ตอนที่แล้วบทที่ 21 การรวมกำลัง 
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 23 ประตูวิญญาณ 

บทที่ 22 สำนักเซียน 


“หมู่บ้านหลี่จิ้งสองร้อยยี่สิบเก้าครัวเรือน, หมู่บ้านหลี่ชวนโข่วหนึ่งร้อยหนึ่งครัวเรือน, หมู่บ้านจิ้งหยางสองร้อยเก้าสิบเจ็ดครัวเรือน, หมู่บ้านหลี่เต้าโข่วหนึ่งร้อยห้าสิบแปดครัวเรือน รวมทั้งหมดเจ็ดร้อยแปดสิบห้าครัวเรือน มีประชากรสี่พันสองร้อยแปดสิบคน”

หลี่ทงหยาและพรรคพวกนั่งอยู่ในลานบ้านหลักของตระกูลหลี่ ด้านล่างสุดหลี่เย่เซินยืนอยู่ในลานกลางอ่านตัวอักษรบนผ้าฝ้ายเสียงดังชัดเจน

“สี่พันสองร้อยแปดสิบคน ในแต่ละครัวเรือนมีคนหนุ่มสาวอย่างน้อยสามคน ยังไงก็น่าจะหาคนที่มีคุณสมบัติเปิดประตูวิญญาณได้สักคนสองคน”

หลี่เซี่ยงผิงพิงโต๊ะไม้พูดเสียงเบา

“ผู้อาวุโสแห่งตระกูลเย่หลายคนมาเยี่ยมเย่เซินเมื่อคืน…หวังว่าจะได้เปลี่ยนกลับไปใช้แซ่เดิม” หลี่เย่เซินมองไปยังผู้คนด้านบนแล้วหัวเราะอย่างขมขื่น

“แซ่เดิมหรือ?”

หลี่ทงหยาถามด้วยความสงสัยเงยหน้าขึ้นมอง

เมื่อเห็นสีหน้าสงสัยของหลี่ทงหยาและอีกคน หลี่มู่เถียนไอเบาๆก่อนอธิบายว่า

“แซ่เย่เคยเป็นสายหนึ่งของตระกูลหลี่เรา เพียงแต่ว่าภายหลังทำความผิดจึงถูกขับออกจากตระกูลและเปลี่ยนแซ่เป็นเย่”

“แต่เดิมสองตระกูลต่างไม่พูดถึงเรื่องนี้ บัดนี้เมื่อเห็นว่าตระกูลหลี่ของเราได้สัมพันธ์กับเซียน ตระกูลเย่ก็ย่อมต้องการเข้ามาพึ่งพิง อยากจะเปลี่ยนกลับไปใช้แซ่เดิม”

เมื่อได้ยินหลี่เย่เซินพยักหน้า เขาเองก็เพิ่งฟังเรื่องราวน่าเศร้าจากผู้อาวุโสของตระกูลเย่เมื่อคืน เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นราวกับใจจะแหลกสลาย หากไม่ใช่เพราะตระกูลหลี่เพิ่งได้สัมพันธ์กับเซียน เขาคงคิดว่าผู้อาวุโสคนนี้มีจิตใจภักดีต่อตระกูลหลัก

“หากตระกูลเย่มีคนที่สามารถเปิดประตูวิญญาณได้ก็อนุญาตให้สายตระกูลนั้นเปลี่ยนกลับมาใช้แซ่หลี่ได้เป็นสายหนึ่งของตระกูลหลี่เรา”

หลี่เซี่ยงผิงฟังคำอธิบายของหลี่มู่เถียนจนจบก็ตอบหลี่เย่เซินทันที ให้เขาไปตอบกลับผู้อาวุโสคนนั้น จากนั้นจึงหันไปถามหลี่มู่เถียนว่า

“ท่านพ่อ คนที่จะดูแลแต่ละหมู่บ้าน…”

“เฉินเอ้อร์หนิวเป็นคนฉลาดและมีความสามารถ อีกทั้งยังเป็นคนที่หลบหนีมาจากหมู่บ้านหลี่ชวนโข่ว ก็ให้เขาไปดูแลหมู่บ้านหลี่ชวนโข่ว หมู่บ้านจิ้งหยางมีประชากรมากที่สุดและมั่งคั่งที่สุด ต้องส่งคนที่ไว้ใจได้ให้ลุงเหรินของเจ้าไปดูแล”

หลี่มู่เถียนจิบชาเบาๆแล้วกล่าวต่อว่า

“หมู่บ้านหลี่เต้าโข่วตั้งอยู่ติดกับเส้นทางโบราณกู่หลี่ มีผู้อพยพหลบหนีจำนวนมาก สถานการณ์ซับซ้อนที่สุด ให้สวี่เหวินซานพาคนของเขาไปดูแล”

“ท่านพ่อคิดอย่างรอบคอบมาก”

หลี่เซี่ยงผิงพยักหน้าถือม้วนตำราเกี่ยวกับการปลูกพืชวิญญาณดูอย่างตั้งใจ

“สิ่งที่ต้องทำในตอนนี้คือใช้วิชาเสาะหาพลังวิญญาณในตำราม้วนนี้เพื่อตรวจดูเส้นพลังผืนดินของแต่ละหมู่บ้าน จะได้หาที่ดินวิญญาณพบไวๆแล้วรีบปลูกข้าววิญญาณและผลไม้วิเศษไป่หยวน”

———

หลี่ชื่อจิ้งยืนอยู่บนกระดานบินมองดูพื้นดินกว้างใหญ่ไพศาลด้านล่าง บ้านเรือนที่ดูเล็กเหมือนมด เมืองที่ยิ่งใหญ่สง่างามค่อยๆเลือนหายไปไกลโพ้น ความกังวลใจเมื่อออกจากบ้านก็พลันถูกละทิ้งไปหัวใจเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

“ชายชาตรีควรโอบรับดวงจันทร์และทะยานไปทั่วหล้า!”

เมื่อบินไปได้ประมาณสองชั่วโมง หลี่ชื่อจิ้งก็เห็นกลุ่มภูเขาสูงตระหง่านปรากฏขึ้นเบื้องหน้า บนภูเขามีศาลาเรือนยอดปรากฏอย่างต่อเนื่องดูราวกับเป็นดินแดนเซียน

ฝูงกระเรียนขาวและนกวิหคเหินบินผ่านกลุ่มภูเขา ซือหยวนไป๋ที่อยู่เบื้องหน้าก็ไม่ได้นั่งสมาธิหลับตาอีกต่อไป เขาโบกมือแล้วโยนป้ายคำสั่งออกไปรออย่างสงบ

“ที่แท้อาจารย์หยวนไป๋กลับมาแล้ว”

กระเรียนขาวตัวหนึ่งร่อนลงตรงหน้าหลี่ชื่อจิ้ง มันคาบป้ายคำสั่งไว้ในปากแล้วกล่าวด้วยความสงสัย

“เด็กหนุ่มคนนี้คือใคร?”

หลี่ชื่อจิ้งพบสัตว์เซียนพูดได้เป็นครั้งแรกตื่นเต้นจนพูดไม่ออก ซือหยวนไป๋ยิ้มแล้วตอบว่า

“ศิษย์ใหม่ของยอดเขาชิงสุ่ยเฟิง”

“ยินดีด้วยนะ อาจารย์”

กระเรียนเซียนกล่าวแสดงความยินดีจากนั้นขยับปีกเบาๆเปิดช่องว่างบนม่านแสงโปร่งใสเบื้องหน้า

หลี่ชื่อจิ้งเพิ่งสังเกตเห็นว่ามีโดมโปร่งใสขนาดใหญ่อยู่ระหว่างสวรรค์และโลกครอบคลุมทางเข้าสำนักชิงฉือทั้งหมดกักเก็บพลังวิญญาณไว้ภายใน

เมื่อเข้าสู่ประตูสำนักชิงฉือ หลี่ชื่อจิ้งก็รู้สึกสดชื่นไปทั้งร่าง

“ความเข้มข้นของพลังวิญญาณช่างสูงยิ่งนัก”

เมื่อหลี่ชื่อจิ้งมีท่าทีตกตะลึง ซือหยวนไป๋ยิ้มเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า

“นี่คือค่ายกลพลังต้นกำเนิดแห่งสวรรค์ ของสำนักชิงฉือ ซึ่งมีความลี้ลับไร้เทียมทาน ค่ายกลนี้ปิดกั้นพลังวิญญาณทั้งภายในและภายนอกทำให้เส้นพลังวิญญาณของเขาชิงสุ่ยเฟิงถูกใช้งานได้เฉพาะภายในสำนักและด้วยอานุภาพของค่ายกลนี้ แม้แต่ผู้บำเพ็ญขั้นตำหนักม่วงก็ยังยากที่จะทะลวงผ่านได้ หากมีผู้บำเพ็ญขั้นสร้างฐานคอยดูแลอยู่”

“น่ามหัศจรรย์ยิ่งนัก”

หลี่ชื่อจิ้งพยักหน้าตอบรับ แต่ในใจกลับคิดเงียบๆว่า

“ไม่รู้ว่าค่ายกลนี้สามารถเรียนรู้ได้หรือไม่ หากนำไปติดตั้งที่หลังบ้านเราคงจะดี”

เมื่อเห็นหลี่ชื่อจิ้งมีท่าทีเหม่อลอย ซือหยวนไป๋ก็คิดว่าเขาคงตกตะลึงไปแล้วจึงกล่าวต่อว่า

“การบำเพ็ญเซียนนั้นมีหลากหลายแขนง อาทิเช่น ค่ายกล ยาโอสถ อาวุธวิเศษ อักขระยันต์ การควบคุมสัตว์ และการสำรวจเส้นพลังเป็นต้น แต่ละแขนงล้วนมีความลี้ลับไม่สิ้นสุด ควรเลือกฝึกฝนให้ชำนาญในแขนงใดแขนงหนึ่ง”

“อาจารย์ท่านฝึกฝนแขนงใดในวิถีการบำเพ็ญเซียนหรือขอรับ?”

หลี่ชื่อจิ้งถามด้วยความสงสัย

“ยอดเขาชิงสุ่ยเฟิงแห่งนี้เป็นที่เลื่องชื่อเรื่องวิชาดาบมาโดยตลอด…”

ซือหยวนไป๋กล่าวพร้อมเงยหน้าด้วยความภาคภูมิใจ

“อ้อ เช่นนั้นเอง” หลี่ชื่อจิ้งพยักหน้าด้วยความเข้าใจพลางมองไปยังดาบวิเศษที่อยู่ข้างเอวของซือหยวนไป๋

“ดังนั้น… ข้าฝึกฝนในวิชาอักขระยันต์”

ซือหยวนไป๋กล่าวพลางมองหลี่ชื่อจิ้งที่ยืนงงงันด้วยความกระดากใจ ก่อนอธิบายต่อว่า

“เพราะอาจารย์ปู่ของเจ้าจากไปเร็ว วิชาดาบเซียนข้าจึงยังไม่ได้ฝึกให้เชี่ยวชาญและเนื่องจากยอดเขาชิงสุ่ยเฟิงต้องคอยหารายได้สนับสนุน สำนักข้าจึงต้องเริ่มเรียนวิชาอักขระยันต์และไม่คิดว่ายิ่งเรียนก็ยิ่งชำนาญขึ้นเรื่อยๆ”

“อ้อ อ้อ”

หลี่ชื่อจิ้งพยักหน้าหลายครั้งเพื่อแสดงความเข้าใจ

“ก่อนอื่นข้าจะพาเจ้าไปพบศิษย์พี่ร่วมสำนักของเจ้า”

ซือหยวนไป๋พาหลี่ชื่อจิ้งลัดเลาะไปตามยอดเขาต่างๆจนมาถึงยอดเขาชิงสุ่ยเฟิง เมื่อถึงยอดเขา ชายหนึ่งหญิงหนึ่งเดินออกมาต้อนรับ

“เจ้าคือศิษย์ลำดับที่เจ็ดของข้า คนนี้คือพี่สามของเจ้า เขาชื่อเซียวหยวนซืออยู่ในขั้นฝึกพลังระดับเจ็ด และนั่นคือพี่สี่ของเจ้า นางชื่อหยวนถวนอยู่ในขั้นฝึกพลังระดับสาม”

หลี่ชื่อจิ้งโค้งคำนับทั้งสองด้วยความเคารพ เซียวหยวนซือที่มีคิ้วหนาและดวงตากลมโตก็ดูเป็นคนมีเสน่ห์และใจกว้าง เขายื่นม้วนหยกให้พลางกล่าวว่า

“นี่คือวิชาดาบที่ข้าได้มาระหว่างเดินทาง ตอนนี้ขอมอบให้เจ้าเป็นของขวัญที่ได้พบกัน”

หยวนถวนยิ้มเล็กน้อยก่อนยื่นหยกจี้ให้พร้อมกล่าวว่า

“หยกชิ้นนี้ช่วยให้จิตสงบและตั้งสมาธิได้ดี เป็นเครื่องมือที่เหมาะสำหรับผู้บำเพ็ญในขั้นลมหายใจ ตอนนี้ข้าขอส่งมอบให้เจ้า”

หลี่ชื่อจิ้งขอบคุณทั้งสองด้วยความซาบซึ้งและเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า

“แล้วศิษย์พี่คนอื่นๆของข้ากำลังปิดด่านฝึกพลังอยู่หรือขอรับ?”

ซือหยวนไป๋ยิ้มเล็กน้อยก่อนตอบว่า

“พี่ใหญ่ของเจ้ามีพรสวรรค์ล้ำเลิศ เมื่อปีที่แล้วเขาได้ฝึกถึงขั้นฝึกพลังสมบูรณ์แบบและพยายามทะลวงขั้นสร้างฐาน แต่ล้มเหลวและเสียชีวิตไปแล้ว”

คำตอบนี้ทำให้หลี่ชื่อจิ้งตกตะลึง เขาอุทานเบาๆพร้อมมองซือหยวนไป๋ด้วยความรู้สึกซับซ้อน

“ส่วนศิษย์พี่คนอื่นๆของเจ้า บ้างเสียชีวิตจากสัตว์อสูร บ้างเสียชีวิตจากการต่อสู้แย่งชิงสมบัติ และบ้างเสียชีวิตเพราะอุปสรรคภายในจิตใจ พวกเขาล้วนถูกฝังไว้ที่ยอดเขานี้ ข้าจะพาเจ้าไปสักการะพวกเขา”

เมื่อเห็นหลี่ชื่อจิ้งมีท่าทีโศกเศร้า ซือหยวนไป๋กลับยิ้มเยาะก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“การบำเพ็ญเซียนคือเส้นทางแห่งการแย่งชิง! ต้องแย่ง ต้องชนะ และต้องเอาชนะให้ได้! หากเอาชนะไม่ได้ก็ต้องตาย มีอะไรให้น่าเสียใจ?”

“เจ้า หลี่ชื่อจิ้ง เจ้าต้องแย่งชิง หากเอาชนะไม่ได้ เจ้าก็ต้องตาย! ตระกูลหลี่ของเจ้าก็ต้องแย่งชิง หากเอาชนะไม่ได้ ตระกูลเจ้าก็จะถูกทำลาย ยอดเขาชิงสุ่ยเฟิงของเราก็ต้องแย่งชิง หากเอาชนะไม่ได้ สำนักเราก็จะถึงจุดจบ! โลกนี้คือที่ที่ผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่ยังไงล่ะ!”

(จบบท)

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด