บทที่ 16 สอนพวกเขาให้เข้าใจเหตุผล
บทที่ 16 สอนพวกเขาให้เข้าใจเหตุผล
เฉินหยางเหลือบมองเว่ยหยงก่อนพูดขึ้นว่า “ตั้งแต่นี้ไป คนของสำนักศิลปะการต่อสู้หมาป่าดำจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในมหาวิทยาลัยต้าอี้อีก และห้ามก่อกวนหรือยุ่งเกี่ยวกับนักศึกษาของมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ พวกคุณต้องบริจาคเงิน 5 ล้านหยวนให้กับมหาวิทยาลัย เพื่อเป็นกองทุนช่วยเหลือนักศึกษาที่ขาดแคลน พร้อมทั้งจัดสรรเงินช่วยเหลือประจำปีสำหรับนักศึกษาที่มีฐานะยากจน”
“ได้เลยครับ ผมจะติดต่ออธิการบดีอู๋และดำเนินการทุกอย่างให้เสร็จสิ้น นอกจากนี้ ผมจะกล่าวคำขอโทษอย่างเป็นทางการต่ออธิการบดีอู๋ในเรื่องการเก็บค่าคุ้มครอง”
เว่ยหยงพยักหน้ารับคำอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาคิดว่าข้อเสนอเหล่านี้ไม่ได้ก่อประโยชน์อะไรให้เฉินหยาง เขาจึงถามต่อว่า “คุณเฉิน คุณมีความต้องการอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ?”
“คนอย่างฉันที่ยึดมั่นในความเป็นธรรม คุณคิดว่าฉันจะสนใจผลประโยชน์ส่วนตัวเหรอ?” เฉินหยางเหลือบมองเว่ยหยงด้วยสายตาดูถูก
ในขณะที่เว่ยหยงกำลังคิดว่าการที่เฉินหยางไม่เรียกร้องอะไรเป็นเรื่องที่ดี เฉินหยางกลับแสดงสีหน้าลำบากใจออกมา “แต่ในเมื่อคุณตั้งใจดีขนาดนี้ ถ้าฉันปฏิเสธเงินสักหนึ่งถึงสองล้านหยวน ก็คงจะทำให้คุณผิดหวัง ดังนั้น ฉันจะรับไว้แบบฝืนใจแล้วกัน”
เว่ยหยงกัดฟันกรอดในใจด่าเฉินหยางว่าไร้ยางอาย แต่ไม่กล้าแสดงออก รีบเขียนเช็คเงินสองล้านหยวนแล้วยื่นให้เฉินหยางทันที “คุณเฉิน นี่คือเช็ค โปรดรับไว้ครับ”
เฉินหยางรับเช็คมาพลางดีดด้วยนิ้ว ก่อนลุกขึ้นเดินออกไปพร้อมพูดว่า “เว่ยหยง ฝากบอกเด็กหนุ่มในตระกู
เหลียงให้ดูแลตัวเองดี ๆ”
“ครับ ครับ”
เว่ยหยงก้มหน้าก้มตาส่งเฉินหยางจนถึงประตู ก่อนจะรีบวิ่งขึ้นไปชั้นบน
เมื่อเข้าไปในห้องทำงาน เขาทำหน้าบูดบึ้งแล้วรายงานกับเหลียงเว่ยว่า “คุณเหลียง หมอนั่นมันยโสมาก เขาขู่กรรโชกผมไปเจ็ดล้านหยวนแล้วยังฝากคำเตือนถึงคุณ บอกให้คุณระวังตัว”
เหลียงเว่ยขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนถามว่า “เรื่องมันเป็นมายังไง?”
เว่ยหยงรีบเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง เมื่อได้ฟังจบ เหลียงเว่ยก็หัวเราะเย็นชา “มหาวิทยาลัยเป็นเขตต้องห้าม เมื่อพวกเราเป็นฝ่ายทำลายกฎเองก็ไม่แปลกที่คนอื่นจะเข้ามาหาเรื่อง เรื่องนี้ให้มันจบแค่นี้ อย่าให้มีปัญหาเพิ่มเติมอีกเลย ฉันรู้สึกว่าหมอนั่นมีอะไรไม่ชอบมาพากลมากขึ้นเรื่อย ๆ ฉันได้ส่งคนไปถามปู่ของฉัน เหลียงเฉิงหู่ ที่เหอซีแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เว่ยหยงก็เข้าใจ แม้ปากของเหลียงเว่ยจะบอกว่าปล่อยเรื่องนี้ไป แต่เขากลับส่งคนไปสืบเรื่องของเฉินหยางอย่างลับ ๆ ซึ่งหมายความว่าเหลียงเว่ยไม่ได้คิดจะปล่อยผ่านเรื่องนี้จริง ๆ
หลังจากกำชับเว่ยหยงไม่กี่ประโยค เหลียงเว่ยก็จากไป
ไม่นานหลังจากเหลียงเว่ยออกไป ชายหนุ่มที่มีผ้าพันแผลรอบคางก็เข้ามาในห้องทำงานของเว่ยหยง ชายคนนั้นคือหลี่เหิงเจียง
“เหิงเจียง เกิดอะไรขึ้นกับนาย?” เว่ยหยงถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นหลี่เหิงเจียงมีผ้าพันแผล
หลี่เหิงเจียงทำหน้าบึ้ง พูดตรง ๆ ว่า “ลุงเว่ย ผมอยากให้คุณช่วยจัดการคนคนหนึ่ง”
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ เว่ยหยงคงตอบรับทันที แต่หลังจากเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น เขาจึงระมัดระวังมากขึ้น และถามว่า “อีกฝ่ายเป็นใคร?”
“นักศึกษาจน ๆ คนหนึ่งจากมหาวิทยาลัยต้าอี้”
เมื่อได้ยินดังนั้น เว่ยหยงก็โล่งใจ ตอนนี้เขากำลังมองหาที่ระบายความโกรธอยู่พอดี และอีกฝ่ายยังเป็นคนจากมหาวิทยาลัยต้าอี้อีกด้วย เหมาะที่จะระบายอารมณ์ของเขาได้พอดี
โดยไม่สนใจที่จะสืบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเป้าหมาย หลี่เหิงเจียงและเว่ยหยงก็เริ่มวางแผนการชั่วร้ายทันที
เมื่อเห็นเฉินหยางออกมาจากหวงเฉาเก๋ออย่างปลอดภัย หยางเสวี่ยเว่ยก็รู้สึกโล่งใจ ช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่ถึงยี่สิบนาทีนี้ เธอรู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้ามากและทรมานใจเหลือเกิน
เธอรีบเดินเข้าไปหาเขาด้วยความเป็นห่วง “เฉินหยาง พวกเขาไม่ได้ทำอะไรคุณใช่ไหม?”
“ตอนที่ฉันเข้าไป พวกเขาทำท่าทางดุร้ายมาก ทำเอาฉันกลัวแทบแย่ แต่ฉันรวบรวมความกล้าเข้าไปอธิบายเหตุผลให้พวกเขาฟัง พวกเขาซาบซึ้งใจมาก สุดท้ายไม่เพียงแต่ไม่เอาเงินห้าหมื่นหยวนที่อธิการบดีเตรียมไว้ให้ แต่ยังขอโทษฉันกลับอีกด้วย ทำให้ฉันรู้สึกเขินอายจริง ๆ”
เฉินหยางยิ้มเล็กน้อย
“ไป…ไปสอนพวกเขาให้เข้าใจเหตุผล? พวกเขาจะฟังเหรอ?”
หยางเสวี่ยเว่ยถึงกับชะงักปากอ้าค้าง เธอไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน ต้องรู้ไว้ว่าสำนักศิลปะการต่อสู้หมาป่าดำเป็นที่เลื่องชื่อในเมืองต้าอี้ เธอเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพวกเขามาบ้าง คนพวกนั้นไม่ใช่พวกที่สามารถพูดคุยด้วยเหตุผลได้เลย
“อะไรนะ อาจารย์หยาง คุณไม่เชื่อเหรอ?”
เฉินหยางขมวดคิ้วแสดงสีหน้าไม่พอใจ ก่อนจะชี้ไปยังชายชุดดำที่ยืนอยู่หน้าประตูหวงเฉาเก๋อ พร้อมพูดกับ
หยางเสวี่ยเว่ยว่า “ถ้าคุณไม่เชื่อ ผมจะเรียกเขามาคุยด้วยเหตุผลอีกครั้ง”
“ฉันเชื่อ ฉันเชื่อแล้ว” หยางเสวี่ยเว่ยกลัวว่าเฉินหยางจะไปหาเรื่องคนอื่นอีก จึงเหลือบมองเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยร่างใหญ่ แล้วรีบดึงตัวเฉินหยาง “ไปเถอะ เรากลับมหาวิทยาลัยกันเถอะ”
“ตกลง ขึ้นรถสิ”
เฉินหยางจับมือเล็กของหยางเสวี่ยเว่ยที่นุ่มนวลและไร้กระดูกขึ้นมาบีบเบา ๆ หยางเสวี่ยเว่ยรู้สึกหัวใจเต้นแรง รีบหันมามองเฉินหยาง แต่กลับเห็นใบหน้าของเขาเรียบนิ่ง ไม่มีท่าทีสนใจว่าเขากำลังจับมือของเธออยู่
หยางเสวี่ยเว่ยกัดริมฝีปากเบา ๆ และคิดว่าเฉินหยางคงเป็นเพียงนักศึกษาที่ใสซื่อ เธอจึงปล่อยให้เขาจับมือและนั่งบนแผ่นเหล็กหน้ารถจักรยานที่เก่าและโทรม
เสียงล้อจักรยานดังเอี๊ยดอ๊าด ขณะที่เฉินหยางปั่นจักรยานอย่างช้า ๆ มุ่งหน้ากลับไปยังมหาวิทยาลัย
ยังไม่ทันถึงมหาวิทยาลัย เฉินหยางก็เห็นเนี่ยอี้เฉินและหลินโหยวที่กำลังยืนรออยู่ที่หน้าประตู ทั้งสองคนมีสีหน้าร้อนรนและมองไปรอบ ๆ ราวกับกำลังหาอะไรบางอย่าง
เมื่อเห็นเฉินหยางและหยางเสวี่ยเว่ยกลับมา เนี่ยอี้เฉินและหลินโหยวก็แสดงสีหน้าดีใจ พร้อมรีบวิ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองคนวิ่งตามหาเฉินหยางทั่วมหาวิทยาลัย แต่ไม่พบ จึงเข้าไปดูในกระทู้ BBS ของมหาวิทยาลัย จนรู้ว่าเฉินหยางขี่จักรยานพาอาจารย์สาวคนสวย หยางเสวี่ยเว่ยออกไปข้างนอก
พยายามโทรหาเฉินหยางแต่ไม่ติด เนี่ยอี้เฉินจึงพาหลินโหยวมาดักรอที่หน้าประตูมหาวิทยาลัย
หยางเสวี่ยเว่ยเห็นนักศึกษาทั้งสองคนของเธอวิ่งเข้ามา ก็รู้สึกไม่สบายใจ เธอหันไปมองเฉินหยางแล้วพูดด้วยเสียงเบา “เฉินหยาง คุณจอดรถให้ฉันลงก่อน”
เฉินหยางขมวดคิ้วเล็กน้อย พร้อมแสดงสีหน้าหม่นหมอง “อาจารย์หยาง คุณคิดว่าการนั่งจักรยานของผมมันน่าอับอายเหรอ?”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่” หยางเสวี่ยเว่ยรีบอธิบายด้วยความกังวล “ฉันแค่กลัวว่าคนอื่นจะเห็นเราสนิทกันเกินไป แล้วจะเข้าใจผิด”
“แล้วมันผิดตรงไหนล่ะ?” เฉินหยางถามด้วยความสงสัย
เมื่อเห็นท่าทางจริงจังของเฉินหยาง หยางเสวี่ยเว่ยถึงกับตัวสั่นเล็กน้อย เธอเริ่มคิดว่าเฉินหยางอาจจะคิดอะไรกับเธอ แต่คำพูดต่อมาของเขาทำให้เธอโล่งใจ “เราก็แค่มีความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับนักศึกษาเท่านั้นเอง”
ในตอนนั้นเอง เนี่ยอี้เฉินและหลินโหยวก็วิ่งมาถึงพอดี เนี่ยอี้เฉินไม่รอให้เฉินหยางจอดรถดี ๆ เธอคว้าแขนเฉินหยางพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเร่งรีบ “หัวหน้า รีบหนีเร็ว คุณไปต่อยหลี่เหิงเจียงมาแล้วสร้างปัญหาใหญ่แน่เลย!”
“เฉินหยาง ทั้งหมดเป็นความผิดของฉัน ถ้าไม่ใช่เพราะฉัน คุณก็คงไม่ต้องลงมือทำร้ายหลี่เหิงเจียง” หลินโหยวพูดพร้อมจับแขนอีกข้างของเฉินหยาง สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
ในตอนนี้ หยางเสวี่ยเว่ยอยู่ในอ้อมแขนของเฉินหยาง ด้านซ้ายคือหลินโหยว และด้านขวาคือเนี่ยอี้เฉิน เฉินหยางรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผู้ชนะชีวิต และอดชื่นชมการตัดสินใจมาเรียนมหาวิทยาลัยไม่ได้ ว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ