บทที่ 35 คำเชิญ
บทที่ 35 คำเชิญ
เฉินหยางมองชายทั้งแปดที่ลงมาจากรถสปอร์ต หนึ่งในนั้นเป็นชายร่างเตี้ยอ้วน ใส่แว่นกันแดด แม้จะทำท่าทางดุดัน แต่กลับดูตลกขบขัน
จากตำแหน่งการยืนของพวกเขา เฉินหยางรู้ได้ทันทีว่าชายอ้วนคนนี้น่าจะเป็นหัวหน้าของกลุ่ม หรือก็คือพี่เหรินที่หลี่หยาตงพูดถึง
สุดท้าย สายตาของเฉินหยางก็ตกอยู่ที่หลี่หยาตง เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชมความบ้าบิ่นของชายคนนี้ ข้อมือและนิ้วมือขวาของเขาหักหมดแล้ว แต่เขาไม่ไปโรงพยาบาล กลับพาคนมาล้างแค้นก่อน ช่างเป็นคนที่แปลกประหลาดจริง ๆ
เมื่อมีคนหนุนหลัง หลี่หยาตงก็กลับมามีความโอหังอีกครั้ง เขาวิ่งเข้าไปในร้านอาหารเช้า แล้วตะโกนไล่ลูกค้าคนอื่น ๆ ว่า “ไม่มีเรื่องก็รีบไปซะ ถ้าโดนลูกหลงขึ้นมาจะโทษว่าฉันไม่เตือนนะ”
ลูกค้าคนอื่นเห็นกลุ่มคนที่มากันอย่างใหญ่โตและขับรถหรู ก็รู้ทันทีว่าพวกนี้ต้องเป็นคนมีเงิน จึงไม่มีใครกล้าหาเรื่อง พวกเขารีบวิ่งออกจากร้านทันที แต่ก็ยังยืนมองอยู่ตรงหน้าประตู
ตอนนี้ในร้านอาหารเช้ามีเพียงเจ้าของร้านที่หลบอยู่ในครัว และเฉินหยางกับหยางเสวี่ยเวย
“ไอ้หนุ่ม! แกกล้าหักนิ้วฉัน วันนี้ฉันจะหักแขนขาแกให้หมด!” หลี่หยาตงพูดด้วยท่าทางกร่าง แต่กลับยืนอยู่
ห่าง ๆ ไม่กล้าเข้าใกล้
หยางเสวี่ยเวยเห็นอีกฝ่ายมีคนเยอะกว่า จึงพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วงว่า “หลี่หยาตง! พวกนายคนเยอะรังแกคนเดียวนี่มันไม่ยุติธรรมเลย ถ้านายเคยฝึกมวยมาก็มาเดี่ยวกับเฉินหยางสิ”
“เดี่ยว? ฮ่ะ! คิดว่าฉันโง่หรือไง” หลี่หยาตงหัวเราะเยาะก่อนจะหันไปเรียก “พี่เหริน! ถึงตาพี่ลงมือแล้วครับ!”
เมื่อร้านอาหารเช้าเคลียร์พื้นที่เรียบร้อย พี่เหรินและคนอื่น ๆ เดินเข้ามาในร้าน เขามองเฉินหยางแล้วพูดว่า “นี่เหรอที่ทำร้ายหยาตง… เอ๊ะ?”
ทันใดนั้น พี่เหรินส่งเสียงอุทานด้วยความตกใจ ใบหน้าแสดงความประหลาดใจ ก่อนจะถอดแว่นกันแดดออก เขามองเฉินหยางด้วยสายตาตื่นเต้นและพูดว่า “อ๊ะ! คุณคือเทพรถแห่งเขาเกาเลี่ยว!”
“นายเป็นใคร?” เฉินหยางขมวดคิ้ว เขาไม่คาดคิดว่าพี่เหรินจะรู้จักตัวเอง แต่ชื่อ “เทพรถแห่งเขาเกาเลี่ยว” นั้นเป็นแค่ชื่อที่เขาคิดเล่น ๆ ตอนแข่งรถ ไม่คิดว่าจะมีคนจำได้
พี่เหรินรีบก้าวเข้ามาหา เขาก้มตัวพร้อมยื่นมือทั้งสองออกไป “เทพรถ สวัสดีครับ ผมเพิ่งดูคุณขับรถเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมชื่นชมคุณมานานแล้ว ไม่คิดว่าจะได้เจอคุณที่นี่ นับว่าเป็นเกียรติจริง ๆ ผมชื่อเหรินเสี่ยวเจี้ยน ฝากตัวด้วยครับ”
เมื่อเห็นว่าเฉินหยางไม่ได้ตั้งใจจะจับมือด้วย พี่เหรินก็หยิบการ์ดนามบัตรออกมาวางไว้บนโต๊ะอาหาร
เฉินหยางเหลือบมองนามบัตร บนนั้นเขียนว่า “ผู้จัดการใหญ่โรงเรียนมวยเจี้ยนอู่ เหรินเสี่ยวเจี้ยน” ตัวหนังสือพิมพ์อย่างประณีต ดูหรูหราไม่น้อย
แต่เขาก็ไม่ได้หยิบการ์ดขึ้นมา เขาเพียงหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดว่า “ฮึ! เหรินเสี่ยวเจี้ยน ชื่อนายช่างน่าสนใจจริง ๆ”
“ปู่ผมตั้งให้ครับ เปลี่ยนไม่ได้” พี่เหรินเกาหัวแล้วยิ้มอย่างเขินอาย ไขมันบนใบหน้าของเขาย่นจนดูเหมือนพระสังกัจจายน์
เขามองเฉินหยางด้วยสายตาชื่นชมและพูดว่า “เทพรถ คุณไม่รู้หรอกว่าหลังจากคืนนั้น คุณกลายเป็นตำนานในวงการแข่งรถของเมืองต้าหยี่ แต่ไม่มีใครรู้ตัวตนที่แท้จริงของคุณ แต่เดิมทุกคนตั้งใจจะถามจากเนี่ยอีเฉิน แต่หลังจากที่เธอไม่มาร่วมงานสองครั้ง คุณก็กลายเป็นบุคคลลึกลับไปทันที”
“ไม่นึกเลยว่าเราจะได้เจอกันที่นี่ นี่มันคงเป็นพรหมลิขิต! เทพรถ ผมต้องบอกเลยว่าผมชื่นชมคุณจนไม่รู้จะบรรยายยังไง เหมือนกับน้ำในแม่น้ำแยงซีที่ไหลไม่หยุด หรือแม่น้ำเหลืองที่ไหลทะลัก ผมอยากขอให้คุณรับผมเป็นศิษย์ และสอนวิชาขับรถให้ผมครับ”
ทุกคนคิดว่าเฉินหยางจะโดนซ้อม แต่สถานการณ์กลับพลิกผันอย่างน่าตกใจ คนที่หลี่หยาตงพามากลับขอฝากตัวเป็นศิษย์ของเขา ช่างเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ
หยางเสวี่ยเวยที่กำลังกังวลถึงกับถอนหายใจโล่งอก แต่ในใจก็เกิดความสงสัยว่าเมื่อไหร่เฉินหยางถึงได้กลายเป็น “เทพรถ” และดูเหมือนจะเป็นคนที่เก่งกาจถึงขั้นเป็นตำนาน
อีกด้านหนึ่ง สีหน้าของหลี่หยาตงกลับซีดเผือด เขากลัวจนขาแทบสั่น ถ้าพี่เหรินหันไปเข้าข้างเฉินหยาง เขาก็จบสิ้นแน่
เฉินหยางเห็นว่าเหรินเสี่ยวเจี้ยนต้องการฝากตัวเป็นศิษย์ เขาเหลือบมองหลี่หยาตงแล้วส่ายหน้า “ฉันไม่รับศิษย์ และคนแบบนาย ฉันก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วย”
เมื่อได้ยินดังนั้น หลี่หยาตงรีบพูดขึ้นทันที “พี่เหริน เห็นไหมล่ะ เจ้าเด็กนี่ไม่ให้เกียรติพี่เลย กล้าปฏิเสธที่จะเป็นศิษย์พี่ จัดการมันเลย!”
“ก็เพราะนายหรอก ถ้าไม่มีนาย เทพรถคงไม่ดูถูกฉันแบบนี้” เหรินเสี่ยวเจี้ยนเห็นได้ชัดว่าไม่ได้สนิทกับ
หลี่หยาตง เขาหันไปพูดกับหลี่หยาตงด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เฉินหยางแอบหัวเราะเยาะเหรินเสี่ยวเจี้ยน ก่อนจะลุกขึ้นแล้วจับมือหยางเสวี่ยเวยพูดว่า “เราไปกันเถอะ”
พูดจบ เขาเดินออกจากร้านอาหารโดยไม่สนใจเหรินเสี่ยวเจี้ยนและพวกที่เหลือ
เมื่อเห็นเฉินหยางเดินจากไปโดยไม่หันกลับมา เหรินเสี่ยวเจี้ยนเหมือนเพิ่งส่งเทพแห่งความตายจากไป เขาถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก พร้อมกับใช้มือเช็ดเหงื่อบนหน้าผากซึ่งเปียกชุ่มไปหมด
“หลี่หยาตง อย่าคิดไปล้างแค้นเขา ไม่อย่างนั้นนายจะเสียใจ” เหรินเสี่ยวเจี้ยนไม่ได้ด่าว่าหลี่หยาตง แต่กลับเตือนเขาด้วยน้ำเสียงจริงจัง ก่อนจะหันไปเรียกคนข้างหลัง “อาจวง นายพาหลี่หยาตงไปโรงพยาบาลก่อน ฝีมือของคนคนนี้แปลกมาก ถ้าไม่จัดการให้ถูกต้อง มือขวาของเขาอาจจะใช้งานไม่ได้อีกเลย”
เมื่อได้ยินดังนั้น หลี่หยาตงถึงกับหน้าซีดเผือด เขารู้ดีว่าแม้เหรินเสี่ยวเจี้ยนจะดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือ แต่สิ่งที่เขาพูดมักจะถูกเสมอ จนทำให้ใคร ๆ ต้องเชื่อ
อาจวงพาหลี่หยาตงออกไป เหรินเสี่ยวเจี้ยนเองก็กลับขึ้นรถ R8 ของเขา แต่เขาไม่ได้สตาร์ทรถ เขานั่งอยู่ที่เบาะคนขับด้วยสีหน้าครุ่นคิดลึกซึ้ง
เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง เหรินเสี่ยวเจี้ยนสะดุ้งขึ้นมาเหมือนเพิ่งรู้สึกตัว หยดน้ำหนึ่งตกลงบนพื้นรถ เมื่อหันกลับไปดู เขาพบว่าแผ่นหลังของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ แม้แต่เบาะรถก็เปียกเช่นกัน
เขากลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ก่อนจะพูดพึมพำด้วยสายตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความเฉียบแหลม “คนเก่งแบบนี้โผล่มาที่เมืองต้าหยี่ ดูท่าว่าเมืองนี้คงจะไม่สงบอีกต่อไปแล้ว”
เหรินเสี่ยวเจี้ยนสูดลมหายใจลึกก่อนจะสตาร์ทรถ แล้วขับออกไปอย่างไร้จุดหมาย
แต่ในระหว่างที่เขานั่งครุ่นคิดก่อนหน้านี้ เขาได้ตัดสินใจบางอย่างที่สำคัญ และการตัดสินใจนี้ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาไปตลอดกาล
หลังจากออกจากร้านอาหารเช้า เฉินหยางแอบส่งข้อความว่า “โรงเรียนมวยเจี้ยนอู่ เหรินเสี่ยวเจี้ยน ขอข้อมูลทั้งหมด”
ส่งข้อความเสร็จ เขาก็ขี่จักรยานไปส่งหยางเสวี่ยเวยกลับที่มหาวิทยาลัยต้าหยี่ จากนั้นเขาถึงได้รู้ว่าหยางเสวี่ยเวยไม่ใช่คนในพื้นที่ เธอพักอยู่ที่หอพักของมหาวิทยาลัย
เมื่อมาถึงใต้ตึกของหอพัก หยางเสวี่ยเวยลงจากจักรยานพร้อมกับพูดด้วยสีหน้ารู้สึกผิดว่า “เฉินหยาง ขอโทษนะ เมื่อวานฉันตั้งใจดีแต่กลายเป็นเรื่องแย่ วันนี้ก็ทำให้นายเดือดร้อนอีก”
“ถ้าอย่างนั้น อาจารย์หยางจูบผมสักครั้งเป็นการขอโทษสิ” เฉินหยางพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
หยางเสวี่ยเวยหน้าแดงจัด เธอเหลือบมองเฉินหยางที่ทำหน้าจริงจัง ก่อนจะกัดฟันแล้วเขย่งปลายเท้าขึ้น จูบเบา ๆ ที่แก้มของเฉินหยางเหมือนผีเสื้อแตะน้ำ แล้วก้มหน้าลงอย่างเขินอายเหมือนเด็กสาว
เฉินหยางที่แค่พูดเล่นกลับอึ้งไป เขาไม่คิดว่าหยางเสวี่ยเวยจะจูบเขาจริง ๆ
เขาแตะที่แก้มตัวเองที่ยังรู้สึกชื้นนิด ๆ แล้วอารมณ์ดีขึ้นทันที เขาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “อาจารย์หยาง คุณอยู่ที่หอคนเดียวมันเหงาเกินไปไหม ทำไมไม่ย้ายมาอยู่บ้านผมล่ะ”