บทที่ 619: แผนการช่วยเหลือ
ในห้องเรียนชั้นปีสามห้องหก
ทันทีที่เฉียวซางก้าวเท้าเข้ามาในห้องเรียนและหย่อนตัวนั่งลงที่โต๊ะของเธอเอง กลุ่มเพื่อนร่วมห้องก็รีบกรูกันเข้ามาล้อมรอบเธอทันที
“การทดสอบเป็นยังไงบ้าง?”
“สอบเข้ามหาวิทยาลัยจงคงบนบลูสตาร์เหรอ?”
“ทำไมไม่ลองไปสมัครที่มหาวิทยาลัยไมเออร์ตันดูล่ะ? ที่นั่นก็ชื่อดังมากเลยนะ”
“หรือจะเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่นี่เลยก็ดีนะ สะดวกสบายจะตายไป”
ตั้งแต่ตอนที่เฉียวซางช่วยโรงเรียนมัธยมปลายไซแนนท์คว้าชัยอันดับหนึ่งในการแข่งขันกระชับมิตรการต่อสู้แบบทีม ความสนใจที่เพื่อนๆมีต่อเธอก็เพิ่มสูงขึ้นจนเห็นได้ชัด ราวกับบรรยากาศในตอนนั้นกลับมาคล้ายกับช่วงเวลาที่เธอเคยเป็นดาวเด่นที่โรงเรียนมัธยมเซินซุ่ยอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม เฉียวซางไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองถูกรบกวนเลยสักนิด เธอเพียงแค่ยิ้มและพูดคุยกับเพื่อนๆ อย่างเป็นกันเองตามปกติ
จู่ๆ เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งก็ถามขึ้นมาด้วยความอยากรู้
“เขตที่ 25 อันตรายไหม?”
เรื่องการไปสอบในเขตที่ 25 นั้น ถังอี้เคยพูดไว้ในกลุ่มแชทของห้องเรียนตอนที่มีคนถามถึงแล้ว มันเลยไม่ใช่เรื่องลับอะไร
เฉียวซางนึกถึงภาพของอาจารย์คุมสอบที่ดูเหมือนมัมมี่ แล้วพยักหน้าเบาๆ พลางตอบว่า
“ค่อนข้างอันตรายเลยล่ะ”
เมื่อได้ยินคำตอบแบบนั้น เพื่อนๆที่ยืนล้อมรอบอยู่ก็เริ่มฮือฮากันขึ้นมาทันที
“ดูท่าว่าตอนที่ต้องไปเรียนภาคสนามในคาบสุดท้าย คงต้องให้ที่บ้านหาคนเก่งๆ มาคอยคุ้มกันให้สักสองสามคนแล้วล่ะ”
“ถ้าคอยให้คนอื่นมาคุ้มกันแบบนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการพึ่งพาคนอื่นตลอดเวลาเลยนะ”
“นายจะไม่ให้คนมาคุ้มกันก็เรื่องของนาย แต่ฉันต้องหาเพิ่มอีกแน่ๆ เพราะได้ยินมาว่าสถานที่เรียนภาคสนามคาบสุดท้ายมันถูกกำหนดแล้วว่าเป็นเขตที่ 27 ซึ่งอันตรายกว่าเขตที่ 25 ซะอีกนะ”
เขตในช่วงตัวเลขต่ำๆ มักจะเป็นพื้นที่ที่อันตรายทั้งนั้น แต่ถ้าจะให้จัดอันดับกันจริงๆ คนส่วนใหญ่ก็มักจะเชื่อว่าพื้นที่ที่มีหมายเลขสูงกว่ามักจะอันตรายยิ่งกว่า
“เขตที่ 27…” เฉียวซางชะงักไปเล็กน้อย
นั่นมันไม่ใช่ที่ที่กงเป่าจากมาเหรอ?
ในตอนนั้นเอง เสียงกริ่งบอกเวลาเริ่มคาบเรียนก็ดังขึ้นเฉียวซางจึงละความคิดเรื่องนี้ไป แล้วตั้งสมาธิกับการเรียนแทน
ระหว่างที่กำลังเรียนอยู่ถังอี้เอาแต่ก้มหน้ากดโทรศัพท์ไม่หยุด จนกระทั่งหมดคาบเรียน จู่ๆเขาก็เอามือตบไหล่เฉียวซาง
เฉียวซางหันกลับไปมองอย่างงุนงง ก่อนที่เขาจะยื่นโทรศัพท์มาให้พร้อมพูดว่า
“สุดสัปดาห์นี้มีงานกิจกรรมคู่สัตว์อสูรแบบฝ่าด่าน อยากไปด้วยกันไหม?”
“กิจกรรมฝ่าด่านเหรอ?”เฉียวซางถามด้วยความสงสัย
“ก็พวกกิจกรรมที่จัดโดยสถานีโทรทัศน์ไง ถ้าฝ่าด่านได้ก็มีของรางวัลด้วยนะ” ถังอี้อธิบาย
“ไม่สนใจ”เฉียวซางตอบกลับทันที ก่อนจะหันกลับไปทำเรื่องของตัวเองต่อ แต่พอผ่านไปแค่เสี้ยววินาที เธอก็หันกลับมาถามใหม่
“ว่าแต่อย่าบอกนะว่า...นายสนใจ?”
ถังอี้พูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ และสีหน้าที่ดูเขินๆ
“ฉันไม่ได้อยากได้ของรางวัลอะไรหรอกนะ แค่คิดว่าถ้าได้ลองฝ่าด่านนี้ อาจจะช่วยให้ฉันกับเจ้าสิงโตพิษน้ำมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นก็ได้…”
เฉียวซางมองถังอี้ด้วยความงุนงงเล็กน้อย พร้อมเอียงศีรษะอย่างสงสัย
“การฝ่าด่านมันช่วยให้ความสัมพันธ์กับสัตว์อสูรดีขึ้นได้จริงเหรอ?”
ถังอี้หัวเราะเบาๆ ก่อนจะเริ่มอธิบาย
“สัตว์อสูรบนอัลติเมทสตาร์น่ะ ส่วนใหญ่แทบจะไม่มีตัวอย่างที่สามารถวิวัฒนาการด้วยสายสัมพันธ์ได้เลย แต่ถึงอย่างนั้นคนที่นี่ก็ยังไม่ยอมละความพยายาม พวกเขาเลยจัดกิจกรรมพวกนี้ขึ้นมาเพื่อหวังว่าสักวันจะสามารถสร้างสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งระหว่างสัตว์อสูรกับผู้ฝึกได้”
เฉียวซาง จ้องมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“แต่ฉันว่า...นายไม่น่าจะต้องพึ่งกิจกรรมแบบนี้นี่นา”
“แค่อยากลองดูน่ะ” ถังอี้ เกาท้ายทอยของตัวเองด้วยความเขินอาย
“อยู่ที่ไหนก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมของที่นั่น อีกอย่างสิงโตพิษน้ำของฉันยังไม่มีตัวอย่างที่วิวัฒนาการด้วยสายสัมพันธ์มาก่อนเลย ฉันก็เลยคิดว่า...ถ้าฉันลองทำ บางทีฉันอาจจะเป็นคนแรกที่ทำสำเร็จก็ได้”
คำพูดของเขาทำให้เฉียวซางแปลกใจไม่น้อย เธอมองเขาด้วยสายตาที่มีความทึ่งปนอยู่
“ไม่คิดเลยว่านายจะมีความมุ่งมั่นแบบนี้”
ถังอี้หัวเราะแห้งๆ พลางพูดต่อ
“ที่จริงแล้วก็มีตัวอย่างจากคนที่มาจากดาวดวงอื่นนะ พวกเขาทำให้สัตว์อสูรจากอัลติเมทสตาร์วิวัฒนาการด้วยสายสัมพันธ์สำเร็จมาแล้วหลายครั้ง”
พูดจบ เขาก็ดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ทันที ก่อนจะหันไปถามเธอด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น
“ว่าแต่...เธอเองก็มีเหยี่ยวเกราะเหล็กอยู่ใช่ไหม? ไม่อยากลองดูบ้างเหรอว่ามันจะวิวัฒนาการด้วยสายสัมพันธ์ได้หรือเปล่า?”
เฉียวซางฟังแล้วก็เกิดความลังเลขึ้นมาชั่วครู่ แต่สุดท้ายเธอก็พยายามระงับความอยากรู้อยากเห็นของตัวเอง
“การวิวัฒนาการด้วยสายสัมพันธ์ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ”
ตามที่เธอคำนวณไว้จากการเพิ่มคะแนนในแต่ละวัน กงเป่าน่าจะสามารถวิวัฒนาการได้ในอีกประมาณ 20 วัน ไม่ว่าสายพันธุ์ของเหยี่ยวเกราะเหล็กจะมีเส้นทางวิวัฒนาการด้วยสายสัมพันธ์หรือไม่ การจะสร้างสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งพอที่จะทำให้มันวิวัฒนาการในช่วงเวลาสั้นๆ แบบนี้เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงสัตว์อสูรที่มีความฉลาดสูงอย่างกงเป่า ความเป็นไปได้นั้นก็ยิ่งลดน้อยลงไปอีก
...
แม้ว่าเธอจะพูดแบบนั้น แต่ทุกครั้งที่เห็นกงเป่าเธอก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
การที่สัตว์อสูรบนอัลติเมทสตาร์วิวัฒนาการด้วยสายสัมพันธ์ได้ยาก เป็นผลมาจากความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับสัตว์อสูรที่สะสมมาอย่างยาวนาน จนกลายเป็นปัญหาที่ฝังลึก แม้ว่าจะมีคนพยายามศึกษาวิธีการวิวัฒนาการด้วยสายสัมพันธ์ แต่เพราะจุดประสงค์ที่ไม่บริสุทธิ์และเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว สิ่งเหล่านั้นก็เลยล้มเหลวในที่สุด
ดังนั้นสัตว์อสูรที่สามารถวิวัฒนาการด้วยสายสัมพันธ์บนอัลติเมทสตาร์ได้จึงมีจำนวนน้อยมาก แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าสัตว์อสูรที่นี่จะไม่มีเส้นทางวิวัฒนาการแบบนี้เลย
อย่างที่ถังอี้พูด ตัวอย่างจากคนที่มาจากดาวดวงอื่นที่ทำให้สัตว์อสูรบนอัลติเมทสตาร์วิวัฒนาการด้วยสายสัมพันธ์สำเร็จมีให้เห็นอยู่จริง
ตัวอย่างที่โด่งดังที่สุดก็คือพิตตี้ ไนท์ลีย์ นักแสดงชื่อดังระดับโลกจากบลูสตาร์ เธอเคยทำให้สัตว์อสูรจากอัลติเมทสตาร์วิวัฒนาการด้วยสายสัมพันธ์สำเร็จเป็นครั้งแรก และนั่นก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอโด่งดังระดับนานาชาติ
ในหอพัก กงเป่ากำลังก้มหน้าก้มตาอย่างตั้งอกตั้งใจ ป้อนพริกพิเศษที่เผ็ดร้อนสุดๆให้กับเจ้าอสูรกำเนิดแร่ซึ่งกำลังกินอย่างเพลิดเพลิน ทันใดนั้นเอง มันก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องมาจากผู้ฝึกสัตว์อสูรของมัน สายตานั้นชวนให้รู้สึกแปลกประหลาดจน กงเป่า อดไม่ได้ที่จะหันหัวกลับไปมองขนของตัวเอง
“กงกง?”
หรือว่า... มันเริ่มตัวโกร๋นไปแล้วจริงๆ?
ในขณะที่กงเป่ากำลังจมอยู่ในความสับสนและกังวลอยู่นั้น จู่ๆเฉียวซางก็เอ่ยถามขึ้นมา
“แกคิดว่าฉันเป็นคนยังไง?”
“กงกง”
กงเป่าหยุดนิ่งไปครู่หนึ่งเหมือนกำลังคิด ก่อนจะส่งเสียงตอบเบาๆ ราวกับบอกว่า “เป็นคนดี”
คำตอบนี้อีกล่ะ... มันเหมือนปิดประตูความหวังเรื่องวิวัฒนาการด้วยสายสัมพันธ์ของเธอไปได้เลยทีเดียว คำว่า “คนดี” เป็นเพียงคำชมแบบกว้างๆ ที่ไม่ได้บ่งบอกอะไรเป็นพิเศษเลยสักนิด มันเป็นคำที่คลุมเครือและไม่ได้แสดงถึงความประทับใจที่ชัดเจนในใจของสัตว์อสูรเลยแม้แต่น้อยเฉียวซางเลยตัดสินใจเลิกคิดเรื่องวิวัฒนาการด้วยสายสัมพันธ์ไปอีกครั้ง แล้วก้มหน้ากลับไปทำโจทย์ที่ค้างไว้อยู่ต่อ
“กงกง...”
กงเป่าหยุดการขยับปีกของมัน ก่อนจะมองไปที่เฉียวซางด้วยสายตาครุ่นคิด
มันรู้สึกว่าผู้ฝึกสัตว์อสูรของมันวันนี้ดูแปลกๆไปจากปกติ...
“ย่าห์!”
จู่ๆหยาเป่าที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ก็หันไปจ้องนอกหน้าต่าง พร้อมกับส่งเสียงคำรามขึ้นมาอย่างดุดัน
เฉียวซางสะดุ้งจนเธอวางปากกาลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะรีบเดินตรงไปที่หน้าต่าง มองออกไปข้างนอกอย่างระมัดระวังและรอบคอบ
ด้วยประสาทการฟังที่ยอดเยี่ยมของหยาเป่าถ้ามันบอกว่าข้างนอกมีอะไรบางอย่าง แปลว่ามันต้องได้ยินอะไรบางอย่างจริงๆ แน่นอน
แม้ว่าที่นี่จะเป็นโรงเรียน แต่บนอัลติเมทสตาร์ก็เต็มไปด้วยสัตว์อสูรป่ามากมาย แม้กระทั่งในเขตบนๆที่มีการควบคุมสัตว์อสูรป่าอย่างเข้มงวดก็ไม่ได้หมายความว่าสัตว์อสูรป่าจะปลอดภัยเสมอไป
“คงเป็นสัตว์อสูรป่าตัวไหนผ่านมาเมื่อกี้มั้ง” เฉียวซางหันกลับมาพูดหลังจากมองออกไปข้างนอกแล้วไม่เห็นอะไรผิดปกติ
“ย่าห์ ย่าห์”
หยาเป่าฟังแล้วพยักหน้ารับเบาๆ มันมั่นใจว่าผู้ฝึกสัตว์อสูรของมันไม่มีทางผิดพลาดแน่นอน จึงผ่อนคลายตัวเองและกลับไปกินเม็ดพลังงานของมันต่ออย่างสบายใจ
...
ในเวลาเดียวกัน
ที่ขอบหน้าต่างชั้นสี่ด้านนอก มีสัตว์อสูรป่าตัวหนึ่งที่ตัวดำสนิท มันกำลังยกมือขึ้นเช็ดผลึกที่โผล่ออกมาจากหน้าผากของตัวเอง
สองชั่วโมงต่อมา
ไฟในห้องบนชั้นสี่ดับลง
สัตว์อสูรตัวนั้นเมื่อเห็นว่าไฟดับแล้วก็ยื่นแขนทั้งสองข้างออกมาอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เริ่มปีนขึ้นไปยังชั้นห้า
เมื่อปีนมาถึงชั้นห้า มันมองเห็นไฟในห้องยังคงเปิดสว่างอยู่ มันถึงกับสะดุ้งด้วยความตกใจ และรีบปีนกลับลงไปอย่างรวดเร็ว
แต่หลังจากปีนลงไปได้สักพัก มันเริ่มรู้สึกว่าเหมือนจะไม่มีใครสังเกตเห็นมันเลย มันจึงปีนกลับขึ้นมาอีกครั้งด้วยความระมัดระวังมากกว่าเดิม
คราวนี้สัตว์อสูรตัวนั้นรวบรวมความกล้าทั้งหมดของมัน ก่อนจะสอดสายตาเข้าไปมองในห้องอย่างระวัง
มันเห็นว่า สัตว์อสูรที่น่ากลัวตัวนั้นหลับไปแล้ว
“ชานชาน...”
สัตว์อสูรป่าตัวนั้นถอนหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความโล่งอก จากนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตารออย่างอดทน
จากนี้มันต้องรอให้มนุษย์คนนั้นหลับสนิทก่อน แล้วค่อยเริ่มแผนการช่วยเหลือทันที!
และการรอคอยครั้งนี้ก็ยาวนานจนกระทั่งรุ่งเช้า...