บทที่ 625: ดวงตาลึกลับ
ดูเหมือนเขตที่ 27 จะอันตรายกว่าเขตที่ 25 เยอะเลย เมื่อคิดถึงตอนที่อยู่เขตที่ 25 เธอยังเคยซื้อแผ่นแป้งข้าวโพดหลายชิ้นแต่ไม่มีสัตว์อสูรตัวไหนมาชิงไปเลย มิหนำซ้ำตอนยื่นให้มันยังเมินด้วยซ้ำ... เฉียวซางมองภาพตรงหน้าโดยทำเป็นไม่ใส่ใจ แต่กลับค่อยๆ วางหยาเป่าลงกับพื้นเงียบๆ
หยาเป่าเข้าใจทันที
ในเสี้ยววินาทีต่อมา ร่างของมันค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นกลับสู่ขนาดเดิม
เฉียวซางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผ่อนคลายและสัมผัสได้ถึงความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก
แอรินมองมาอย่างชื่นชม
“ไม่เลวเลย ดูเหมือนสิ่งที่ฉันพูดไปเฉียวซางยังจำได้ดี สำหรับพวกเราในฐานะผู้ฝึกสัตว์อสูร สิ่งแรกที่ควรทำในเขตล่างก็คือการเรียกสัตว์อสูรออกมาเพื่อปกป้องตัวเอง ยิ่งสัตว์อสูรของเราทรงพลังมากเท่าไหร่ สัตว์อสูรป่าก็จะยิ่งไม่กล้าเข้ามาใกล้ การซ่อนพลังของสัตว์อสูรในที่แบบนี้ไม่มีประโยชน์เลย การให้สัตว์อสูรแสดงความแข็งแกร่งของมันออกมาเป็นสิ่งสำคัญ”
“ที่นี่ พวกเธอจะสังเกตได้ว่าแทบไม่มีสัตว์อสูรตัวไหนสวมกำไลปรับขนาดเลย ผู้ฝึกสัตว์อสูรทุกคนจะปล่อยให้สัตว์อสูรอยู่ในร่างที่ควรจะเป็น”
เปล่าเลย ฉันลืมไปแล้ว แค่ปล่อยให้หยาเป่าขยายร่างโดยไม่รู้ตัว เพราะรู้สึกว่ามันปลอดภัยกว่าแค่นั้นเอง... เฉียวซางคิดในใจ แต่ภายนอกทำหน้าราวกับว่าทั้งหมดนี้เป็นแค่เรื่องพื้นฐานเท่านั้น
เพื่อนร่วมชั้นข้างๆ มองหยาเป่าด้วยสายตาที่ละออกจากมันอย่างยากลำบาก ก่อนจะเริ่มประสานมือเรียกสัตว์อสูรของตนออกมา
ยกเว้นถังอี้ ยูนะ และซูเลียส นี่เป็นครั้งแรกที่เพื่อนคนอื่นได้เห็นหยาเป่าในร่างดั้งเดิม
ทั้งความสง่างามและความทรงพลังของมันเหนือกว่าร่างย่อส่วนอย่างสิ้นเชิง ทำให้พวกเขาอดทึ่งไม่ได้
เมื่อทุกคนเรียกสัตว์อสูรของตัวเองออกมาครบแล้ว สัตว์อสูรป่าที่เคยจ้องมองมาด้วยความระแวดระวังกลับละสายตาและไม่สนใจกลุ่มนี้อีกต่อไป
แอรินใช้โอกาสนี้กล่าวว่า
“พวกเธอคือผู้ฝึกสัตว์อสูร แม้ตอนนี้พวกเธอจะยังอ่อนแอ แต่ถ้ารวมตัวกันไว้ด้วยความสามัคคี สัตว์อสูรป่าส่วนใหญ่ที่มีสมองจะไม่กล้าโจมตีผู้ฝึกสัตว์อสูรกลุ่มหนึ่งโดยไม่มีเหตุผล”
เธอหยุดเล็กน้อยก่อนเสริมว่า
“เว้นเสียแต่ว่าพวกเธอไปยั่วยุมันก่อน”
“อาจารย์ค่ะ แล้วพวกเราต้องทำอะไรต่อ?” นักเรียนหญิงคนหนึ่งยกมือถาม
แอรินแสดงสีหน้าจริงจังและกล่าวทีละคำ
“ด้วยตัวพวกเธอเอง จงเดินจากที่นี่ไปยังอาคารหมายเลข 106 ถนนอาวู่ นี่คือเรียนปฏิบัตและออกภาคสนามครั้งสุดท้ายของพวกเธอ”
เฉียวซางได้ยินเช่นนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมานำทางหาจุดหมายทันที
แม้จะเป็นแค่การเดินทางง่ายๆ แต่เธอยังจำได้ดีถึงเหตุการณ์ในเขตที่ 25 เมื่อหญิงสาวคนหนึ่งโดนพ่นน้ำเพราะเผลอไปบังแสงแดดของสัตว์อสูรโดยไม่ได้ตั้งใจ เธอรู้ว่าการเดินทางครั้งนี้อาจไม่ง่ายอย่างที่คิด
แอรินกล่าวต่อ
“พวกเธอจะจับกลุ่มกันหรือออกเดินทางคนเดียวก็ได้ แต่บอดี้การ์ดของพวกเธอจะต้องคอยปกป้องอยู่ห่างๆ ห้ามพวกเขามาเดินปกป้องข้างๆอย่างโจ่งแจ้ง”
“ส่วนฉันจะติดตามดูการแสดงความสามารถของพวกเธอและประเมินจากระยะไกล”
ทันทีที่พูดจบ นักเรียนในชั้นก็เริ่มมองไปรอบๆเพื่อหาคู่หูและเพื่อนร่วมทีม
ในสถานการณ์เช่นนี้ การเลือกคู่หูที่แข็งแกร่งที่สุดย่อมเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุด
เฉียวซางสังเกตว่ามีสายตาหลายคู่จ้องมาที่เธอ
ตอนเรียนวิชาการไม่เห็นหัวกันสักนิด พอทีนี้ล่ะมาหวังพึ่ง... เฉียวซางซึ่งได้รับพลังจากสัญญาย้อนกลับมีการรับรู้ที่แข็งแกร่งและสามารถสัมผัสได้ถึงสายตารอบตัว แม้ว่าเธอจะกำลังก้มมองแผนที่ในโทรศัพท์อยู่ เธอก็แอบยืดตัวขึ้นอย่างมั่นใจ
ในตอนนั้น ถังอี้ถามว่า
“อาจารย์ครับ การจับกลุ่มกับการเดินคนเดียวจะส่งผลต่อคะแนนไหมครับ?”
ทุกคนเงียบและหันไปมองแอริน รอฟังคำตอบ
แอรินยิ้มและตอบว่า
“แน่นอน แต่หลักๆก็จะดูว่าพวกเธอสามารถเข้าใจความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการอยู่ในพื้นที่ป่าและการรับมือกับสัตว์อสูรป่าได้ดีแค่ไหน”
สีหน้าของทุกคนแตกต่างกันออกไป หลายคนเริ่มล้มเลิกความคิดที่จะจับกลุ่ม
เพราะถ้าหลักเกณฑ์การให้คะแนนเป็นแบบนี้ การจับกลุ่มจะทำให้โอกาสแสดงฝีมือของตัวเองลดลง
เช่นกรณีที่สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเอง แต่กลับถูกเพื่อนร่วมทีมแย่งทำไปก่อน ซึ่งจะทำให้เพื่อนคนนั้นได้คะแนนไป
คะแนนจะให้เฉพาะสามอันดับแรก ไม่ใช่สมาชิกของกลุ่ม ดังนั้นหากคนอื่นได้คะแนนมาก ตัวเองก็จะได้คะแนนน้อย
พูดง่ายๆก็คือสุดท้ายแล้วมันเป็นการแข่งเดี่ยว
เฉียวซางตรวจสอบเส้นทางการเดิน 25 กิโลเมตรเสร็จแล้วจึงวางโทรศัพท์ลงและถามว่า “คะแนนจะขึ้นอยู่กับการไปถึงก่อนใช่ไหมคะ?”
“ไม่แน่นอน” แอรินไม่ได้ให้คำตอบชัดเจน
เฉียวซางถามอีกครั้งว่า
“จบบทเรียนนี้แล้วพวกเรากลับได้เลยไหมคะ?”
“แน่นอน” แอรินมองเฉียวซางอย่างขำขันก่อนตอบ:
“หรือเธออยากอยู่ในเขตที่ 27 นี้ต่ออีกสักพัก?”
เฉียวซางไม่ได้พูดอะไรต่อ
ที่เธอเงียบไม่ใช่เพราะอยากไปเดินเล่น แต่เพราะคิดว่ามาถึงที่นี่ทั้งที อาจจะใช้โอกาสนี้พากงเป่ากลับบ้านไปดูสักหน่อย เพราะกงเป่าเคยบอกว่าอยากกลับบ้าน...
เมื่อแอรินเห็นว่าไม่มีใครถามอะไรเพิ่มเติม เธอก็พยักหน้าให้สัตว์อสูรของเธอ
สัตว์อสูรที่ทั้งตัวถูกปกคลุมด้วยเถาวัลย์สีเขียวสั่นตัวเบาๆ แล้วเมล็ดพันธุ์ที่ดูคล้ายเมล็ดพืชกว่าหนึ่งโหลก็ลอยออกมาจากตัวของมัน จากนั้นเมล็ดเหล่านั้นค่อยๆลอยไปยังไหล่ของนักเรียนแต่ละคน
"ดวงตาลึกลับเหล่านี้จะทำให้เถาวัลย์มารลึกลับของฉันสามารถรับรู้ตำแหน่งของพวกเธอได้" แอรินพูดและเว้นจังหวะเล็กน้อย
ในช่วงที่เธอหยุดพูด เมล็ดพันธุ์เหล่านั้นค่อยๆเปิดออก เผยให้เห็นบางสิ่งที่ดูเหมือนลูกตาสีเขียวขนาดเล็ก
เฉียวซางและถังอี้ต่างก้มมองไหล่ของตัวเองด้วยสีหน้าตกตะลึง
ส่วนเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นกลับดูเหมือนไม่ได้ตกใจอะไร และแสดงท่าทีสงบนิ่งกันหมด
แอรินกล่าวต่อว่า
"พร้อมกันนั้น ดวงตาลึกลับพวกนี้จะทำหน้าที่ติดตามและตรวจสอบการเคลื่อนไหวของพวกเธอด้วย"
ทันใดนั้น ความอยากรู้อยากเห็นของเฉียวซางก็พุ่งขึ้นมา
"อาจารย์คะ พวกมันมีชีวิตหรือเปล่า?"
"เปล่า" แอรินตอบ
"นี่เป็นทักษะพิเศษโดยกำเนิดของเถาวัลย์มารลึกลับ เรียกว่าดวงตาลึกลับใช้เพื่อสอดส่องภาพในระยะไกล"
"แล้วพวกมันจะหลุดออกไหมถ้ามีลมพัด?" เฉียวซางถามต่อ
แอรินยิ้มบางๆ ราวกับกลั้นหัวเราะ ก่อนจะตอบว่า
"ไม่หลุด ถ้าไม่พยายามดึงออก มันจะเกาะติดแน่นอยู่กับที่"
เฉียวซางยังคงถามต่อ
"แล้วภาพที่มันบันทึกไว้ อาจารย์ดูผ่านอะไรคะ?"
แอรินมีสีหน้าแปลกประหลาดขึ้นมาเป็นครั้งแรก คล้ายกับรู้สึกจริงจังกับความ "ไม่รู้อะไรเลย" ของเฉียวซางเป็นพิเศษ
เฉียวซางที่ไวต่อความรู้สึก รู้สึกเหมือนใบหน้าของแอรินเขียนคำว่า "เธอไม่รู้เรื่องพวกนี้จริงๆ เหรอ?" ไว้ชัดเจน
มันแปลกขนาดนั้นเลยเหรอที่ฉันไม่รู้? ถ้าเมื่อกี้ไม่อธิบาย ฉันยังไม่รู้เลยว่าสัตว์อสูรตัวนี้เรียกว่าเถาวัลย์มารลึกลับ... ว่าแต่ นี่ถือว่าเป็นความรู้พื้นฐานใช่ไหม? เฉียวซางคิดในใจพลางเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่าอาจจะยังเรียนรู้มาไม่พอ
เสียงของแอรินดังขึ้นอีกครั้ง
"เถาวัลย์มารลึกลับสามารถเห็นภาพที่ดวงตาลึกลับรับรู้ได้โดยตรง และถ้าทักษะดวงตาลึกลับของมันถึงขั้นขั้นสูงสุด ผู้ฝึกสัตว์อสูรก็สามารถเห็นภาพที่มันรับรู้ได้เช่นกัน"
เฉียวซางพอเข้าใจแล้ว
มันก็คล้ายกับความสามารถจิตสัมผัสของหยาเป่า ถ้าฝึกจนชำนาญมากพอ เธอก็สามารถเห็นภาพที่หยาเป่ารับรู้ได้เช่นกัน
แต่ดวงตาลึกลับที่สามารถตรวจสอบหลายจุดพร้อมกันแบบนี้ ถ้าต้องดูทั้งหมดในเวลาเดียวกันจะทำยังไง? หรือมันต้องดูทีละจุด หรือเหมือนระบบกล้องวงจรปิดที่สามารถรวบรวมภาพทั้งหมดไว้ในที่เดียว?
ขณะที่เฉียวซางกำลังจะถามเพิ่มเติม แอรินพูดด้วยความเร็วที่รวดเร็วจนไม่มีช่องว่างให้เธอถามว่า
“เอาล่ะ พูดเท่าที่ควรพูดไปหมดแล้ว ตอนนี้พวกเธอวางแผนกันได้เลยว่าจะจับกลุ่มหรือไปคนเดียว รีบตัดสินใจแล้วออกเดินทางเถอะ”
ทำไมรู้สึกเหมือนคำนี้พูดออกมาเพื่อฉันโดยเฉพาะ... เฉียวซางมองไปรอบๆ พบว่าทุกคนยังยืนนิ่ง ไม่มีใครแสดงท่าทีอยากจับกลุ่ม
ทันใดนั้น ถังอี้เดินเข้ามาใกล้
“จับกลุ่มกันไหม? ถ้าเราร่วมมือกัน ฉันมั่นใจว่าเราจะคว้าที่หนึ่งและสองมาได้แน่นอน”
เฉียวซางมองเขาแวบหนึ่งก่อนตอบ
“แล้วใครจะเป็นที่หนึ่ง ใครจะเป็นที่สอง?”
ถังอี้หัวเราะ “เฮ้เฮ้ แบบนั้นก็ต้องวัดกันที่ฝีมือแล้วล่ะ”
“ไม่จับ” เฉียวซางปฏิเสธอย่างไร้ความลังเล
ถ้าเป็นคนอื่น เธออาจจะพิจารณาบ้าง แต่ถังอี้เนี่ยนะ... สองคนนี้มีความรู้อะไรเกี่ยวกับสัตว์อสูรของอัลติเมทสตาร์พอๆกันเลย การจับกลุ่มกับเขาคงไม่มีประโยชน์ต่อคะแนนแน่ๆ
การจับกลุ่มควรหาคนที่มีความสามารถเสริมกันมากกว่า เธอกับถังอี้ดันมีแนวทางเหมือนกัน แบบนี้มันไม่เข้าท่า
ถังอี้เองก็ไม่ได้บังคับ เขาแค่พูดไปตามสัญชาตญาณที่อยากจับกลุ่มกับคนบ้านเดียวกัน
เฉียวซางกวาดสายตาไปรอบๆอีกครั้ง
ทุกคนที่รู้ตัวว่าถูกมอง ต่างพากันหลบสายตา ไม่กล้ามองสบตากับเธอ
ถ้าก่อนหน้านี้ทุกคนอยากจับกลุ่มกับเฉียวซางที่สุด ตอนนี้กลับเป็นว่าไม่มีใครอยากจับกลุ่มกับเธอเลย
เพราะเมื่อเป็นการแข่งเดี่ยว การจับกลุ่มกับคนที่เก่งที่สุดก็เหมือนเอาโอกาสทั้งหมดไปยกให้เขา
เฉียวซางเบือนสายตากลับมา ไม่คิดจะหาคู่หู
ในไม่ช้า ทุกคนก็เริ่มออกเดินทาง
ถังอี้ขึ้นนั่งบนหลังนกคลุมฟ้าแล้วจากไป
แอรินมองเฉียวซางที่ยังไม่ได้ออกเดินทาง แวบหนึ่งเธอคิดถึงคำถามรัวๆก่อนหน้านี้ของเฉียวซางจนและก็คิ้วกระตุก เดิมทีเธอตั้งใจจะตามเฉียวซางไปเอง แล้วปล่อยให้เถาวัลย์มารลึกลับตามถังอี้ แต่แผนการเปลี่ยนทันที
เธอประสานมือเรียกสัตว์อสูรประเภทบินออกมา ก่อนจะกระโดดขึ้นไปนั่งหลังมัน และเลือกที่จะตามถังอี้ไปแทน
เหลือเพียงเถาวัลย์มารลึกลับอยู่ที่เดิม
“เวน... เวน...”
เถาวัลย์มารลึกลับมองเฉียวซางอย่างสงบนิ่ง รอให้เธอเริ่มออกเดินทาง เพราะมันรู้ดีว่าผู้ฝึกสัตว์อสูรของมันต้องการอะไรจากมัน
เฉียวซางนั่งบนหลังหยาเป่า มองเงาหลังของเพื่อนร่วมชั้นที่เริ่มลับสายตาไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้รีบร้อนออกเดินทาง แต่ประสานมือเรียกกงเป่าออกมา
“ซุนซุน~”
ทันทีที่กงเป่าปรากฏตัว ซุนเป่าก็โผล่มาด้วย มันถอดวงแหวนของมันออก ก่อนจะหยิบหมวกผ้านุ่มๆจากด้านในแล้วยื่นให้
“กงกง”
กงเป่ารับหมวกนั้นมาอย่างสงบและสวมลงบนหัวตัวเอง
ช่วงนี้มันเริ่มชินกับการถูก "บังคับ" ให้สวมหมวกทุกวันแล้ว
ในตอนนั้นเอง เฉียวซางพูดขึ้นว่า:
“กงเป่าเรามาถึงเขตที่ 27 แล้วนะ”
“กง... กง...”
กงเป่าชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหันมองไปรอบๆอย่างรวดเร็ว
มันแสดงสีหน้าไม่อยากเชื่อออกมา
จริงๆด้วย นี่มันเขตที่ 27 นี่นา...