บทที่ 24 คืนสู่ตระกูล
“ดี! นึกไม่ถึงว่าจะมีอีกคนและยังเป็นสายเลือดของตระกูลหลี่เรา!”
เสียงอ่อนโยนของหลี่ทงหยาดังขึ้นบนเวทีทำให้เย่เฉิงฝูถึงกับสะดุ้งเฮือกจากพื้นลุกขึ้นอย่างกระตือรือร้น เขามองไปยังเย่ชิวหยางที่ดูเขินอายอยู่บนเวทีด้วยความปลื้มปิติจนแทบจะหัวเราะออกมาดังๆสามครั้ง
“ในเมื่อเจ้ามีแซ่เย่ บิดาของเจ้าเป็นใครหรือ?”
หลี่ทงหยาเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“เย่…เย่เฉิงฝู”
เย่ชิวหยางมองไปยังบิดาของตนที่อยู่ด้านล่างเวทีซึ่งกำลังตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะตอบกลับอย่างประหม่า
“ยินดีด้วยท่านเฉิงฝู”
หลี่ทงหยามองตามสายตาของเด็กน้อยลงไปด้านล่างก่อนจะยิ้มและกล่าวทักทาย
“ขอบคุณท่านเซียนผู้เมตตา!”
เย่เฉิงฝูไม่กล้าทำตัวหยิ่งผยอง เขารีบกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ แต่มุมปากก็ไม่อาจซ่อนความยินดีได้ เขาประสานมือคำนับด้วยความเคารพอย่างที่สุด
หลี่ทงหยาส่ายศีรษะเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้มและทดสอบคนที่เหลืออีกไม่กี่คนก่อนจะกล่าวเสียงดังว่า “ส่วนคนที่เหลือก็คงไม่มีวาสนาแล้ว ขอให้หัวหน้าหมู่บ้านอยู่ต่อส่วนที่เหลือกลับหมู่บ้านกันได้”
เสียงถอนหายใจด้วยความเสียดายดังขึ้นจากฝูงชนด้านล่าง การพูดคุยกันดังสนั่นเป็นเวลาหนึ่งถ้วยชาก่อนที่แต่ละคนจะแยกย้ายกลับไปยังทิศทางของตน
หลี่เย่เซินที่อยู่ข้างหลี่ทงหยาก้าวออกมาและกล่าวว่า
“หัวหน้าทั้งสาม ท่านจงตามข้าไปที่จวนหลี่เพื่อตรวจสอบเอกสารที่ดินและบัญชี”
เฉินเอ้อร์หนิวและอีกสองคนตอบรับพร้อมเพรียงและเดินตามหลี่เย่เซินไป
หลี่ทงหยาก้าวลงจากเวทีมองเย่เฉิงฝูที่ดูตื่นเต้นจนกลั้นน้ำตาไม่อยู่และผู้อาวุโสตระกูลหลิวแห่งหมู่บ้านจิ้งหยางก่อนจะกล่าวเบาๆว่า
“เชิญพวกท่านตามข้ามา”
เย่เฉิงฝูรีบพยักหน้าและขณะเดินไปเขาก็กอดบุตรชายของตนแน่น น้ำตาไหลพราก พร่ำบอกด้วยเสียงสั่นเครือว่า
“ดี ดีจริง ๆ”
———
เย่เฉิงฝูและเย่ชิวหยางจุดธูปที่ศาลบรรพบุรุษคุกเข่ากราบลงอย่างเคารพท่ามกลางสายตาของคนตระกูลหลี่และได้คืนสู่ตระกูลหลี่อย่างเป็นทางการ
“ท่านหัวหน้าตระกูล!”
หลี่มู่เถียนซึ่งเป็นสายตรงที่อาวุโสที่สุดของตระกูลหลี่นั่งอยู่บนเก้าอี้ในตำแหน่งสูงสุดในลานบ้าน เย่เฉิงฝูและเย่ชิวหยางจึงทำตามธรรมเนียมโดยชงชาให้และคุกเข่ารับฟังคำสอน
“ชิวหยางก็ถือว่าเป็นลูกหลานตระกูลหลี่เราในเมื่อเขามีประตูวิญญาณก็สมควรที่จะถ่ายทอดวิชาลงไป”
หลี่มู่เถียนหยิบแผ่นไม้เล็กๆชิ้นหนึ่งออกมาและกล่าวด้วยเสียงเบา
“ตระกูลขอมอง‘วิธีบำรุงวงล้อพลังแห่งความบริสุทธิ์’ ให้เจ้า เจ้าจงพยายามฝึกฝนเคารพกฎตระกูล อย่าได้เปิดเผยเคล็ดลับวิชาสู่ภายนอกเพื่อไม่ให้เกิดการแย่งชิง”
ขณะนี้เย่ชิวหยางได้โค้งตัวลงคำนับ ดวงตามุ่งมั่นและกล่าวว่า
“ข้าจะจดจำคำสอนของหัวหน้าตระกูลไว้”
“เจ้าจงไปกับเซี่ยงผิงที่ไร่วิญญาณในหมู่บ้านจิ้งหยาง ช่วงกลางวันให้ฝึกกับเขาอย่าได้ออกไปก่อนจะบรรลุวงล้อแห่งความล้ำลึก”
หลี่มู่เถียนพยักหน้าและจัดการเรื่องราว
“ขอรับ!”
เย่ชิวหยางลุกขึ้นรับแผ่นไม้นั้นไป แม้เขายังเป็นเพียงเด็กอายุแปดหรือเก้าขวบ แต่เสียงของเขาเริ่มสะอื้น เขาหันไปหาบิดาเย่เฉิงฝูและกล่าวด้วยน้ำเสียงสะเทือนใจว่า
“ท่านพ่อ เช่นนั้นข้าคงต้องไปฝึกวิชากับทางตระกูลแล้ว”
“ดี ดี! เรื่องในบ้านเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง พรุ่งนี้พ่อจะรีบจัดเสื้อผ้าและข้าวของไปส่งให้เจ้า เจ้าตั้งใจฝึกให้ดีเถิด…”
เย่เฉิงฝูพยักหน้าหลายครั้งพลางกำชับด้วยน้ำตาคลอ
“มาเถอะ ชิวหยาง”
หลี่เซี่ยงผิงยิ้มบางๆจูงมือเย่ชิวหยางพลางพยักหน้าให้หลี่มู่เถียนจากนั้นทั้งสองก็ออกจากลานบ้านไป
“เฉิงฝู เจ้าก็ไปจัดของเสียอีกไม่กี่วันก็ย้ายบ้านไปที่ท้ายหมู่บ้าน”
หลี่มู่เถียนไอเบาๆขณะขมวดคิ้วกล่าว
เย่เฉิงฝูรีบตอบรับมองหน้าคนทั้งสองก่อนจะรีบกล่าวลาและออกไป
เมื่อเย่เฉิงฝูออกไปไกลแล้ว หลี่มู่เถียนกล่าวด้วยเสียงหนักแน่นว่า
“เด็กสาวตระกูลหลิว เจ้าจงดูแลให้อยู่ในจิ้งหยางเสียก่อน หากวันหนึ่งนางบรรลุวงล้อแห่งความล้ำลึกก็ยังไม่ต้องถ่ายทอดวิชา”
“ท่านพ่อจัดการได้ดีนัก เด็กตระกูลหลิวในหมู่บ้านจิ้งหยางนี้ก็มอบหมายให้คนตระกูลหลี่ดูแล ส่วนผู้ฝึกเซียนตระกูลหลิวก็ให้ย้ายไปที่จวนหลี่จิ้งจะได้ไม่ขยายอิทธิพลจนใหญ่โตเกินไป”
หลี่ทงหยากล่าวด้วยความเคารพ
“ยังเร็วไปนัก”
หลี่มู่เถียนหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนจะจิบชาเบาๆและกล่าวต่อ
“เด็กเหล่านี้ไม่มีเครื่องมือช่วยไม่มีทรัพยากรฝึกเซียนหรือยาโอสถ การจะบรรลุวงล้อแห่งความล้ำลึกต้องใช้เวลาสักปีหนึ่งหรือไม่?”
“เกินกว่านั้นแน่นอน!”
หลี่ทงหยาส่ายศีรษะเล็กน้อยและอธิบายว่า
“ข้าได้อ่านเคล็ดวิชาวิธีบำรุงวงล้อพลังแห่งความบริสุทธิ์แล้ว การฝึกฝนวิชานี้อาจทำให้พลังที่ได้ไม่มีน้ำหนักและขาดความแข็งแกร่งอีกทั้งการหมุนเวียนพลังยังมีความซับซ้อนและสิ้นเปลือง การจะฝึกจนบรรลุวงล้อแห่งความล้ำลึกคงต้องใช้เวลากว่าสามปีเป็นอย่างน้อย”
“นั่นแหละใช่แล้ว ในเมื่อวิธีบำรุงวงล้อพลังแห่งความบริสุทธิ์นี้ไม่อาจให้ผลลัพธ์ที่ดีเทียบเท่าและยังช้ากว่าจึงไม่จำเป็นต้องระแวงมากนัก แต่ทุกเรื่องควรเผื่อทางไว้”
“ท่านพ่อกล่าวถูกแล้ว”
หลี่ทงหยาพยักหน้าวางถ้วยชาในมือลงเบาๆ เห็นหลี่มู่เถียนมองเหม่อไปยังที่ไกลด้วยสายตาครุ่นคิด หลี่ทงหยาจึงยิ้มขื่นประสานมือคำนับและขอตัวลา
หลี่มู่เถียนนั่งอยู่เพียงลำพังบนตำแหน่งสูงในลานบ้านเงียบสงบอยู่นานก่อนจะถอนหายใจเบาๆ
“ยังไม่เด็ดขาดพอ……”
———
สวี่เหวินซานรับหน้าที่ดูแลหมู่บ้านหลี่เต้าโข่วมานานกว่าสี่เดือน เขาได้จัดการส่งต่อหน้าที่ต่างๆให้กับลูกน้องเรียบร้อยแล้วและดูแลชาวบ้านจนอยู่ในความสงบเรียบร้อย
โดยพื้นฐานสวี่เหวินซานซึ่งเคยดูแลขบวนพ่อค้าอยู่แล้ว การบริหารหมู่บ้านเล็กๆเช่นนี้จึงไม่ใช่เรื่องยาก แม้ว่าหมู่บ้านหลี่เต้าโข่วจะมีความซับซ้อนจากการมีตระกูลต่างๆปะปนกัน แต่ก็ไม่มีข้อจำกัดจากตระกูลใหญ่ ทำให้สวี่เหวินซานสามารถควบคุมหมู่บ้านได้อย่างสมบูรณ์ภายในหนึ่งเดือน
แต่เมื่อเริ่มว่างงาน สวี่เหวินซานกลับครุ่นคิดหาวิธีสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ต่อหน้าตระกูลหลัก เพื่อเอาชนะเฉินเอ้อร์หนิวเขาคิดว่าการเพียงนั่งเก็บค่าเช่าและตรวจสอบบัญชีอยู่ในหมู่บ้านนั้นไม่เพียงพอสำหรับเขา
ขณะพลิกดูแผนที่ในมืออย่างเบื่อหน่าย สวี่เหวินซานกลับเหม่อลอยไป
เมื่อกล่าวถึงเฉินเอ้อร์หนิว หมู่บ้านสองแห่งนี้มีปัญหาเรื่องการแบ่งพื้นที่ทำการเกษตรและแหล่งน้ำกันอยู่เสมอ สวี่เหวินซานจึงยินดีที่จะสู้กับเขาและไม่ใช่เรื่องน่าแปลกที่ชาวบ้านหลี่เต้าโข่วมักพูดถึงหมู่บ้านหลี่ชวนโข่วของเฉินเอ้อร์หนิวด้วยความโกรธเคือง
“มีศัตรูย่อมช่วยให้คนมารวมตัวอยู่ข้างข้า สวี่เหวินซาน” เขาคิดอย่างภูมิใจ
อีกทั้งตอนที่เขาดูแลขบวนพ่อค้าเขาก็มักหลีกเลี่ยงการให้คนสนิทกันเกินไปและคอยสร้างความขัดแย้งเล็กๆน้อยๆเสมอ
สวี่เหวินซานไม่เชื่อเลยว่าตระกูลหลี่จะไม่มีสายลับอยู่ในหมู่บ้านเหล่านี้ ดังนั้นเขาจึงต้องการสู้กับเฉินเอ้อร์หนิวเพื่อให้ตระกูลหลักรู้สึกพึงพอใจ
“ข้าชนะเฉินเอ้อร์หนิวมากเกินไปแล้ว”
เขาพึมพำกับตนเองก่อนจะหันมาสนใจแผนที่ที่วางอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง สายตาของเขาจับจ้องไปยังเส้นทางโบราณหลี่เต้าโข่วและจู่ๆความคิดก็ผุดขึ้นมาในใจ
“ทำไมข้าไม่กลับไปทำสิ่งที่เคยทำมาก่อนล่ะ?”
เขาตบต้นขาของตนด้วยความตื่นเต้นพลางคิดว่า
“หมู่บ้านทั้งหลายติดอยู่ในเส้นทางโบราณนี้ สินค้าไม่อาจไหลเวียนได้ แต่ละครอบครัวต้องทำเกษตรกรรมและทอผ้าใช้เอง ข้าสวี่เหวินซานที่เคยเดินทางในเส้นทางนี้มานานกว่ายี่สิบปีจะทำในเส้นทางนี้ไม่ได้เชียวหรือ?”
“ตระกูลหลักมีวิถีเซียน สินค้าในโลกมนุษย์นี้อาจดูไม่มีความสำคัญ แต่หากเปิดเส้นทางภูเขาเหล่านี้ ข้าสามารถขายข้าวและผ้าไหมทั้งหมดออกไปได้และอาจแลกเปลี่ยนอัญมณีหรือวัตถุดิบวิญญาณกลับมา นี่แหละถึงจะเป็นประโยชน์!”
เมื่อคิดเช่นนี้ สวี่เหวินซานก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาเรียกสหายร่วมทางที่หลบหนีมาด้วยกันมาเล่าความคิดนี้ เมื่อทุกคนได้ฟังต่างก็พากันตบมือด้วยความยินดี
“ข้าจะไปพูดเรื่องนี้กับตระกูลหลักเดี๋ยวนี้เลย!”
สวี่เหวินซานหัวเราะเสียงดังและพาลูกน้องออกจากหมู่บ้านไป
(จบบท)