกลมมน สีเหลืองอ่อน ขนาดประมาณ 70 เซนติเมตร ดูคล้ายกับนกที่มีท่าทีอารมณ์ดี
เพื่อป้องกันไม่ให้การต่อสู้นี้จบลงอย่างรวดเร็วอีกครั้ง เฉียวซางรีบพูดขึ้นเตือนว่า
“กงเป่าจำเป้าหมายของการต่อสู้นี้ไว้ล่ะ”
เกือบหลุดปากบอกให้ทำตัวกากๆเข้าไว้ไปแล้วเนี่ย... เฉียวซางถอนหายใจโล่งอกในใจ แม้หวังรุ่ยจะเป็นคนพูดถึงเรื่องออมมือก่อน แต่ถ้าเธอพูดเองมันก็ยังดูอวดดีเกินไป อีกฝ่ายก็เป็นผู้ใหญ่ที่อายุมากกว่าเธอตั้งหลายสิบปี
“กงเว่ย”
กงเป่าร้องตอบด้วยเสียงที่แสดงถึงความเข้าใจ
ในขณะนั้นกงเป่าดูอารมณ์ดีไม่น้อย มันรู้สึกได้ว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้นมากจากการต่อสู้ครั้งก่อน
“นกเริงร่าใช้ลมกรด” สก็อตออกคำสั่ง
“เกิ๊งเกิ๊ง!”
นกเริงร่ากระพือปีกอย่างแรง ก่อนปล่อยคมลมที่ดูเหมือนใบมีดอากาศหลายสิบสายพุ่งเข้าหากงเป่า
การโจมตีครั้งนี้ดูเหมือนเป็นโอกาสที่ดี เฉียวซางสังเกตท่าทีของอีกฝ่ายและคิดในใจว่า
จากที่ดูพวกเขาคงแค่ต้องการทดสอบ ไม่น่าจะตั้งใจสู้กันจนจบจริงๆ งั้นให้กงเป่าหลบช้าๆจนโดนโจมตีหน่อยดีกว่า เผื่อจะจบเรื่องได้เร็วขึ้น
ในขณะที่กงเป่าเตรียมใช้กำแพงเหล็กอยู่ๆ ความคิดเดียวกันนี้ก็แล่นผ่านในหัวมัน
ร่างของมันชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนที่คมลมหนึ่งสายจะปะทะเข้ากับตัวมันอย่างจัง
ทันใดนั้น เฉียวซางก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดเล็กน้อยบริเวณหน้าอก
ความเจ็บปวดนี้เป็นของจริง แต่ไม่ถึงกับร้องออกมาด้วยความเจ็บ
ดูเหมือนฉันจะเดาไม่ผิด... เฉียวซางที่สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดบนหน้าอกคิดในใจอย่างมั่นใจ แต่แล้วเธอก็แสร้งทำหน้าตื่นตกใจ พร้อมกับถอยหลังไปก้าวหนึ่งและร้องออกมาว่า
“อ๊ะ!”
สก็อตชะงักไปทันที และหยุดออกคำสั่งต่อ
“กงเว่ย...”
กงเป่าหันไปมองผู้ฝึกของตัวเองด้วยสีหน้าที่เหมือนจะพูดว่า แสดงได้ห่วยสุดๆ
อธิการบดีที่นั่งดูอยู่เงียบๆ เห็นท่าทางของเฉียวซางก็อดครุ่นคิดไม่ได้
หรือว่าเขาจะคิดไปเอง? ทำไมดูเหมือนว่าเธอจะแสดงออกเกินจริงไปหน่อย...
มู่เต๋อลี่ได้แต่ยกมือขึ้นกุมขมับ พลางคิดในใจว่า
แค่ให้ออมมือ ไม่ได้ให้ปล่อยไก่ออกมาขนาดนี้...
ส่วนเหล่านักวิจัยกลับไม่สงบนิ่งเหมือนคนอื่น ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและตาเป็นประกาย
“ตอนที่เหยี่ยวเกราะพิทักษ์โดนโจมตีเมื่อกี้นี้ เธอรู้สึกเจ็บใช่ไหม!” หวังรุ่ยรีบวิ่งเข้ามาหาเฉียวซางด้วยใบหน้าเปี่ยมด้วยความตื่นเต้น
แม้ก่อนหน้านี้จะได้ยินจากอธิการบดีของโรงเรียนมัธยมปลายไซแนนท์ว่าเหยี่ยวเกราะเหล็กรูปแบบใหม่น่าจะเป็นวิวัฒนาการแบบสายสัมพันธ์ แต่ทุกอย่างก็ยังเป็นแค่การคาดเดา ยังไม่ได้รับการยืนยัน
พวกเขาคิดว่าคงต้องใช้เวลานานกว่าจะตรวจสอบเสร็จ แต่ไม่คาดคิดเลยว่ามันอาจเป็นเรื่องจริง!
เฉียวซางยกมือกุมหน้าอกแล้วตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงว่า
“ค่ะ”
“กงเว่ย...”
กงเป่าหันหน้าหนีด้วยท่าทางที่เหมือนจะบอกว่า รู้สึกอับอายจนไม่กล้ามองแล้ว....