บทที่ 175 บุตรสาวตระกูลขุนนาง เยวี่ยหมิงหวัง (ต้น-ปลาย)
ภารกิจที่หยางโจวนั้นกินเวลานานกว่าหนึ่งเดือน ในที่สุด จางจิ่วหยางและเยวี่ยหลิงก็พบสิ่งที่จ้าวหน้ากากเฝ้าดูแลอยู่ เสมือนสายหมอกที่ถูกเปิดออกจนกระจ่างชัด
“ภูเขาเสินจวี้ ว่ากันว่าในยุคโบราณมีเทพอาศัยอยู่ที่นี่ จึงได้ชื่อนี้มา แต่ปัจจุบันไม่มีสิ่งพิเศษใด ๆ อยู่เลย แปลกจริง จ้าวหน้ากากเฝ้าภูเขานี้ไว้ทำไม?”
“หรือว่าเทพในตำนานเคยทิ้งสมบัติอะไรไว้ในภูเขานี้?”
เยวี่ยหลิงคาดเดา
“เป็นไปได้มาก”
จางจิ่วหยางพยักหน้า “เกี่ยวกับเทพในตำนาน เจ้ารู้เรื่องอะไรบ้าง?”
เยวี่ยหลิงส่ายหน้าและตอบ “เวลาผ่านมานานมาก เรื่องนี้เป็นเพียงตำนาน หากข้าจำไม่ผิด ปัจจุบันภูเขาเสินจวี้ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ”
“ก็จริง หากเทพทิ้งสมบัติไว้จริง ๆ ตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา คงมีข่าวเล็ดลอดออกมาบ้างแล้ว”
“แต่ไม่ว่าจะมีอะไรซ่อนอยู่ในภูเขาเสินจวี้ มันต้องเป็นสิ่งที่จ้าวหน้ากากเฝ้าดูแลอยู่ ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้ว”
จางจิ่วหยางยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “เราไม่จำเป็นต้องได้สิ่งนั้นมา หรือแม้แต่จะรู้ว่ามันคืออะไร เพียงแค่รู้ว่ามันอยู่ที่นี่ก็พอแล้ว”
เยวี่ยหลิงมองเขาและยิ้มตอบ
เธอเข้าใจสิ่งที่จางจิ่วหยางหมายถึง การที่จ้าวหน้ากากเฝ้าสิ่งนั้นมาตลอดหลายปีแสดงว่าต้องมีข้อจำกัดบางอย่างที่ทำให้เขาไม่สามารถนำสิ่งนั้นออกไปได้
ในเวลาอันสั้น พวกเขาคงไม่สามารถเอาสิ่งนั้นมาได้เช่นกัน
แต่วัตถุประสงค์ของพวกเขาไม่ใช่สิ่งที่จ้าวหน้ากากเฝ้าอยู่ แต่เป็นตัวจ้าวหน้ากากเองที่ถูกล่อให้เข้ามา
ถ้าภูเขาเสินจวี้เกิดเหตุการณ์บางอย่าง เช่น แผ่นดินแยก ภูเขาถล่ม หรือการต่อสู้ของผู้ฝึกตน จ้าวหน้ากากจะปรากฏตัวหรือไม่?
ด้วยความสำคัญของสิ่งนั้น เขาจะต้องปรากฏตัวแน่นอน!
และเมื่อเขากล้าปรากฏตัว สิ่งที่รอเขาอยู่ก็คือกับดักสังหารของฉินเทียนเจี้ยนที่จัดเตรียมไว้อย่างเต็มกำลัง!
“จากนี้ไปคือแผนขั้นที่สอง การสังหาร”
จางจิ่วหยางกล่าวด้วยเสียงหนักแน่น “ขั้นตอนนี้ต้องเตรียมตัวให้พร้อมทุกด้าน จำนวนคนไม่สำคัญเท่าความสามารถ ผู้ที่จะเข้าร่วมการลอบสังหารต้องเป็นผู้มีฝีมือชั้นยอด และไว้ใจได้”
“จะดีที่สุดหากสามารถจัดวางค่ายกลสังหารระดับสูงเพื่อดักจับ และป้องกันไม่ให้เขาหลบหนีได้”
การจะกำจัดจ้าวหน้ากาก ผู้มีพลังระดับภัยพิบัติ จำเป็นต้องมีกับดักที่สมบูรณ์แบบ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีข้อผิดพลาด มิฉะนั้น หากพลาดโอกาสครั้งนี้ การจะสร้างโอกาสใหม่คงเป็นไปได้ยาก
“ข้าเข้าใจ ช่วงนี้เราจะยังไม่เคลื่อนไหวมากนัก การค้นหาจะดำเนินไปตามปกติ เพียงแค่หลีกเลี่ยงภูเขาเสินจวี้ไว้ก่อน เพื่อไม่ให้เกิดความสงสัย”
“ข้าจะพยายามขอความช่วยเหลือจากหลิงไถหลางและเจี้ยนโหวที่ข้าไว้วางใจ และอาจจะเชิญเจี้ยนเจิ้งมาร่วมด้วย เพื่อป้องกันการรั่วไหลของข่าว ข้าจะยังไม่บอกพวกเขาถึงแผนการที่แท้จริง”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ จางจิ่วหยางมีแววตาสว่างวาบ
หากเจี้ยนเจิ้งจูเก๋ออวิ๋นหู่แห่งฉินเทียนเจี้ยนสามารถมาเข้าร่วมได้ โอกาสที่จะประสบความสำเร็จย่อมเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ว่ากันว่าเขาเป็นหลานรุ่นที่หกของจูเก๋อชีชิง เป็นสายเลือดโดยตรงของตระกูลจูเก๋อ และยังเป็นหัวหน้าตระกูลคนปัจจุบัน ชีวิตของเขานั้นเต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าทึ่ง ในวัยหนุ่มเขาหลงใหลศาสตร์ฮวงจุ้ย การคำนวณภูมิศาสตร์ และค่ายกลกลไกอื่น ๆ จนละเลยการฝึกฝนพลังตนเอง กว่าจะบรรลุขั้นที่สี่ได้ก็อายุปาเข้าไปห้าสิบปี
อย่างไรก็ตาม เขาสามารถเชื่อมโยงความรู้เหล่านั้นเข้าด้วยกันจนบรรลุถึงจุดสูงสุด เมื่อวันหนึ่งเขาเกิดความเข้าใจแจ่มแจ้งและทะลวงสองขั้นภายในสิบปีจนสะเทือนแผ่นดิน เหล่าขุนนางต่างแนะนำเขาให้รับตำแหน่งเจี้ยนเจิ้งแห่งฉินเทียนเจี้ยน
แต่น่าเสียดายที่ในเหตุการณ์คดีจวนติ้งกั๋วกง เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจนไม่อาจรักษาได้ และยังคงส่งผลต่อรากฐานพลังของเขา แม้เวลาผ่านไปสิบปี เขาก็ยังไม่สามารถบรรลุขั้นที่เจ็ดได้ และบาดแผลยังไม่ได้รับการรักษาอย่างสมบูรณ์
แต่อาการบาดเจ็บไม่ได้สำคัญนัก จางจิ่วหยางเคยได้ยินมาว่าจูเก๋ออวิ๋นหู่เป็นจ้าวค่ายกลที่หาได้ยากในยุคนี้ หากเขาสามารถมาช่วยวางค่ายกลล่วงหน้า โอกาสที่จะประสบความสำเร็จย่อมเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน!
“ดี เช่นนั้นพวกเรารออีกสักหน่อยเถอะ”
“เมฆหมอกที่ปกคลุมอยู่เหนือหัวเรา กำลังจะจางหายไปแล้ว”
จางจิ่วหยางถอนหายใจยาว รู้สึกเหมือนสิ่งที่คอยขวางกั้นมานานกำลังจะสลายไป แต่เขาก็รู้ดีว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะผ่อนคลาย
ในช่วงเวลาที่เยวี่ยหลิงกำลังจัดการเรียกตัวกำลังเสริม เขาจำเป็นต้องเร่งฝึกฝนคัมภีร์ตาทิพย์ของหลิงกวนให้สำเร็จ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของตนเอง!
เยวี่ยหลิงมองเขาอย่างเงียบ ๆ แววตาเต็มไปด้วยความหวั่นไหว
เขาได้สร้างปาฏิหาริย์ขึ้นอีกครั้ง หลังจากมาถึงหยางโจว เขาก็สามารถไขปริศนาที่ติดขัดมานานได้อย่างง่ายดาย
เหตุการณ์ต่อมาก็เป็นไปตามที่เขาวางแผนไว้ทุกประการ
ศัตรูที่เคยทำให้เธอรู้สึกว่ายากเกินจะรับมือ ตอนนี้กลับเริ่มเห็นความหวังแห่งชัยชนะ ความมืดที่ปกคลุมแผ่นดินต้าเชียนกำลังจะถูกขจัดไป
ด้วยพลังในขั้นที่สาม แต่กลับสามารถวางแผนสังหารศัตรูในขั้นที่หกได้!
และดูเหมือนว่าเขากำลังจะทำสำเร็จด้วย
“จางจิ่วหยาง ยังดีที่มีเจ้า”
เธอกล่าวอย่างจริงใจ ยังดีที่จางจิ่วหยางคือเพื่อน ไม่ใช่ศัตรูของเธอ
“เรื่องยังไม่สำเร็จ ตอนนี้กล่าวขอบคุณข้าก็ยังเร็วเกินไป หากสามารถฆ่าจ้าวหน้ากากได้สำเร็จ เจ้าต้องเลี้ยงเหล้าข้าให้เมาจนลืมตัว”
เยวี่ยหลิงยิ้มบาง กำลังจะเอ่ยคำตอบ แต่เสียงของจางจิ่วหยางกลับดังขึ้นอีกครั้ง
“แน่นอน หากเจ้าจะขอบคุณข้าตอนนี้ ข้าก็ไม่ว่าอะไร”
จางจิ่วหยางก้าวเข้ามาใกล้ แววตาของเขาส่องประกายแรงกล้า ระยะห่างระหว่างเขากับเยวี่ยหลิงที่เดิมก็ใกล้อยู่แล้ว ตอนนี้เหลือเพียงไม่กี่ก้าว
“เจ้า…เจ้าจะทำอะไร?”
เยวี่ยหลิงไม่ได้ถอยห่าง แต่กลับวางมือบนด้ามดาบมังกรหงส์ ใบหน้าที่งดงามของเธอขึ้นสีเล็กน้อย ดวงตาที่เปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นของเธอคลายลงเล็กน้อย
หัวใจของเธอเต้นเร็วขึ้น เขาคิดจะ…ลวนลามข้า?
เขาไม่กลัวตายหรือ?
ถ้าเขากล้าทำจริง ๆ ข้าควรหักขาเขาดีไหม?
หรือจะ…แกล้งร่วมมือไปก่อน แล้วค่อยหักขาเขาทีหลัง?
ในขณะที่เยวี่ยหลิงกำลังคิดไม่ตก จางจิ่วหยางก็ยื่นมือมาตบไหล่ของเธอและยิ้ม
“เยวี่ยหลิง ข้าแค่จะพูดถึงเรื่องเมื่อครู่ ข้ายังอยากได้เบ้าหลอมสักใบ เจ้าเส้นสายเยอะ รวยด้วย ช่วยข้าหน่อยเถอะ”
“อ้อ ตอนเผาไฟ ข้าอาจต้องให้เจ้าช่วยเติมฟืนและพัดลมโหมไฟด้วย”
เยวี่ยหลิง: “...”
“ไม่ได้หรือ? ขนาดพวกเราสนิทกันขนาดนี้ ยังไม่ช่วยข้าอีกหรือ?”
เยวี่ยหลิงสูดหายใจลึก ใบหน้าของเธอเปรียบดั่งหยกเย็น เสียงของเธอเยือกเย็น
“ได้ ข้าจะช่วยเจ้าหาเบ้าหลอมที่ดีที่สุด เติมฟืนให้ไฟแรงที่สุดด้วย”
จางจิ่วหยางชะงักเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเหตุใด ทั้งที่ยังไม่เริ่มฝึกคัมภีร์ตาทิพย์ของหลิงกวน เขาก็เริ่มรู้สึกถึงความร้อนระอุ
“จริง ๆ แล้ว ไม่ต้องแรงขนาดนั้นก็ได้...”
“หึหึ”
....
ยามเย็นของวันถัดมา
ตระกูลเสิ่นขึ้นชื่อเรื่องความรวดเร็วในการจัดการ ทุกอย่างไม่เกินความคาดหมาย เบ้าหลอมขนาดใหญ่ถูกนำมาส่งถึงมือโดยสมบูรณ์ ว่ากันว่าเบ้าหลอมนี้ถูกซื้อมาในราคาสูงลิบจากสำนักบำเพ็ญตนแห่งหนึ่ง
เบ้าหลอมนี้มีความยาวสามจั้ง กว้างเจ็ดฉื่อ ทำจากเหล็กดำแกะสลักลวดลายมังกรพันลำตัว พื้นที่ภายในกว้างขวางมากพอจะบรรจุคนได้หนึ่งคน
อย่างไรก็ตาม จางจิ่วหยางยังไม่ได้เริ่มฝึกฝนในทันที แต่กลับอาบน้ำชำระร่างกาย สวมใส่ชุดแพรไหมสีขาวดั่งแสงจันทร์ สวมมงกุฎหยก ประดับด้วยขลุ่ยหยกที่เอว ดูเหมือนกำลังเตรียมตัวไปร่วมงานเลี้ยงบางอย่าง
สาวใช้ที่ผ่านไปมาต่างเหลือบมองด้วยความสนใจ บางคนยังเรียกเขาว่า “คุณชายเขย”
แรก ๆ จางจิ่วหยางยังพยายามแก้ไข แต่สุดท้ายก็ค่อย ๆ ชินไป
เขาเดินมาถึงหน้าห้องของเยวี่ยหลิงและยืนรออย่างเงียบ ๆ
ว่ากันว่าห้องของแม่ทัพหญิงนั้นไม่เหมือนห้องคนทั่วไป สวนหน้าบ้านไม่ได้มีภูเขาจำลองหรือสายน้ำไหลผ่าน หรือดอกไม้เขียวขจี แต่เต็มไปด้วยอาวุธทั้งสิบแปดชนิด ทั้งดาบ หอก กระบี่ ง้าว
นอกจากนี้ยังมีเสาไม้ฝึกซ้อมที่ถูกฟันจนแตกกระจาย
เขาหันไปมองเสาไม้บางต้นด้วยความแปลกใจ
เสาไม้อันหนึ่งดูเหมือนจะมีใบหน้าคล้ายเขาเสียด้วย?
ในขณะที่จางจิ่วหยางกำลังสังเกตสิ่งต่าง ๆ ประตูห้องของเยวี่ยหลิงก็เปิดออกอย่างช้า ๆ หญิงชราผู้หนึ่งเดินออกมาพร้อมไม้เท้า เมื่อเธอเห็นจางจิ่วหยางที่สง่างามและหล่อเหลา ก็อดที่จะยิ้มอย่างพอใจไม่ได้
ตระกูลเสิ่นขึ้นชื่อเรื่องสายเลือดที่งดงาม บรรพบุรุษของตระกูลเคยมีทั้งกวีและหญิงงามลือนาม จึงมีคำสอนตกทอดมาว่า ผู้ที่ลูกหลานจะสมรสด้วยต้องมีรูปลักษณ์และจิตใจที่สูงส่ง
หญิงชราผู้นี้ดูเหมือนจะพอใจกับจางจิ่วหยางมาก
“หลิงเอ๋อ ออกมาเร็วเข้า!”
เธอโบกมือเรียกเยวี่ยหลิงให้ออกมา
น่าแปลกที่แม่ทัพหญิงผู้แข็งกร้าวและดุดัน กลับมีท่าทีอิดออดเล็กน้อยก่อนจะก้าวออกมาจากประตูห้อง
จางจิ่วหยางถึงกับตกตะลึงเมื่อเห็นเธอ
นี่คือ...เยวี่ยหลิง?
เรือนผมยาวสยายดั่งม่านน้ำตก สีดำขลับราวไหม ทรงผมเรียบง่ายถูกประดับด้วยปิ่นหยกแกะสลักลวดลายดอกบัวที่แกว่งไปมาตามจังหวะการเดิน งดงามจนยากจะบรรยาย
ชุดกระโปรงไหมสีเขียวอ่อนพริ้วไหวเหมือนเมฆหมอก เน้นให้เห็นรูปร่างที่สง่างามและเพรียวยาวของเธอ
ที่น่าตะลึงที่สุดคือใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอาง แม้จะแต่งเบา ๆ แต่ก็งดงามอย่างยิ่ง คิ้วดาบที่เคยคมเข้มดูอ่อนลงเล็กน้อย เพิ่มเสน่ห์ให้ใบหน้า ยิ่งมองยิ่งดึงดูดสายตา
หญิงงามผู้นี้ที่ดูเหมือนบุตรีตระกูลสูงศักดิ์ กลับเป็นแม่ทัพผู้โด่งดังในนาม “หมิงหวัง” เยวี่ยหลิง เทพปราบปีศาจ?
“ท่านยายเป็นคนบังคับให้ข้าแต่งหน้า”
เยวี่ยหลิงถอนหายใจเล็กน้อยเมื่อเจอกับจางจิ่วหยาง แววตาเต็มไปด้วยความลำบากใจ แต่ท่าทางของเธอยังคงแฝงความองอาจในทุกอิริยาบถ
“เด็กคนนี้ เจ้าจะออกไปเที่ยวชมโคมไฟกับคู่หมั้นทั้งที จะไม่แต่งตัวให้ดูดีหน่อยหรือ? แต่งแบบนี้ไม่ดีหรือไร?”
หญิงชราตบบ่าเธอเบา ๆ และหันไปมองจางจิ่วหยาง
“เสี่ยวจิ่ว เจ้าคิดว่าเยวี่ยหลิงในวันนี้เป็นอย่างไร?”
จางจิ่วหยางพยักหน้ารัว ๆ และตอบว่า “ท่านยายช่างมีฝีมือ เยวี่ยหลิงในวันนี้ ข้าจำแทบไม่ได้เลย ราวกับนางฟ้าลงมาจากสวรรค์”
จางจิ่วหยางไม่ได้กล่าวคำชื่นชมเกินจริง เมื่อเปรียบเทียบกับงานเลี้ยงวันเกิดคราวก่อน แม้ว่าในครั้งนั้นเยวี่ยหลิงจะสวมชุดสตรีเช่นกัน แต่การแต่งหน้ากลับไม่ได้งดงามและละเอียดอ่อนเช่นครั้งนี้
ตอนนี้เธอราวกับกลายเป็นคนละคน แม้แต่บุคลิกก็เปลี่ยนไป หากท่านหญิงผู้เฒ่าเสิ่นอยู่บนโลกยุคปัจจุบัน เธอคงเป็นปรมาจารย์ด้านความงามอย่างแน่นอน!
เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของจางจิ่วหยางที่มองมาไม่หยุด เยวี่ยหลิงจึงฮึดฮัดเบา ๆ และกล่าวว่า “เจ้าช่างปากหวาน”
แต่ในใจของเธอกลับรู้สึกต่อต้านการแต่งตัวเช่นนี้น้อยลง
“เทศกาลโคมไฟของหยางโจวนั้นคึกคักที่สุด มีคู่รักมากมายที่ออกมาเล่นเกมทายคำ ปล่อยโคมไฟ ขอพรเรื่องความรัก สมัยข้ายังสาว ข้าก็ชอบเทศกาลนี้มากที่สุด”
ท่านหญิงผู้เฒ่าเสิ่นกล่าวพร้อมกับดันเยวี่ยหลิงไปด้านหน้าเบา ๆ “รีบไปอยู่ข้างเสี่ยวจิ่วเร็ว ๆ ดูแลเขาให้ดี”
เยวี่ยหลิงหยิบดาบมังกรหงส์ของเธอขึ้นมาเตรียมออกไป แต่ถูกหญิงชราขวางไว้
“จะไปชมโคมไฟกับสามี เจ้ายังจะถือดาบไปด้วยหรือ? ดูไม่เหมาะสมเลย”
“ถ้ามีคนเห็น จะหาว่าตระกูลเสิ่นของเราไม่มีความสุภาพเรียบร้อย”
เยวี่ยหลิงจ้องมองจางจิ่วหยางด้วยสายตาไม่พอใจ ก่อนจะโยนดาบมังกรหงส์ซึ่งปกติไม่เคยห่างจากตัวให้เขา
“ช่วยถือให้ข้าด้วย”
หญิงชราเสิ่นทำท่าจะพูดอะไรต่อ แต่จางจิ่วหยางรีบกล่าวอย่างสุภาพ “ไม่เป็นไร ๆ”
ทั้งสองเดินเคียงข้างกันออกไป
ชิ่งจี้ที่กำลังจะตามไปด้วยถูกอาหลี่หยุดไว้ทันที
“เจ้าช่างไม่มีตาเอาเสียเลย!”
“ถ้าเจ้ากล้าทำลายโอกาสของพี่จิ่ว ข้าจะทำให้เจ้าหาภรรยาไม่ได้ไปตลอดชีวิต!”
ชิ่งจี้: (((;;)))