ตอนที่ 6 หอคัมภีร์หมื่นวิถี
ตอนที่ 6 หอคัมภีร์หมื่นวิถี
ประตูหอคัมภีร์เปิดออก กลิ่นอายโบราณของม้วนตำราพุ่งกระทบใบหน้า จางอวิ๋นมองเข้าไปด้านใน
ภายในดูคล้ายหอสมุดขนาดใหญ่ ชั้นหนังสือเรียงรายเป็นแถว ๆ บนชั้นวางมีม้วนตำราที่ทำจากวัสดุอย่างแผ่นไม้ไผ่และหนังแกะจัดวางอยู่เต็มไปหมด
เพียงมองผ่านตา ก็เห็นว่าม้วนตำราเหล่านี้ล้วนเป็นตำราวิชามากมาย
ดวงตาของจางอวิ๋นถึงกับเบิกกว้างทันที
“ร่ำรวยแล้ว!”
ตำราวิชามากมายขนาดนี้ ต่อให้เป็นเพียงตำราระดับกลางหรือต่ำสุด เมื่อนำไปแลกหินวิญญาณก็ยังสามารถแลกได้เป็นจำนวนมหาศาล
และนี่เพิ่งเป็นเพียงชั้นแรกของหอคัมภีร์หมื่นวิถี ด้านหน้ายังมีบันไดขึ้นไปข้างบน จากความสูงของชั้นนี้ คาดว่าด้านบนยังมีอีกสองถึงสามชั้น หากแต่ละชั้นเต็มไปด้วยตำราวิชาเช่นนี้…
“อึ่ก”
จางอวิ๋นกลืนน้ำลาย ดวงตาส่องประกายราวกับเห็นภูเขาทองคำและภูเขาเงินกำลังเรียกหาเขา
ทันใดนั้น บริเวณหลังมือก็รู้สึกร้อนขึ้นมา เมื่อก้มลงมอง ก็เห็นว่าตราประทับคำสั่งเซียนปรากฏข้อความขึ้นมาหนึ่งชุด—
“เข้าสู่หอคัมภีร์หมื่นวิถี ได้รับสิทธิ์ระดับสองและสิทธิ์จับคู่ตำราวิชาให้ศิษย์สองครั้ง”
“สิทธิ์?”
จางอวิ๋นไม่ค่อยเข้าใจแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจนัก เขารีบก้าวไปยังชั้นวางหนังสือแถวแรกทันที
ชั้นวางนี้มีขนาดเล็กกว่า บนชั้นมีตำราวิชาวางอยู่เพียงสิบกว่าม้วน
จางอวิ๋นหยิบม้วนหนึ่งขึ้นมาดูอย่างไม่รีรอ
‘[วิชาอักขระพันธนา]—ตำราวิชาระดับสูง’
“ระดับสูง?”
จางอวิ๋นเลิกคิ้วขึ้น
“ของดีนี่นา!”
ในดินแดนเซียนวิถี ตำราวิชาแบ่งเป็นหกระดับ ได้แก่ ระดับต่ำ ระดับกลาง ระดับสูง ระดับวิญญาณ ระดับสวรรค์ และระดับศักดิ์สิทธิ์
ตำราวิชาระดับสูง ในแคว้นเมฆาใต้ถือว่าเป็นของหายากยิ่ง แม้แต่ในสำนักเซียนสวรรค์เอง ตำราวิชาระดับนี้ก็มีเพียงไม่ถึงสิบม้วนเท่านั้น
แต่จางอวิ๋นเพียงหยิบสุ่มม้วนหนึ่งขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นระดับสูงแล้ว ตำราวิชาทั้งหมดในหอคัมภีร์หมื่นวิถีนี้จะเป็นระดับนี้ทั้งหมดเลยหรือไม่?
เมื่อมองไปยังชั้นวางตำราที่เรียงรายอยู่ทั่วหอคัมภีร์ จางอวิ๋นถึงกับหายใจถี่ขึ้น
เขารีบหยิบม้วนตำราอื่น ๆ บนชั้นวางมาดูทันที
‘[วิชาเท้าหยกพิสุทธิ์]—ตำราวิชาระดับสูง’
‘[เคล็ดดาบเร้นกาย]—ตำราวิชาระดับสูง’
‘[กระบวนกระบี่ครองพิภพ]—ตำราวิชาระดับสูง’
...
“ร่ำรวยแล้ว! คราวนี้ร่ำรวยจริง ๆ!”
เมื่อเห็นคำว่า ‘ระดับสูง’ ปรากฏอยู่ทุกตำรา จางอวิ๋นถึงกับยินดีจนแทบระเบิด
ตำราวิชาระดับนี้ ต่อให้เป็นตำราที่ด้อยคุณภาพที่สุด เมื่อวางขายในตลาดเซียนก็สามารถแลกหินวิญญาณได้ถึงหลายพันหรือกระทั่งหลายหมื่นก้อน
หากตำราทั้งหมดนี้เป็นระดับสูงจริง ๆ อนาคตเขาคงไม่ต้องกังวลเรื่องทรัพยากรฝึกฝนอีกต่อไป!
ด้วยความดีใจ เขาก้าวตรงไปยังชั้นวางตำราแถวที่สอง แต่เมื่อเพิ่งเข้าใกล้ กลับถูกกำแพงล่องหนบางอย่างกั้นไว้
“นี่คือชั้นตำราระดับสาม สิทธิ์ของท่านไม่เพียงพอ ไม่สามารถเข้าใกล้ได้!”
“??”
จางอวิ๋นถึงกับยืนนิ่ง
“สิทธิ์งั้นหรือ? หมายความว่าอย่างไร?”
เดี๋ยวก่อน นี่คงเกี่ยวกับคำแจ้งเตือนจากตราประทับคำสั่งเซียนเมื่อครู่ใช่หรือไม่?
“ต้องมีสิทธิ์ถึงจะอ่านได้อย่างนั้นหรือ?”
จางอวิ๋นแสยะยิ้ม
“ถ้างั้น ชั้นวางตำราที่สองนี้ยังต้องใช้สิทธิ์ระดับสาม แล้วชั้นวางที่อยู่ถัดไป...”
ความรู้สึกบางอย่างแปลก ๆ เกิดขึ้นในใจของเขา
จางอวิ๋นยกเท้าก้าวเข้าไปใกล้ชั้นวางที่อยู่ด้านในลึกขึ้นเรื่อย ๆ...
“นี่คือชั้นตำราระดับสาม สิทธิ์ของท่านไม่เพียงพอ ไม่สามารถเข้าใกล้ได้!”
“นี่คือชั้นตำราระดับสาม…”
“นี่คือชั้นตำราระดับสี่…”
...
ราวกับต้องการยืนยันความคาดเดาของเขา กำแพงล่องหนแต่ละชั้นขวางเขาไว้หน้าชั้นวางตำราแถวแล้วแถวเล่า
จางอวิ๋นแทบอยากร้องไห้!
แบบนี้มันไม่ยุติธรรม!
หอคัมภีร์ที่ใหญ่โตและเต็มไปด้วยตำราวิชานับไม่ถ้วน กลับให้เขาได้เพียงสิบกว่าม้วนเท่านั้นหรือ?
“แล้วชั้นสองจะขึ้นได้หรือเปล่า?”
ขณะนี้เขาเดินมาถึงชั้นวางตำราแถวสุดท้าย ด้านหน้าเป็นบันไดที่นำไปยังชั้นสองของหอคัมภีร์ จางอวิ๋นลองก้าวเข้าไปใกล้
‘การขึ้นชั้นสองของหอคัมภีร์ ต้องใช้สิทธิ์ระดับห้า!’
“…”
เมื่อเห็นข้อความบนกำแพงที่ขวางอยู่ตรงหน้า จางอวิ๋นได้แต่ยืนอึ้ง
“ช่างเถอะ หาวิธีเลื่อนสิทธิ์เป็นระดับสามก่อนแล้วกัน!”
เขาถอนหายใจ ดูเหมือนว่าสิทธิ์ที่ได้รับจะเกี่ยวข้องกับระดับของมหาพิภพแห่งเซียนของเขา หากยกระดับมหาพิภพเป็นระดับสามก็น่าจะได้รับสิทธิ์ระดับสามตามไปด้วย
ส่วนตอนนี้… จางอวิ๋นก้าวไปยังชั้นวางตำราแถวแรกและเก็บตำราวิชาทั้งสิบกว่าม้วนเข้าไปในแหวนเก็บของทั้งหมด
แม้ว่าการเข้าออกหอคัมภีร์หมื่นวิถียังไม่มีการกล่าวถึงข้อจำกัดอะไร แต่เผื่อว่าหลังจากออกไปแล้วจะกลับเข้ามาไม่ได้ อย่างน้อยตอนนี้ก็ต้องรีบเก็บตำราที่พอจะนำไปได้ไว้ก่อน!
“จับคู่ตำราวิชาให้ศิษย์หมายความว่าอย่างไร?”
เขามองข้อความอีกอย่างที่ปรากฏบนตราประทับคำสั่งเซียนด้วยความสงสัย จากนั้นเอ่ยว่า “จับคู่!”
ฮึ่ม!
ทันทีที่คำพูดหลุดออกมา ข้อความบนตรามือก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง—
‘เริ่มจับคู่ตำราวิชาให้แก่ศิษย์ของท่าน สวี่เมิง…’
ผ่านไปประมาณครึ่งนาที ข้อความว่า ‘จับคู่เสร็จสมบูรณ์’ ก็ปรากฏขึ้น
“ซ่า…”
ในวินาทีถัดมา อากาศตรงหน้าบิดเบี้ยว และม้วนตำราโบราณที่ทำจากหนังแกะก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าอย่างไม่มีที่มา
จางอวิ๋นหยิบมันขึ้นมาดู
‘[เก้าร่างมังกรทอง]—วิชาที่ไม่มีระดับ’
“ไม่มีระดับ?”
จางอวิ๋นขมวดคิ้ว วิชาที่ไม่มีการจัดระดับอย่างนั้นหรือ?
“การฝึกวิชานี้จำเป็นต้องมีรากวิญญาณมังกรธาตุทอง วิชานี้แบ่งเป็นเก้าขั้น แต่ละขั้นที่ฝึกสำเร็จ พลังจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ขั้นที่หนึ่งคำรามมังกรทอง ขั้นที่สองเนตรมังกรทอง ขั้นที่สามกรงเล็บมังกรทอง...”
แต่เมื่อได้อ่านรายละเอียดในม้วนตำรา คิ้วที่ขมวดอยู่ของจางอวิ๋นก็ค่อย ๆ คลายออก
แม้จะไม่มีระดับ แต่เนื้อหาของวิชานี้ก็ดูไม่เลว และเหมาะสมกับศิษย์ของเขา สวี่เมิง ซึ่งมีรากวิญญาณมังกรทองกลายพันธุ์
“ดูเหมือนจะเป็นวิชาที่ปรับแต่งมาเฉพาะตัวเลยทีเดียว!”
จางอวิ๋นลูบคางและมองไปยังข้อความที่ระบุว่าเขายังมีสิทธิ์จับคู่ตำราวิชาอีกครั้ง เขาจึงพูดว่า “จับคู่ต่อ!”
‘ศิษย์แต่ละคนสามารถจับคู่ตำราวิชาได้เพียงหนึ่งครั้ง โปรดรับศิษย์คนที่สองก่อนจึงจะสามารถจับคู่ตำราได้อีก’
เมื่อเห็นข้อความที่ปรากฏตรงหน้า จางอวิ๋นก็ขมวดคิ้ว
“ดูท่าคงต้องรีบหาศิษย์คนที่สองแล้วล่ะ…ว่าแต่ พิธีรับศิษย์ยังไม่จบใช่ไหมนะ?”
เมื่อนึกขึ้นได้ เขายกมือขวาและกล่าวกับตราประทับคำสั่งเซียนว่า “ออก!”
ทันทีที่เสียงจบ แสงสว่างวาบขึ้นตรงหน้า และเมื่อมองไปรอบ ๆ อีกครั้ง เขาก็กลับมายังสถานที่จัดพิธีรับศิษย์
“คนสุดท้าย เถียนเฉิน!”
เสียงหนึ่งดังขึ้นทันทีที่เขาปรากฏตัว จางอวิ๋นหันไปมอง เห็นว่าการทดสอบดำเนินมาถึงเด็กหนุ่มคนสุดท้ายแล้ว
[เถียนเฉิน]
[พรสวรรค์ระดับกลางค่อนไปทางต่ำ รากวิญญาณระดับกลาง]
...
เมื่อมองข้อมูลของเด็กหนุ่ม จางอวิ๋นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแต่ไม่ได้พูดอะไร
แม้รากวิญญาณระดับกลางจะไม่ถือว่าแย่ แต่ในเมื่อเขามีเนตรเซียนสวรรค์แล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นต้องลดมาตรฐานในการรับศิษย์
สำหรับศิษย์คนที่สอง ค่อยหาทีหลังแล้วกัน
ขณะที่คิดเช่นนี้ สายตาของจางอวิ๋นพลันหันไปมองเหล่าอาวุโสที่อยู่รอบ ๆ โดยไม่ตั้งใจ
เมื่อนึกถึงเรื่องที่ก่อนหน้านี้การตรวจสอบร่างกายเผยให้เห็นว่ามีพิษร้ายแรงอยู่ในตัวเขา หากจะบอกว่าใครเป็นผู้ลงมือก็คงหนีไม่พ้นอาวุโสเหล่านี้...
ร่างเดิมของจางอวิ๋นเป็นคนที่หมกมุ่นอยู่กับการฝึกฝน ไม่ค่อยออกจากสำนักเซียนสวรรค์ ยกเว้นในยามที่มีภารกิจ สิ่งที่เขาสามารถติดต่อได้ในสำนักก็มีเพียงเหล่าอาวุโสเหล่านี้เท่านั้น
จางอวิ๋นเหลือบมองไปที่เมิ่งจง คนผู้นี้ดูมีพิรุธที่สุด แต่ก็ไม่อาจตัดความเป็นไปได้ของคนอื่น ๆ
สายตาของเขากวาดผ่านอาวุโสรอบ ๆ พลางระแวดระวังอยู่ในใจ
“พิธีรับศิษย์จบลงเพียงเท่านี้!”
เมื่อเด็กหนุ่มคนสุดท้ายทำพิธีคารวะเสร็จ เสียงประกาศก็สะท้อนขึ้นทั่วทั้งลานพิธี
“จางอวิ๋น เจ้าช่างโชคดีนักที่รับศิษย์ได้ดี! แต่รอดูเถอะ ในการประลองศิษย์สามเดือนข้างหน้า เจ้าคงไม่ง่ายดายเช่นนี้อีก!”
ขณะที่จางอวิ๋นยังครุ่นคิดเรื่องพิษในร่าง เสียงหัวเราะเยาะดังขึ้นข้างหู
เขาเหลือบตามองเมิ่งจงเพียงเล็กน้อย ก่อนเอ่ยตอบเรียบ ๆ “ไม่ต้องให้ท่านอาวุโสสิบเป็นห่วงเรื่องนี้หรอก!”
“หึ!”
เมิ่งจงส่งเสียงเยาะเย้ยอย่างเย็นชา ก่อนพาศิษย์ของตนจากไป
จางอวิ๋นไม่ได้ใส่ใจมากนัก เขาหันไปมองสวี่เมิงที่ยืนอยู่กลางลานพิธี สายตาของศิษย์คนนั้นก็มองมาทางเขาเช่นกัน
จางอวิ๋นยิ้มเล็กน้อย “ศิษย์เอ๋ย ขึ้นเขาไปยังยอดเขาที่เก้ากับอาจารย์เถอะ!”
“ขอรับ ท่านอาจารย์!” สวี่เมิงตอบรับเสียงดัง
จางอวิ๋นกระโดดลงจากแท่นสูง พาศิษย์ของเขากำลังจะจากไป แต่ทันใดนั้น เสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวของเขา
“สวี่เมิงผู้นี้ เจ้าจงดูแลให้ดี หากขาดแคลนทรัพยากรก็สามารถมาขอจากข้าได้!”
จางอวิ๋นชะงักเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมอง เจ้าสำนักใหญ่แห่งสำนักเซียนสวรรค์ อีกฝ่ายเพียงปรายตามองมาที่เขา ไม่กล่าวสิ่งใดเพิ่มเติมก่อนจะขี่นกกระเรียนลอยจากไป
จางอวิ๋นลูบคางอย่างครุ่นคิด
“เจ้าสำนักใหญ่ดูเหมือนจะให้ความช่วยเหลือเป็นพิเศษกับข้าสินะ!”
ก็ไม่เลว เขาเองมีทรัพยากรไม่มาก หากมีโอกาสก็ต้องหาเวลาขึ้นไปเยือนยอดเขาของเจ้าสำนักใหญ่ดูบ้างแล้ว!
...