บทที่ 548: อุบายของหลี่ไข่ ! ใหญ่กว่าถั่ว !
ฉินหลินไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของหลี่ไข่เลยและยังคงเซ็นเอกสารทีละแผ่น ๆ
เอกสารเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นเอกสารที่ยุ่งยากภายใต้กฎเกณฑ์ของบริษัท
แต่ทันใดนั้นเองฉินหลินก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับเอกสาร
“การวิจัยการปลูกข้าวสายพันธุ์ใหม่ของห้องทดลองชิงหลิน...”
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นรายงานการวิจัยที่เกี่ยวกับการเพาะปลูกข้าวสายพันธุ์ใหม่ซึ่งน่าจะเป็นฝีมือของพี่หลี่
ที่สำคัญคือไม่มีการเขียนชื่อผู้เข้าร่วมการทดลองในรายงานนี้ แม้แต่ชื่อของพี่หลี่ก็ไม่มีเหมือนกัน
จุดประสงค์ในการเอาเอกสารนี้มาให้เขาเซ็นคือคืออะไร ?
“พี่หลี่ เอกสารนี้เขียนไม่ชัดเจนผมเซ็นให้ไม่ได้หรอกนะ !” ฉินหลินพูดพร้อมหยิบเอกสารนั้นออกมายื่นให้หลี่ไข่
หลี่ไข่ก็มองรายงานนั้นด้วยความเขินอาย “อ้อ คิดว่าตอนรับมาน่าจะหยิบผิดติดมาด้วยน่ะ”
ปากก็พูดไป ใจก็เศร้าไป
ทำไมน้องฉินถึงได้ระมัดระวังตัวขนาดนี้ว้า แค่เซ็น ๆ ไปจะไม่ได้เลยเชียวหรือ
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นวิธีการที่เล่นกันในละครทีวี ไอ้ที่ว่าหากสอดแทรกเอกสารที่ต้องการเข้าไปในกองเอกสารที่ไม่สำคัญแล้วประธานบริษัทจะไม่อ่านนั่นดูท่าจะไม่จริงเลย
มีการลงนามในเอกสารที่ไม่มีนัยสำคัญบางส่วนก็ใช่อยู่ แต่เรื่องสำคัญจริง ๆ มันต้องได้รับการตัดสินใจผ่านการประชุมก่อน
ไอ้ละครทีวีพวกนี้แม่งสตอบอแหลของแท้
แล้วตัวเองก็ดันเชื่อไอ้เรื่องบ้า ๆ แบบนี้ซะอีกแหนะ
แต่คิดว่ามันง่ายหรืออย่างไรกัน
หม้อใบใหญ่เรื่องต้นข้าวสายพันธุ์ใหม่นี้มันหนักจนเล่นเอาหลังโก่งไปหมดแล้ว
เห็นได้ชัดว่ามันเป็นผลกระทบจากดินพิเศษ แต่ตอนนี้ทุกคนต่างคิดว่ามันเป็นฝีมือตน
ดังนั้นหลี่ไข่เลยแค่อยากลองวิธีนี้ดู
ตราบใดที่น้องฉินเซ็นชื่อตนก็สามารถเพิ่มชื่อน้องฉินให้มาเป็นผู้เข้าร่วมการทดลองได้
เมื่อถึงเวลานั้นน้องฉินก็ทำอะไรไม่ได้แล้วใช่มั้ยล่ะ
น้องฉินน่ะมีคุณสมบัติมากพอที่จะช่วยแชร์น้ำหนักส่วนใหญ่ของหม้อใบนี้ถูกมั้ย
ท้ายที่สุดแล้วเมื่อน้องฉินเซ็นเอกสารนี่ โลกภายนอกก็จะรู้ถึงความสามารถของเจ้าตัวในด้านการวิจัยพันธุ์พืช
แต่ตอนนี้เมื่ออุบายไม่สำเร็จก็เล่นเอาลกแล้วจริง ๆ
ฉินหลินถามแทน “ว่าแต่พี่หลี่ ข้าวพันธุ์ใหม่นั่นเป็นไงมั่งแล้ว”
หลี่ไข่ถอนหายใจ “เฮ่อ ~ ข้าวน่ะดีมาก มันโตเต็มที่แล้ว แล้วตอนนี้เราก็กะรอเก็บเมล็ดพันธุ์อยู่ หลังจากนั้นก็จะใช้เทคโนโลยียีนที่อุณหภูมิต่ำมาดัดแปลงเพื่อให้มันปลูกหน้าหนาวได้”
“ขอดูหน่อยสิ !” ฉินหลินพูดด้วยดวงตาที่สดใส
เขาค่อนข้างตั้งตารอข้าวกลายพันธุ์จากเกมนี้
ตามที่บอกไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าข้าวกลายพันธุ์นี้อาจเติมเต็ม ‘ฝันหนึ่งคือได้นั่งตากลมเย็นใต้ต้นข้าว’ ได้
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังได้แปรรูปเมล็ดพันธุ์จนทำให้ผลผลิตของข้าวกลายพันธุ์นี้ x2 อีก
“ไปก็ได้ !” หลี่ไข่พูดอย่างอ่อนแรง
ในเมื่อวิธีนี้ใช้ไม่ได้ผลแล้วเขาก็คิดวิธีแบ่งน้ำหนักหม้อใบนี้ไม่ออกแล้วจริง ๆ
เมื่อก่อนเขาเคยเห็นอะไรแบบนี้ในทีวีและคิดว่าตัวเองเจอทางรอดจนรู้สึกตื่นเต้นไปกับมันแล้วแท้ ๆ เชียว
แต่ไอ้ผู้จัดละครนั่นมันคงไม่มีสมองถึงได้ถ่ายทำอะไรที่ไม่สมจริงแบบนั้นออกมาได้
ทั้งคู่ออกจากคฤหาสน์ตรงไปที่ห้องทดลองชิงหลิน หลังจากผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยหลายรอบสุดท้ายก็ไปถูกแปลงทดลองที่มีการควบคุมอุณหภูมิ
และนี่ก็คือแปลงที่ใช้ปลูกข้าวกลายพันธุ์นั่นเอง
หลังจากที่ค้นพบข้าวกลายพันธุ์ ข้าวในบริเวณนี้ก็ถูกถอนออกทั้งหมด
เนื่องจากกลัวว่าละอองเกสรจากข้าวพันธุ์อื่นจะเข้ามาปนจนเกิดเรื่องจึงได้ไม่ปลูกข้าวพันธุ์อื่นไว้เลย
อาจกล่าวได้ว่าต้นข้าวกลายพันธุ์นี้ได้ยืนต้นอยู่เพียงลำพังในแปลงนี้เลยก็ว่าได้ ซึ่งมันทำให้ข้าวต้นนี้มีความโดดเด่นเป็นพิเศษด้วย
ฉินหลินเดินตามหลี่ไข่เข้าไปข้างในแปลงและเห็นต้นข้าวกลายพันธุ์ที่โดดเด่นเป็นสง่าแต่ไกล
สิ่งแรกที่จะทำให้ ‘ฝันหนึ่งคือได้นั่งตากลมเย็นใต้ต้นข้าว’ เป็นจริงก็คือต้นข้าวต้องสูงพอ ๆ กับต้นข้าวฟ่าง
วินาทีแรกที่ฉินหลินเห็นว่าข้าวกลายพันธุ์ที่โตเต็มที่เขาก็กะ ๆ ดูและพบว่ามันใหญ่กว่าต้นข้าวฟ่าง แถมยังดูแล้วน่าจะสูงกว่าด้วย ทำให้มันเป็นเหมือนกับไม้ยืนต้นขนาดเล็กเลยทีเดียว
แม้ว่าทั้งแปลงจะมีมันยืนต้นอยู่เพียงต้นเดียวเท่านั้นก็ตาม แต่ก็ยังคงเป็นภาพที่งดงามมากอยู่ดี
เขาสามารถจินตนาการออกเลยว่าถ้าปลูกข้าวกลายพันธุ์นี้บนพื้นที่ขนาดใหญ่ล่ะก็มันจะกลายเป็นป่าไปแน่ ๆ
ฉินหลินรีบเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ และเห็นว่าเมล็ดข้าวที่อัดแน่นกันอยู่ในรวงข้าวนั้นหนักมากจนต้นโง้งลง
ยิ่งไปกว่านั้นเมล็ดข้าวแต่ละเมล็ดไม่ใช่แค่ใหญ่เท่าถั่วลิสงแล้ว นี่มันใหญ่กว่าถั่วลิสงไปแล้วด้วยซ้ำ
สิ่งสำคัญคือผลลัพธ์ที่ได้นั้นน่าทึ่งมาก
ต้นข้าวที่สูงเท่ากับต้นไม้มีการออกรวงเยอะ และแต่ละรวงก็หนักมาก ไม่รู้ว่าข้าวต้นเดียวนี้สามารถให้ผลผลิตที่กินได้ขนาดไหน
“พี่หลี่ ข้าวนี่จะมีผลกระทบกับความอุดมสมบูรณ์ของดินมากมั้ย ?” ตอนนี้ฉินหลินมีความรู้เรื่องพืชมากมายแล้วโดยการอาศัยหนังสือแผ่นหินลึกลับ
เขาได้รู้ว่าภายใต้สถานการณ์ปกติ พืชที่เติบโตผิดปกติเช่นนี้หากปลูกในระยะยาวจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อความอุดมสมบูรณ์ของดินอย่างแน่นอน
หลี่ไข่รีบตอบด้วยน้ำเสียงสนใจอย่างยิ่ง “กะลังจะเล่าให้ฟังพอดีเลย ข้าวพันธุ์ใหม่นี่มันโคตรมหัศจรรย์เลยน้องฉิน เพราะถึงการปลูกข้าวนี้จะส่งผลกระทบต่อความอุดมสมบูรณ์ของดินมากกว่าข้าวธรรมดาก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดควบคุมไม่ได้นะ”
“ฉันได้ให้คนค้นคว้าปุ๋ยเคมีชนิดพิเศษไว้ก่อนแล้วเพราะงั้นควบคุมได้หมดแน่นอน ส่วนเรื่องราคาปุ๋ยชนิดพิเศษนี่ก็สูงกว่าปุ๋ยธรรมดาอยู่หรอก แต่ถ้าแลกกับผลผลิตขนาดนี้กับต้นทุนปุ๋ยที่ไม่ได้ใช้เยอะแล้วก็ไม่ได้ถือว่าหนักหนาอะไรเลย”
“โอเค !” ฉินหลินเข้าใจแล้วว่าถ้าพี่หลี่พูดแบบนี้ก็คงไม่มีปัญหา
คุณต้องรู้ด้วยว่าห้องทดลองชิงหลินไม่เพียงแต่จะมีนักวิจัยที่โดดเด่นทุกประเภทมากขึ้นเรื่อย ๆ เท่านั้น แต่ยังรับสมัครนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาที่มีศักยภาพจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงต่าง ๆ ทุกปีด้วย
เนื่องจากการขยายพันธุ์ไม่ก่อปัญหา ดังนั้นเจ้านี่จึงดีมากหากจะให้การส่งเสริมการปลูกในวงกว้าง
หากพื้นที่ชนบทส่วนใหญ่ของประเทศได้รับการสนับสนุนให้มีการเพาะปลูกมันประกอบกับเพิ่มเทคโนโลยียีนที่อุณหภูมิต่ำจนสามารถปลูกได้ตลอดทั้งปีด้วยแล้วล่ะก็ เกรงว่าประเทศนี้แค่ประเทศเดียวก็สามารถเลี้ยงปากเลี้ยงท้องคนทั้งโลกได้
“ช่วยลงไปเด็ดเม็ดข้าวมาให้หน่อยสิพี่หลี่ พอดีวันนี้ผมขี้เกียจเปื้อนโคลนน่ะ” จู่ ๆ ฉินหลินก็พูดเหมือนไอ้หนุ่มสำรวยขึ้นมา
หลี่ไข่ไม่ได้คิดอะไรมาก ถอดรองเท้าและลงนาไปทันที ขณะที่ก้าวลงนาไปก็ไม่ลืมที่จะจะเทศนา “นี่น้องฉิน นายกลายเป็นไอ้หนุ่มสำรวยแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน นักวิจัยพันธุ์พืชอย่างเราไม่ควรกลัวเปื้อนหรอกนะ…”
ปากก็พูดไป มือก็เด็ดเมล็ดข้าวไป พอได้กำหนึ่งแล้วก็หันหน้ามาดูฉินหลิน แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าฉินหลินถือมือถือถ่ายมาทางตัวเองอยู่ซะงั้น !
เขารู้สึกว่าเหมือนมันแหม่ง ๆ ยังไงไม่รู้บอกไม่ถูก
ฉินหลินเก็บมือถือทันทีและเร่งเร้า “พี่หลี่ ~ รีบเอาเม็ดข้าวมาให้ดูหน่อย ~”
หลี่ไข่พยักหน้าและขึ้นจากนา จากนั้นก็เอามือถู ๆ กันเพื่อแกะเอาเปลือกข้าวออกเพื่อเผยให้เห็นเม็ดข้าวสารสีขาวราวกับคริสตัลที่อยู่ข้างใน
จากที่เห็นคือเม็ดข้าวนั้นใหญ่กว่าถั่วลิสงจริง ๆ ด้วย
ถ้าไม่รู้ล่วงหน้าว่านี่คือข้าวล่ะก็ใครจะกล้าคิดว่ามันคือข้าวกัน !
ฉินหลินคิดอะไรนิดหน่อยแล้วหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายอีกรอบ
“อะ น้องฉิน” จู่ ๆ หลี่ไข่ก็พูดอีกครั้ง
ฉินหลินพยักหน้าแล้วเอาเม็ดข้าวสารเหล่านั้นเข้าปากกินดู
ช่วงเวลาต่อมา ดวงตาของเขาก็สว่างขึ้นเล็กน้อย
รสชาติของข้าวกลายพันธุ์นี้เหมือนกับที่เก็บเกี่ยวในเกมเลย มันหวานกว่าข้าวธรรมดาจริง ๆ
ก่อนหน้านี้เขากลัวว่าถ้าข้าวกลายพันธุ์ที่เก็บเกี่ยวมาได้รสชาติไม่ดีหลังหุงแล้วก็จะไม่มีใครกลับไปกินอีก แล้วสิ่งที่ทำมาทั้งหมดก็จะไร้ความหมาย
ท้ายที่สุดแล้วสังคมปัจจุบันไม่มีใครขาดแคลนอาหารกับเสื้อผ้าแล้ว
ในจุดนี้คนบ้านเรามีความสุขที่สุดแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงเลี้ยงคนมากมายขนาดนี้ไม่ไหว
ดังนั้นถ้าหากด้วยผลผลิตที่แย่แต่รสชาติอร่อย นั่นก็จะเป็นอะไรที่ไม่เหมือนเดิม
ก็เหมือนผู้หญิงที่มีรูปร่างดีแต่หน้าน่าเกลียดมาก แบบที่ทำศัลยกรรมไม่ได้แล้ว แล้วแบบนั้นมันจะไปมีประโยชน์อะไร ?
ยกเว้นผู้ที่ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องแบกรับมันโดยคลุมหัวไว้
ถ้าข้าวกลายพันธุ์ไม่อร่อยก็มีแต่คนมีกินไม่พอเท่านั้นที่จะยอมกิน และในประเทศนี้ก็ไม่มีคนที่มีไม่พอกินซะด้วยสิ
แต่ถ้าผู้หญิงคนดังกล่าวนี้นอกจากหุ่นดีแล้วก็ยังหน้าตาสวยด้วยล่ะก็มันจะต่างไปเลย เพราะเธอแค่นอนชั่วโมงเดียวก็สามารถหาเงินได้มากกว่าคนอื่น ๆ ที่ตรากตรำทำงานหนักวันละ 10 ชั่วโมงด้วยซ้ำ
ข้าวกลายพันธุ์ตอนนี้ก็เป็นเช่นนี้ มันทั้งให้ผลผลิตสูงและมีรสหวานเหมือนหญิงงามที่ไม่มีใครเทียบได้
ฉินหลินคิดไปแบบนั้นและการละครแกล้วทำเป็นแปลกใจทันที “สุดยอดเลยพี่หลี่ ข้าวกลายพันธุ์ที่พี่เจออร่อยมากจริง ๆ เมื่อไหร่ที่ข้าวนี้ได้รับการขยายพันธุ์อย่างเต็มที่ล่ะก็ทั้งโลกจะต้องตกใจแน่ ๆ”
“…” หลี่ไข่รู้สึกเศร้าใจทันที
นี่คือสิ่งที่เขากลัวที่สุดแล้ว
เขารู้สึกว่าคุณธรรมของตนไม่คู่ควรกับตำแหน่งของตนเลย แม้ว่าตนจะเป็นแพะรับบาปก็เถอะ แต่ก็ต้องมีขีดจำกัดว่าคน ๆ หนึ่งจะสามารถแบกรับได้มากน้อยแค่ไหน ใช่มั้ยล่ะ ? มันไม่สามารถเพิ่มหม้อที่แบกไว้บนหลังได้ไม่จำกัดอยู่แล้ว
ดังนั้นเขาจึงรีบบอกว่า “น้องฉินก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าทั้งหมดมันเป็นเพราะดินพิเศษ สิ่งที่ฉันทำมากที่สุดก็แค่ดูแลมันเท่านั้นเอง เพราะงั้นดังนั้นลองดูหน่อยเถอะว่านายจะทำได้มั้ย...”
ฉินหลินรู้ว่าหลี่ไข่กำลังจะทำอะไรตั้งแต่อีกฝ่ายอ้าปากเลยรีบขัดจังหวะทันที “ขอโทษด้วยนะพี่หลี่ พอดีนึกได้ว่ามีธุระเพราะงั้นผมต้องขอตัวก่อน !”
พูดจบก็เดินหนีไปเลยโดยไม่ให้โอกาสหลี่ไข่ตอบสนอง ขณะที่เดิน ๆ อยู่ก็ไม่ลืมหยิบมือถือออกมาโทรหาหลินหลานจื่อ “คุณหลิน อืม เด๋วผมไปหา... อืม ศาสตราจารย์หลี่ไข่ประสบความสำเร็จในการวิจัยมีข้าวพันธุ์ใหม่อีกแล้ว... ผมถ่ายคลิปไว้แล้วเด๋วเอาไปให้ คุณก็ใช้ช่องบ้านไร่ออฟฟิเชียลเผยแพร่ให้หน่อย...”
“...” ดวงตาของหลี่ไข่แทบถลนเมื่อเมื่อได้ยินเสียงของฉินหลินเบา ๆ แต่ไกล
ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าทำไมน้องฉินถึงอยากถ่ายตัวเอง
เชี่ยไรวะเนี่ย...
เขารู้สึกว่าหลังมันช่างเจ็บเหลือเกิน
มันเจ็บอย่างอธิบายไม่ถูกจริง ๆ
ในท้ายที่สุดแล้วหลี่ไข่ก็ทำได้เพียงมองดูต้นข้าวกลายพันธุ์อย่างช่วยไม่ได้และสบถใส่มัน “ทำไมเอ็งต้องดื้อขนาดนี้ด้วยว้า ก็เห็น ๆ อยู่ว่าข้าให้ปุ๋ยเอ็งแค่นิดเดียวแท้ ๆ แถมยังไม่ค่อยให้น้ำด้วย เอ็งก็ไม่ควรจะโตได้ขนาดนี้ไม่ใช่รึไง ข้าล่ะไม่เคยเห็นอะไรที่ดื้อขนาดนี้มาก่อนเลย เออ ไม่เคยเห็นอะไรที่ดื้อเท่าเอ็งเลยก่อนเลยโว้ยไอ้บ้าเอ๊ย !”
หลี่ไข่บ่นเสร็จก็รู้สึกสบายใจขึ้น แต่พอหันกลับมาก็ต้องเขิน เพราะมีนักวิจัยเดินมาจากนอกแปลง 3 คนและกำลังมองเขาด้วยท่าทางเขิน ๆ เหมือนกัน
เห็นได้ชัดว่าได้ยินที่เขาบ่นใส่ต้นข้าว
“เอ่อ...” หลี่ไข่รู้สึกขายขี้หน้าอย่างยิ่ง
“เอ่อคือ... ศาสตราจารย์หลี่ พอดีผมพึ่งมาถึงและไม่ได้ยินอะไรเลยครับ” นักวิจัยคนหนึ่งบอกทันทีและรีบออกไปหลังจากจบประโยค
“เอ่อ... ผมนึกได้ว่ามีธุระพอดีเลย” นักวิจัยอีกคนก็จากไปทันที
“เอ่อ... ขอโทษที่รบกวนครับศาสตราจารย์หลี่” นักวิจัยคนที่สามไม่รู้ว่าจะพูดอะไรเลยขอโทษและรีบตามไป
ฉันล้อเล่นรึไง ถ้าไม่รู้จักทำตัวให้โง่เข้าไว้เมื่อเห็นศาสตราจารย์หลี่ทำตัวไม่สุภาพล่ะก็ เกรงว่าตำแหน่งนักวิจัยก็ไม่ต้องเป็นมันแล้วล่ะ
แต่พวกเขาก็สามารถเข้าใจได้เช่นกันว่าท้ายที่สุดแล้วการเติบโตของต้นข้าวสายพันธุ์ใหม่นั้นโหดมาก ผลผลิตก็โหดมาก และรสชาติก็ดีกว่าข้าวธรรมดามากด้วย
พวกเขาทุกคนสามารถจินตนาการได้เลยว่าเมื่อสิ่งนี้เผยแพร่ออกไปแล้วมันจะน่าตื่นเต้นขนาดไหน
แต่... ไม่รู้ว่าทำไมศาสตราจารย์หลี่ถึงอยากให้ข้าวมันแย่ลง หรือบางทีศาสตราจารย์หลี่อาจตื่นเต้นเกินไปจนต้องโกหกออกมา
เช่นเดียวกับเวลาทำข้อสอบ คนที่ได้คะแนนเต็มก็มักจะบอกว่าจริง ๆ แล้วไม่ได้อยากได้คะแนนเต็มเลย เพราะที่ผ่าน ๆ มาก็ได้คะแนนเต็มบ่อยจนเบื่อแล้วอะไรเทือกนั้น
“...” หลี่ไข่มองแผ่นหลังของนักวิจัยทั้งสามคนที่วิ่งหนีด้วยปากที่อ้าค้าง ใจก็อยากจะอธิบายอะไรบางอย่างออกมาแต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอธิบายยังไง