ตอนที่ 9 ลงมาเดี๋ยวนี้!
ตอนที่ 9 ลงมาเดี๋ยวนี้!
เพียงพริบตา เวลาก็ล่วงเลยไปสามวัน
ยอดเขาที่เก้าของสำนักเซียนสวรรค์ ภายในถ้ำพำนัก จางอวิ๋นยืนอยู่กลางถ้ำ มีไอพลังสีเขียวอ่อนล้อมรอบเท้าของเขา แสงพลังนั้นพลิ้วไหวขณะที่เขาเคลื่อนไหวไปมาในถ้ำ ทุกย่างก้าวของเขาให้ความรู้สึกลี้ลับยากจะหยั่งถึง
“วิชาเท้าหยกพิสุทธิ์นี้ไม่เลวเลยทีเดียว”
หลังจากฝึกซ้อมอยู่ครู่ใหญ่ จางอวิ๋นก็หยุดพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก
ตลอดสามวันที่ผ่านมา เขาไม่ได้ปล่อยเวลาให้สูญเปล่า วิชาขั้นสูงที่ได้มาจากหอคัมภีร์หมื่นวิถีถูกเขานำมาฝึกฝนอย่างคร่าว ๆ
ในบรรดาวิชาทั้งหมดที่ได้มา เขารู้สึกพอใจที่สุดกับวิชาเท้าหยกพิสุทธิ์ นี่คือวิชาที่เน้นการเคลื่อนไหว เมื่อฝึกสำเร็จ แม้ไม่ต้องพูดถึงด้านอื่น ความสามารถในการหลบหลีกและความเร็วในการหลบหนีก็พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก
“ท่านผู้อาวุโสเก้าอยู่หรือไม่?”
ขณะที่เขากำลังครุ่นคิด เสียงหนึ่งดังขึ้นก้องทั่วทั้งยอดเขาที่เก้า
จางอวิ๋นขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะก้าวออกจากถ้ำพำนัก
ทันทีที่ก้าวออกมา เขาเห็นชายหนุ่มในชุดคลุมสีเขียว ผมยาวปลิวไสว ยืนอยู่กลางอากาศบนดาบบิน ใบหน้าฉายความหยิ่งผยอง
คนผู้นี้ จางอวิ๋นจำได้ดี เขาคือ มู่เซิ่ง ศิษย์คนที่สองของเจ้าสำนักใหญ่
เมื่อเห็นท่าทางโอหังที่อีกฝ่ายบินลอยอยู่เหนือยอดเขา สีหน้าของจางอวิ๋นก็พลันมืดครึ้มลง “ลงมา!”
มู่เซิ่งเห็นจางอวิ๋นปรากฏตัวก็เตรียมจะพูด แต่เมื่อได้ยินคำพูดนั้น รอยยิ้มเหยียดหยันก็ปรากฏขึ้นที่มุมปาก พร้อมกับเชิดหน้าขึ้นอย่างถือดี “ท่านผู้อาวุโสเก้า ข้ามาเพราะได้รับคำสั่งจากอาจารย์...”
“ข้าบอกให้เจ้าลงมา!” จางอวิ๋นพูดขัดเสียงเย็นชา
มู่เซิ่งหาได้ใส่ใจไม่ ยังคงยิ้มเยาะและกล่าวต่อ “ท่านผู้อาวุโสเก้า...”
“ข้าบอกให้เจ้าลงมา! เจ้าไม่ได้ยินหรือไง!?”
จางอวิ๋นเอ่ยคำหนักแน่น พร้อมสะบัดมือส่งดาบบินออกมาจากแหวนเก็บของ มุ่งหน้าโจมตีอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
สีหน้าของมู่เซิ่งเปลี่ยนไปทันที เขาชักดาบในมือออกมา ‘เคร้ง’ เพื่อปัดป้องดาบบินอย่างเร่งด่วน ก่อนจะกล่าวเสียงเย็นชา “ท่านผู้อาวุโสเก้า ท่านกล้าลงมือกับข้าหรือ!?”
“ข้าสั่งให้เจ้ากลิ้งลงมา!!”
เสียงตวาดกึกก้องของจางอวิ๋นดังลั่น ขณะเขากดมือขวาลง
ดาบบินที่ถูกมู่เซิ่งใช้ดาบในมือปัดป้องไว้ เมื่อถูกกดด้วยพลังมหาศาล ‘ตูม’ ก็ปลดปล่อยคลื่นพลังอันรุนแรงออกมา
“แย่แล้ว!”
มู่เซิ่งเปลี่ยนสีหน้าเป็นตื่นตระหนก ยังไม่ทันได้หลบเลี่ยงก็ถูกแรงพลังนั้นกระแทกเข้าอย่างจัง ทั้งตัวและดาบในมือร่วงหล่นจากอากาศอย่างหมดท่า ไปติดอยู่บนกิ่งไม้หน้ายอดเขาในสภาพอันน่าเวทนา
“จางอวิ๋น เจ้า...”
ความโกรธพุ่งพล่านในดวงตาของเขา ขณะที่กำลังจะตะโกนออกมา
ฉับ!
เพียงเสียงแหวกอากาศดังขึ้นข้างหู วินาทีถัดมา ฝ่ามือหนึ่งก็กดลงบนไหล่ของเขา
ปัง!
ร่างของมู่เซิ่งถูกดึงลงมาที่พื้นอย่างรุนแรง เขาล้มคะมำด้วยท่าที่ไม่ต่างจากหมากินข้าวบนพื้น
“ไม่มีใครสอนเจ้าหรือว่าหากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย ห้ามส่งเสียงดังในเขาอาวุโส และที่สำคัญ ห้ามศิษย์บินเหนือยอดเขาอย่างโอหังเช่นนี้!”
จางอวิ๋นยืนอยู่ข้าง ๆ สะบัดชายแขนเสื้อเบา ๆ เอ่ยเสียงเย็น
มู่เซิ่งที่ล้มลงไปในสภาพหมดท่า ใบหน้ามอมแมมคลุกฝุ่น ได้ยินคำตักเตือนนี้ก็ยิ่งโมโห ตะโกนเสียงดังลั่น “จางอวิ๋น เจ้าหาที่ตายหรือไง!!”
ทันใดนั้น พลังปราณพุ่งพล่านจากร่างเขา ก่อนจะลุกขึ้นมาพร้อมกำหมัดกระแทกไปที่จางอวิ๋นด้วยความโกรธ
เพียะ!
จางอวิ๋นยกมือขึ้นรับหมัดนั้นไว้ได้อย่างง่ายดาย
“เจ้าตายซะ!!”
มู่เซิ่งเร่งส่งพลังปราณเข้าสู่หมัด หวังจะใช้แรงระเบิดพลังผลักจางอวิ๋นให้กระเด็นไป
แต่ไม่ว่าจะเร่งพลังมากเพียงใด ก็เหมือนว่าหมัดของเขากระแทกอยู่บนกำแพงทองแดงเหล็กกล้า ไม่อาจเขยื้อนอีกฝ่ายได้เลย
“เจ้า...”
ดวงตาของมู่เซิ่งเผยความตกตะลึงออกมา
เขาเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสุดท้ายของระดับสร้างรากฐาน หมัดที่เขาทุ่มพลังทั้งหมดใส่นี้ แม้ภูเขาก็สามารถทำลายได้ แต่จางอวิ๋นที่เขาเคยได้ยินว่าตกต่ำถึงระดับสร้างรากฐานขั้นสาม กลับยืนหยัดอยู่อย่างมั่นคงโดยไม่สะทกสะท้าน
“อ๊าก!”
ยังไม่ทันได้คิดอะไรต่อ เขาก็รู้สึกว่าหมัดของเขาเหมือนถูกคีมเหล็กหนีบเข้า ฝ่ามือที่จับหมัดของเขาออกแรงบีบจนเสียงกระดูกลั่นดัง ‘กร๊อบ’
มู่เซิ่งกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าแดงก่ำ ร้องลั่น “ปล่อยข้า! รีบปล่อยข้า!!”
กร๊อบ!
จางอวิ๋นสีหน้าไร้อารมณ์ ใช้แรงบีบกระดูกหมัดของอีกฝ่ายจนหัก ก่อนจะยกเท้าถีบเข้าที่ท้องของมู่เซิ่งจนเขากระเด็นไป
“ข้าจะยกโทษให้เจ้าในครั้งนี้เพราะเจ้ายังทำผิดครั้งแรก แต่ถ้ามีครั้งหน้า ข้าจะทำลายเจ้าโดยไม่ลังเล!”
จางอวิ๋นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความเด็ดขาด
มู่เซิ่งถูกถีบกระเด็นไปชนกับก้อนหินยักษ์ข้าง ๆ อย่างแรง ร่างกายบอบช้ำจนเหมือนทุกส่วนจะแตกแยกเป็นเสี่ยง ๆ เขาพยายามระงับความเจ็บปวด แต่เมื่อได้ยินคำพูดของจางอวิ๋น ความโกรธก็พลุ่งพล่าน “จางอวิ๋น ข้าจะไปรายงานเรื่องนี้ต่อ...”
ยังไม่ทันพูดจบก็ถูกคำพูดเย็นชาของจางอวิ๋นขัดขึ้น “แต่เจ้ากลับกล้าบินเหนือยอดเขาของข้า ส่งเสียงเอะอะโวยวายบนยอดเขาที่เก้าของข้า และที่สำคัญ เจ้ากล้าลงมือโจมตีข้าต่อหน้าต่อตา ข้าจะรายงานเรื่องทั้งหมดนี้ต่อเจ้าสำนักใหญ่ เจ้ารอรับโทษทัณฑ์จากเจ้าสำนักใหญ่ได้เลย!”
เมื่อมู่เซิ่งได้ยินเช่นนั้น ความโกรธพุ่งถึงขีดสุดจนกระอักเลือดออกมา “อ๊าก!”
นี่มันคำพูดที่เขากำลังจะพูดอยู่แท้ ๆ! คนที่จะไปรายงานเจ้าสำนักใหญ่ควรเป็นเขาไม่ใช่หรือ!?
จางอวิ๋นไม่ได้สนใจความรู้สึกของมู่เซิ่ง หลังจากพูดเสร็จเขาก็กลับมาสงบ และถามขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เมื่อครู่นี้เจ้าอ้างว่ามีคำสั่งจากเจ้าสำนักใหญ่ ว่ามา มีเรื่องอะไร?”
คำถามนี้ทำให้มู่เซิ่งยิ่งเจ็บใจแทบกระอักเลือดอีกครั้ง
“เจ้าพึ่งจะสนใจว่าข้ามีคำสั่งจากเจ้าสำนักใหญ่นี่นะ? แต่ข้าไม่อยากพูดแล้ว!”
เขาหันหน้าหนีอย่างดื้อดึง
จางอวิ๋นเห็นดังนั้นก็ไม่ได้ใส่ใจ เขาหันไปเรียกสวี่เมิง ศิษย์ของเขาที่ถูกเหตุการณ์นี้ทำให้ตกใจจนยืนนิ่งตะลึงอยู่ “ศิษย์ เข้ามานี่!”
สวี่เมิงสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนรีบเดินเข้าไปหา
“ไปเหยียบมันสักสองที”
จางอวิ๋นชี้ไปที่มู่เซิ่งที่นอนพิงก้อนหินอยู่
“หา?”
สวี่เมิงอึ้งไปชั่วขณะ
“เจ้านี่มารบกวนการฝึกของอาจารย์และเจ้า สมควรถูกลงโทษ ไม่ต้องกลัว อาจารย์อยู่ตรงนี้ หากมันกล้าตอบโต้ ข้าจะจัดการเอง!”
“ได้ขอรับ ท่านอาจารย์!”
แม้จะงุนงง แต่สวี่เมิงก็พยักหน้าเดินเข้าไปหามู่เซิ่ง
มู่เซิ่งเห็นดังนั้นก็โกรธจนแทบระเบิด “จางอวิ๋น เจ้าอย่ามากเกินไปนัก!”
แต่จางอวิ๋นไม่ได้สนใจคำพูดนั้น เมื่อสวี่เมิงเดินเข้าไปใกล้ และยกเท้าขึ้นเตรียมจะเหยียบ มู่เซิ่งก็รีบตะโกนลั่น “จางอวิ๋น! เจ้าสำนักใหญ่ให้เจ้าขึ้นไปที่ยอดเขาสำนักใหญ่ มีเรื่องสำคัญต้องคุยกับเจ้า!!”
“เจ้าสำนักใหญ่เรียกข้า?”
จางอวิ๋นเลิกคิ้วเล็กน้อย
หรือว่าเจ้าสำนักใหญ่จะรู้ว่าเขาใช้หินวิญญาณไปมากในการฝึกสอนศิษย์ และจะส่งหินวิญญาณมาให้เขา?
คิดเช่นนั้นดวงตาของเขาก็สว่างวาบ รีบหันไปบอกสวี่เมิง “ไม่ต้องเหยียบแล้ว ศิษย์เอ๋ย กลับมาได้!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สวี่เมิงก็ “อ้อ” พร้อมลดเท้าลง แต่แอบเหลือบตามองมู่เซิ่งด้วยความเสียดาย สีหน้าที่เหมือนอยากจะเหยียบจริง ๆ นั้น ทำให้มู่เซิ่งหน้าถอดสี
ศิษย์ใหม่คนนี้ไม่ได้ยินบทสนทนาของเขากับจางอวิ๋นเมื่อครู่หรืออย่างไร? เขาเป็นถึงศิษย์ของเจ้าสำนักใหญ่แท้ ๆ เจ้ากล้าคิดจะเหยียบข้าจริง ๆ หรือ?
“ศิษย์ เจ้าคอยเฝ้าที่นี่ไว้ อาจารย์จะไปแล้วกลับมาไม่นาน”
จางอวิ๋นบอกกับสวี่เมิงก่อนจะหันไปมองมู่เซิ่ง “นำทางสิ!”
ยังจะให้เขานำทางอีก?
มู่เซิ่งเบิกตากว้าง
“หรืออยากให้ข้าหิ้วเจ้าขึ้นไปบนยอดเขาสำนักใหญ่?” จางอวิ๋นพูดเรียบ ๆ
มู่เซิ่งกัดฟัน สบถด่าในใจว่า “ไอ้สารเลว” ก่อนจะลุกขึ้นด้วยความเจ็บปวด ใช้มือซ้ายที่ไม่ได้รับบาดเจ็บควบคุมดาบบินขึ้นไป
จางอวิ๋นก็ดึงดาบบินออกมาแล้วตามไป
การควบคุมดาบบินสำหรับผู้ฝึกยุทธ์นั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไร ขอเพียงมีพลังปราณในระดับสร้างรากฐานก็ทำได้
ทั้งสองคนบินออกจากยอดเขาที่เก้าไปอย่างรวดเร็ว
ในเวลาไม่นาน พวกเขาก็มาถึงหน้ายอดเขาสำนักใหญ่ เมื่อมาถึง มู่เซิ่งก็รีบเก็บดาบบินและลงเดินตามทางขึ้นเขา
จางอวิ๋นมองเขาด้วยสายตาเย็นชา ตอนอยู่บนยอดเขาของเขากลับบินลอยละลิ่วอย่างโอหัง พอมาถึงยอดเขาสำนักใหญ่ กลับรู้จักเคารพกฎระเบียบขึ้นมาทันที!
เมื่อมู่เซิ่งรู้สึกได้ถึงสายตาของจางอวิ๋น เขาก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกมุมปาก
การกระทำก่อนหน้านั้นบนยอดเขาที่เก้า เขาทำไปโดยเจตนา ก็แค่ผู้อาวุโสที่ตกต่ำจนเหลือพลังเพียงระดับสร้างรากฐานขั้นสาม เขาไม่เห็นว่าควรต้องเคารพเลย!
แต่เขาไม่คาดคิดว่าจางอวิ๋นจะแสดงพลังออกมาได้ขนาดนี้…
“ชายผู้นี้มีบางอย่างผิดปกติแน่”
มู่เซิ่งมองมือขวาของตัวเองที่ยังเจ็บอยู่ เขารู้สึกงุนงงอย่างยิ่ง
ไม่ใช่ว่าจางอวิ๋นตกต่ำถึงขั้นสร้างรากฐานขั้นสามแล้วหรือ? เหตุใดพลังที่เขาแสดงออกมากลับให้ความรู้สึกไม่ต่างจากผู้ฝึกตนขอบเขตแก่นทองคำเลย? หรือว่าข่าวลือจะผิด?
จางอวิ๋นไม่ได้สนใจความคิดของมู่เซิ่งอีก เขาเก็บดาบบินและเริ่มเดินขึ้นไปยังยอดเขาสำนักใหญ่
“อู๋เสี่ยวพั่ง เรื่องง่าย ๆ แค่นี้เจ้าก็ทำผิดพลาด ยังคิดจะฝึกเซียนอยู่อีกหรือ? ตั้งแต่วันนี้ไป เจ้าจะไม่ใช่ศิษย์ในความดูแลของข้าอีกแล้ว กลับไปที่ที่เจ้ามาเถอะ!”
“ได้โปรดเถอะท่านอาจารย์!!”
เมื่อเดินมาถึงลานกว้างบริเวณกลางทางขึ้นเขา เสียงดุดันและเสียงร้องไห้ดังขึ้นมาจากเบื้องหน้า…