ตอนที่ 10 อู๋เสี่ยวพั่ง
ตอนที่ 10 อู๋เสี่ยวพั่ง
เพียงมองไป ก็เห็นเด็กหนุ่มใบหน้ากลม ผมสั้น รูปร่างอ้วนท้วม ยืนอยู่ต่อหน้าบุรุษวัยกลางคนในชุดคลุมเต๋า ด้วยท่าทางลนลานขณะเอ่ยอ้อนวอน
“ท่านอาจารย์ โปรดให้โอกาสข้าอีกครั้งเถิด ครั้งหน้าข้าจะไม่ทำผิดอีกแน่นอน!”
“อู๋เสี่ยวพั่ง เจ้าไม่ใช่ศิษย์ของสำนักเซียนสวรรค์อีกต่อไป รีบออกไปจากสำนัก อย่ามาก่อกวนที่นี่อีก!”
“ท่านอาจารย์ ข้ารู้ว่าท่านไม่พอใจที่ข้าไม่ได้ส่งหินวิญญาณให้ท่านเมื่อเร็ว ๆ นี้ แต่ข้ากำลังลำบากจริง ๆ โปรดให้เวลาข้าอีกสักหน่อยเถอะ เดือนหน้า ข้าจะส่งหินวิญญาณคืนพร้อมดอกเบี้ยให้ท่านแน่นอน!”
“เจ้าพูดอะไรไร้สาระ!”
บุรุษในชุดคลุมเต๋าเปลี่ยนสีหน้าทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น
เขาเหลือบมองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นจางอวิ๋นและมู่เซิ่งเดินมาจากเส้นทางขึ้นเขา สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยน ก่อนจะรีบคว้ามือเด็กหนุ่มร่างอ้วนไว้ “ตามข้ามา!”
เขาพยายามจะรีบพาเด็กหนุ่มออกไปทันที
“หยุดก่อน!”
เสียงหนึ่งดังขึ้นฉับพลัน
บุรุษในชุดคลุมหยุดชะงัก หันมายิ้มแห้ง ๆ ให้จางอวิ๋น “ท่านผู้อาวุโสเก้ามีเรื่องใดหรือ?”
จางอวิ๋นไม่ได้สนใจคำถามของเขา สายตากลับจับจ้องไปที่เด็กหนุ่มร่างอ้วนที่อยู่ข้างเขา
[อู๋เสี่ยวพั่ง]
[ระดับศักดิ์สิทธิ์]
[ร่างจักรพรรดิแห่งพลัง]
[รากวิญญาณเกรดต่ำ (สามารถพัฒนาเป็นรากวิญญาณราชันเกรดศักดิ์สิทธิ์ได้)]
[ระดับพลัง: หลอมลมปราณขั้นแรก]
[วิชาฝึกฝน: ยุทธ์พลังไหลเวียน]
[ทักษะต่อสู้: หมัดพลังไหลเวียน]
[จุดอ่อน:พรสวรรค์ระดับศักดิ์สิทธิ์ยังไม่ได้รับการพัฒนา ร่างจักรพรรดิยังไม่ถูกปลุกพลัง วิชาที่ฝึกฝนอยู่รวบรวมพลังไว้ที่ท้ายทอยกลายเป็นจุดอ่อนร้ายแรง]
…
คำแนะนำในการฝึกฝน: ช่วยเขาให้ได้พลังจักรพรรดิปลุกพลังร่างจักรพรรดิ และเปลี่ยนวิชาฝึกฝน
พรสวรรค์ระดับศักดิ์สิทธิ์? ร่างจักรพรรดิแห่งพลัง?
ในใจของจางอวิ๋นเต็มไปด้วยความตกตะลึง
นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาได้พบศิษย์ที่มีพรสวรรค์ระดับนี้
ด้านข้าง มู่เซิ่งที่ได้ยินจางอวิ๋นเรียกหยุดทั้งสองก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
เขาได้ยินบทสนทนาระหว่างบุรุษชุดคลุมกับเด็กหนุ่มอ้วนชัดเจน มีการพูดถึงเรื่องการรับหินวิญญาณของเด็กหนุ่ม
อาจารย์รับหินวิญญาณจากศิษย์? แค่คิดก็รู้ว่ามันไม่ชอบมาพากล หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป จะกระทบต่อชื่อเสียงของยอดเขาสำนักใหญ่ไม่น้อย
“ท่านผู้อาวุโสเก้า เรื่องนี้เป็นเรื่องภายในของยอดเขาสำนักใหญ่ เราจะจัดการกันเอง!” มู่เซิ่งพูดขึ้น น้ำเสียงพยายามควบคุมให้เยือกเย็น
เมื่อมู่เซิ่งพูดจบ เขาหันไปสั่งบุรุษในชุดคลุมเต๋าด้วยน้ำเสียงเย็นชา “กลับไป รอการแจ้งเรื่องนี้!”
บุรุษในชุดคลุมเต๋าหน้าซีดเผือดทันที
เขาสบถในใจว่าช่างโชคร้ายยิ่งนักที่ดันมาเจอศิษย์ของเจ้าสำนักใหญ่อย่างมู่เซิ่ง เขามองอู๋เสี่ยวพั่งด้วยสายตาโกรธแค้น ก่อนจะพูดอย่างรุนแรง “เจ้าไม่ใช่ศิษย์ของข้าอีกต่อไป ออกไปซะ!”
“ท่านอาจารย์…”
อู๋เสี่ยวพั่งพยายามจะพูดบางอย่าง
แต่บุรุษในชุดคลุมเต๋าไม่สนใจ หันหลังเดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะเหลียวมอง
“รีบออกจากสำนักด้วยตัวเองเสีย” มู่เซิ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
อู๋เสี่ยวพั่งตัวสั่นเทา ใบหน้าซีดขาว
ความฝันที่จะเป็นเซียนของเขา เพิ่งเริ่มต้นก็ต้องมาถึงจุดจบแล้วอย่างนั้นหรือ?
ไม่มีใครรู้ว่าเขาทุ่มเทเพียงใดเพื่อจะได้ก้าวเข้าสู่เส้นทางการฝึกเซียน เขาที่มีรากวิญญาณระดับต่ำ ถูกมองว่าไม่มีอนาคตทั้งจากคนรอบตัวและครอบครัว ทุกคนต่างบอกให้เขายอมรับความจริงและใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดา อย่าได้ฝันถึงการฝึกเซียน
แต่เขาไม่ยอมแพ้
เขายังคงจดจำเหตุการณ์ในวัยเด็กได้อย่างชัดเจน ตอนที่เขาเกือบเอาชีวิตไปทิ้งในป่าเพราะอสูรร้าย ขณะนั้นเอง ผู้ฝึกเซียนในชุดเกราะทองคำก็ปรากฏตัวขึ้น พร้อมฟันอสูรสูงหลายเมตรด้วยเพียงดาบเดียว ก่อนจะจากไปอย่างสง่างาม
ภาพนั้นสลักลึกอยู่ในจิตใจของเขา และกลายเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เขาฝันอยากเป็นเซียน
เพื่อความฝันนี้ เขาไม่ลังเลที่จะทะเลาะกับครอบครัว ออกจากบ้าน และใช้ทุกวิถีทางเพื่อสมัครเข้าสำนักเซียนสวรรค์ จนได้เป็นศิษย์ในความดูแลของบุรุษในชุดคลุมเต๋า
แต่สิ่งที่เขาได้รับกลับไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง ตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา เขาได้รับเพียงวิชาระดับต่ำเพียงหนึ่งวิชา แถมยังถูกใช้งานทำงานต่าง ๆ ทุกวัน และต้องจ่ายหินวิญญาณเป็นค่าบูชาและค่าเล่าเรียนทุกเดือน
แม้จะผิดหวัง แต่เขายังคงมุ่งมั่นทำทุกสิ่งที่ถูกสั่งด้วยความตั้งใจ หวังว่าวันหนึ่งจะพิสูจน์ตัวเองและได้รับการยอมรับ
แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับเป็นการถูกขับไล่ออกเพียงเพราะเขาไม่สามารถจ่ายหินวิญญาณได้ทันเวลาในเดือนนี้
อู๋เสี่ยวพั่งกัดริมฝีปากแน่น ความรู้สึกเสียใจและคับแค้นแน่นอยู่ในอก
มู่เซิ่งเห็นเขายังยืนนิ่งก็พูดอย่างไม่พอใจ “จะยืนอยู่ทำไม รีบไปเสีย ยอดเขาสำนักใหญ่ของเราไม่ต้อนรับคนนอก!”
คำพูดนั้นทำให้อู๋เสี่ยวพั่งตัวสั่นไหว เขาก้มหน้าด้วยความขมขื่นก่อนจะเริ่มก้าวเท้าช้า ๆ
แต่เพียงก้าวแรก เขาก็รู้สึกว่าขาอ่อนแรงจนเสียหลักล้มไปข้างหน้า
เพียะ!
ก่อนที่จะล้มถึงพื้น มือที่แข็งแกร่งข้างหนึ่งคว้าตัวเขาไว้ได้ทัน
“เจ้าชื่ออู๋เสี่ยวพั่งใช่หรือไม่? สนใจจะมาเป็นศิษย์ที่ยอดเขาที่เก้าของข้าหรือเปล่า?”
เสียงของจางอวิ๋นดังขึ้นพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ บนใบหน้า
เสียงอ่อนโยนข้างหูทำให้อู๋เสี่ยวพั่งชะงักไป เขาเงยหน้าขึ้นมองจางอวิ๋นที่ช่วยพยุงเขาไว้ด้วยท่าทางตะลึงงัน
มู่เซิ่งขมวดคิ้วแน่น เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ท่านผู้อาวุโสเก้า นี่เป็นเรื่องภายในของยอดเขาสำนักใหญ่ ท่านไม่ควรเข้ามาแทรกแซง!”
“ใครบอกว่าข้าจะแทรกแซงเรื่องภายในของพวกเจ้า?” จางอวิ๋นกลอกตา ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้าแค่สนใจเด็กหนุ่มคนนี้ และอยากรับเขาเป็นศิษย์ เจ้าไม่พอใจหรือ?”
สนใจ?
มู่เซิ่งเบ้ปาก ใครจะเชื่อกันเล่า?
แม้เขาจะไม่รู้จักอู๋เสี่ยวพั่งดีนัก แต่จากที่เห็นว่าเด็กหนุ่มคนนี้ได้เป็นเพียงศิษย์ในความดูแลของอาจารย์ระดับผู้ช่วย และยังต้องใช้หินวิญญาณในการซื้อโอกาสเข้ามาก็บ่งบอกถึงพรสวรรค์ที่ต่ำเตี้ยของเขาได้ชัด
ในสายตาของมู่เซิ่ง การที่จางอวิ๋นจะรับอู๋เสี่ยวพั่งเป็นศิษย์ ก็คงเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องที่ผู้ดูแลหลี่รับหินวิญญาณ
มู่เซิ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ท่านผู้อาวุโสเก้า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของยอดเขาสำนักใหญ่ หากเรื่องนี้บานปลายออกไป เจ้าสำนักใหญ่คงไม่พอใจนัก!”
“เจ้าคิดยังไงก็เรื่องของเจ้า!” จางอวิ๋นไม่สนใจคำพูดของมู่เซิ่ง เขาหันกลับไปยิ้มให้กับอู๋เสี่ยวพั่ง “เจ้ายินดีหรือไม่? ข้าคิดว่าเจ้าคงเคยได้ยินชื่อเสียงของข้า แม้ว่าข้าจะเคยประสบปัญหาในเส้นทางการฝึกฝน แต่ข้าก็ยังเคยประสบความสำเร็จมาก่อน ที่ยอดเขาที่เก้านี้ ข้ามีศิษย์อยู่เพียงคนเดียว หากเจ้ารับ ข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์คนที่สอง!”
“ท่าน…ท่านจะรับข้าเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการหรือ?” อู๋เสี่ยวพั่งมองด้วยความตกตะลึง
ชื่อเสียงของผู้อาวุโสเก้า จางอวิ๋น เขาเคยได้ยินมาบ้างว่าเป็นผู้อาวุโสที่ครั้งหนึ่งเคยประสบปัญหาใหญ่จนพลังถดถอย
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังคงเป็นผู้อาวุโส! และยิ่งไปกว่านั้น หากเขาได้รับการยอมรับให้เป็นศิษย์คนที่สอง นั่นหมายความว่าเขาจะกลายเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการ ไม่ใช่แค่ศิษย์ในความดูแล!
“แน่นอน!” จางอวิ๋นพยักหน้า
“ข้ายินดี! ข้ายินดีที่จะเข้าร่วมยอดเขาที่เก้า!!” อู๋เสี่ยวพั่งตอบอย่างไร้ความลังเล เขารีบคุกเข่าลงทำความเคารพตามพิธี “ท่านอาจารย์ ได้โปรดรับการเคารพจากศิษย์ผู้นี้!”
“ดีมาก! ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าคือศิษย์ของข้าจางอวิ๋น!” จางอวิ๋นยิ้มกว้างด้วยความพึงพอใจ
ด้านมู่เซิ่งที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ขมวดคิ้วจนแทบผูกเป็นปม
จางอวิ๋นได้ยินชัดเจนขนาดนี้แล้ว แต่ก็ยังจะรับอู๋เสี่ยวพั่งเป็นศิษย์?
หรือว่าเขาเห็นอะไรในตัวเด็กหนุ่มคนนี้จริง ๆ?
มู่เซิ่งมองสำรวจอู๋เสี่ยวพั่งอีกครั้ง สายตาเต็มไปด้วยความรังเกียจ แค่รูปร่างของเด็กหนุ่มที่อ้วนท้วนขนาดนี้ก็ผิดปกติสำหรับผู้ฝึกเซียนแล้ว โดยปกติผู้ที่ฝึกวิชาเซียน เมื่อดูดซับพลังปราณเข้าสู่ร่างกาย ร่างกายจะถูกชำระล้างและสมส่วน แต่ตัวอู๋เสี่ยวพั่งที่ยังคงอ้วนอยู่ คงมีบางอย่างผิดปกติในร่างกาย คนแบบนี้การฝึกฝนย่อมยากลำบากยิ่งกว่าเดิม!
การที่จางอวิ๋นรับอู๋เสี่ยวพั่งเป็นศิษย์ เขาคิดอะไรกันแน่?
จางอวิ๋นไม่สนใจสายตาของมู่เซิ่ง เขายิ้มและพูดขึ้น “เจ้าอ้วน จากนี้ไปเจ้าคือศิษย์ของข้า ตอนนี้ข้าต้องไปจัดการเรื่องบางอย่าง เจ้าจงไปที่ยอดเขาที่เก้าก่อน ที่นั่นมีศิษย์พี่ของเจ้าอยู่ ข้าจะตามไปเมื่อเสร็จธุระ!”
“ขอรับ ท่านอาจารย์!” อู๋เสี่ยวพั่งตอบรับด้วยความดีใจ ความหม่นหมองก่อนหน้านี้หายไปสิ้น เขารีบมุ่งหน้าไปยังยอดเขาที่เก้าด้วยความกระตือรือร้น
เมื่อจางอวิ๋นมองส่งศิษย์คนใหม่ของเขาเดินจากไป เขาก็ยิ้มบาง ๆ และหันกลับไปเดินต่อยังยอดเขาสำนักใหญ่ อารมณ์ดีจนฮัมเพลงเบา ๆ ระหว่างทาง
สำหรับเขา ศิษย์คนที่สองนี้นับเป็นความประหลาดใจที่น่ายินดีอย่างแท้จริง!
มู่เซิ่งที่เดินตามอยู่ข้าง ๆ ถึงกับพูดไม่ออก
รับศิษย์ที่แม้แต่อาจารย์ระดับผู้ช่วยยังไม่เอา ถึงกับมีความสุขได้ขนาดนี้?
ข่าวลือที่บอกว่าจางอวิ๋นแปลกประหลาด คงไม่ได้เกินจริงเลยแม้แต่น้อย
…
ยอดเขาสำนักใหญ่ ภายในมหาวิหารเจ้าสำนักใหญ่ที่โอ่อ่าหรูหรา
เมื่อจางอวิ๋นมาถึง เขาพบว่าภายในห้องโถงมีผู้อาวุโสของสำนักเซียนสวรรค์หลายคนอยู่แล้ว รวมถึงเมิ่งจงด้วย
เมิ่งจงหันมามองจางอวิ๋นก่อนจะส่งเสียงฮึดฮัดอย่างไม่พอใจ จางอวิ๋นทำเป็นไม่สนใจ เขาเพียงปรายตามองและเดินไปยังพื้นที่นั่ง เขาไม่ลืมที่จะมองขึ้นไปยังเจ้าสำนักใหญ่ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ตำแหน่งสูงสุดในชุดคลุมเต๋าสีม่วง
“ผู้อาวุโสเก้า เชิญนั่งเถิด” เจ้าสำนักใหญ่เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
จางอวิ๋นพยักหน้า เลือกที่นั่งว่างอย่างไม่ใส่ใจ
เขากวาดตามองเหล่าผู้อาวุโสในห้องโถง ขณะครุ่นคิดในใจ ตอนแรกเขาคิดว่าเจ้าสำนักใหญ่จะเรียกพบเขาเพียงลำพัง แต่กลับพบว่าผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ก็ถูกเรียกมาเช่นกัน ดูเหมือนจะมีเรื่องสำคัญที่จะประกาศ
“เมื่อผู้อาวุโสของสำนักเซียนสวรรค์มากันครบแล้ว ท่านสหายหลิงเซียน ข้าคิดว่าได้เวลาให้แขกของข้าปรากฏตัวแล้วกระมัง?” เสียงหัวเราะร่าเริงดังมาจากนอกมหาวิหาร ทำให้ทุกคนในห้องโถงถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย
เพียงครู่เดียว ชายร่างกำยำในชุดคลุมสีดำปักลายทองก็เดินเข้ามาภายในมหาวิหาร
ทันทีที่เขาก้าวเข้าสู่มหาวิหารเจ้าสำนักใหญ่ กลิ่นอายที่มองไม่เห็นซึ่งแผ่ออกมาจากร่างของเขา ก็ทำให้อุณหภูมิภายในลดต่ำลงอย่างน่าประหลาด
อากาศโดยรอบดูเหมือนจะเต็มไปด้วยแรงกดดัน จางอวิ๋นรู้สึกได้ถึงการหายใจที่ติดขัดเล็กน้อย เขามองชายร่างกำยำด้วยความตกตะลึง
ระดับปฐมวิญญาณขั้นต้น!
ความรู้สึกเช่นนี้ เขาเคยสัมผัสได้เพียงจากเจ้าสำนักใหญ่ของสำนักเซียนสวรรค์เท่านั้น ชายในชุดคลุมดำปักลายทองคนนี้ เป็นผู้ฝึกตนในระดับปฐมวิญญาณขั้นต้นงั้นหรือ?
ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ของสำนักเซียนสวรรค์ที่อยู่ในมหาวิหาร ต่างก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันเช่นกัน ทุกคนเผยสีหน้าประหลาดใจและเคร่งเครียด
“ท่านสหายหนานซาน ที่นี่คือสำนักเซียนสวรรค์ของข้า!”
แต่ไม่นานนัก เสียงเรียบเฉยของเจ้าสำนักใหญ่ดังขึ้น
จางอวิ๋นและเหล่าผู้อาวุโสคนอื่น ๆ รู้สึกว่าร่างกายเบาขึ้น แรงกดดันที่เคยมีพลันจางหายไป
“ท่านสหายหลิงเซียน อย่าถือสาเลย ข้าเพียงแค่หยอกเล่นกับเหล่าผู้อาวุโสของสำนักท่านเท่านั้น!”
ชายในชุดคลุมดำปักลายทองยิ้มเล็กน้อยให้เจ้าสำนักใหญ่ ก่อนจะเก็บกลิ่นอายพลังกลับไป แล้วหันมามองจางอวิ๋นและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ
“พวกท่านอาจยังไม่เคยพบหน้าข้ามาก่อน ข้าคือเจ้าสำนักใหญ่คนปัจจุบันของสำนักภูผาใต้ ได้รับตำแหน่งเมื่อสามปีที่แล้ว”