ตอนที่ 27 การลอบสังหาร
ตอนที่ 27 การลอบสังหาร
หนิงโจวค่อยๆ ลืมตาขึ้น พบว่าภาพรอบตัวเปลี่ยนไปอย่างมาก เขากลับมาอยู่ในห้องทำงานใต้ดินของเขาอีกครั้ง
ความรู้สึกอ่อนแออย่างรุนแรงผุดขึ้นในจิตใจลึกๆของเขา
หนิงโจวยืนขึ้น ตรวจสอบสภาพของตนเอง
“ร่างกายของข้าไม่มีปัญหาอะไร แต่จิตวิญญาณของข้าได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก”
ในห้องที่สอง เขาโดนไม้ซุงกระแทกใส่หลายครั้งเกินไป
“แม้การสำรวจตำหนักเซียนลาวาครั้งแรกของข้าจะยังไม่สามารถเข้าสู่ห้องที่สามได้ แต่ก็ถือว่าข้าได้รับผลประโยชน์มากมาย!”
“โดยเฉพาะวิชาที่ได้รับเป็นรางวัลจากห้องที่สอง ข้ายังโชคดีที่สามารถนำมันกลับมาได้”
หนิงโจวยังไม่ได้รีบศึกษาวิชาที่ได้รับมา เขาตัดสินใจดื่มน้ำและกินอาหารก่อน
เมื่อจิตวิญญาณของเขาถูกดึงออกไป ร่างกายของเขาก็ตกอยู่ในสภาพหลับใหล แม้ว่าหัวใจและการหายใจจะยังคงทำงานอยู่ แต่การที่ร่างกายไม่ได้ขยับเป็นเวลานานก็ไม่ใช่เรื่องดี
หนิงโจวยังเป็นเพียงผู้บ่มเพาะขอบเขตหลอมรวม และยังไม่ได้ฝึกฝนวิชาที่เสริมสร้างร่างกายใดๆ ร่างกายของเขาจึงไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก
ในขณะที่เขากำลังกินและดื่มเพื่อฟื้นฟูพลังให้ร่างกาย เขาคิดคำนวณเวลาที่ใช้ในการสำรวจครั้งนี้
“การสำรวจตำหนักเซียนลาวาครั้งแรกของข้าใช้เวลาประมาณสามชั่วยาม”
“จากการที่ผู้บ่มเพาะในขอบเขตหลอมรวมที่ฝึกเคล็ดวิถีห้าธาตุสามารถเข้าสู่ตำหนักด้วยวิธีดึงดูดจิตวิญญาณ แทนการนำร่างกายเข้าสู่ตำหนักเช่นก่อนหน้านี้ หมายความว่าแม้เจ้าเมืองจะเฝ้ารักษายอดเขาไฟไว้ ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก”
“แต่ถึงกระนั้น เจ้าเมืองก็คงจะยังคงปิดกั้นยอดเขาต่อไป”
“เหตุผลหนึ่งคือเพื่อหยุดยั้งผู้บ่มเพาะที่อยู่ในขอบเขตก่อตั้งรากฐานหรือสูงกว่าไม่ให้เข้าสู่ตำหนัก เพราะตำหนักเซียนลาวาได้เปิดเผยตัวออกมาแล้ว”
“อีกเหตุผลคือเพื่อสนับสนุนพวกพ้องของเขาเอง”
“หลานชายของเจ้าเมือง ‘เมิ่งชง’ ผู้อยู่ในขอบเขตหลอมรวม ได้เตรียมการเพื่อครอบครองตำหนักนี้มานานแล้ว”
“ในแง่นี้ เจ้าเมืองและพวกพ้องยังคงถือครองความได้เปรียบที่สำคัญ”
“เมิ่งชงมีพรสวรรค์ระดับเซียนชั้นเลิศ ‘พายุคลั่งสายฟ้าคำราม’ ซึ่งข้าไม่มีทางเทียบได้เลย”
“เฮ้อ ข้าไม่รู้เลยว่าเขาผ่านไปถึงด่านที่เท่าใดแล้ว แต่ห้องที่สองคงไม่ใช่อุปสรรคสำหรับเขาแน่นอน”
แม้ว่าการสำรวจครั้งแรกของหนิงโจวจะไม่สามารถเข้าสู่ห้องที่สามได้ แต่เขาก็ได้รับประโยชน์มหาศาล
ตำหนักเซียนลาวาปฏิบัติต่อ “คนนอก” และ “ผู้บ่มเพาะของตนเอง” แตกต่างกันอย่างชัดเจน
และนี่คือสิ่งที่เอื้อประโยชน์ให้กับหนิงโจวอย่างมาก
ตามรูปแบบการแข่งขันก่อนหน้านี้ หนิงโจวต้องเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่เป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อตั้งรากฐาน แก่นทองคำ หรือแม้แต่วิญญาณแรกกำเนิด
แต่ด้วยวิธีการทดสอบใหม่นี้ คู่แข่งของเขาจึงถูกจำกัดไว้เพียงแค่ขอบเขตหลอมรวมเท่านั้นในตอนนี้
หนิงโจวเริ่มทบทวนข้อมูลที่เขารวบรวมได้จนถึงตอนนี้
“ในกลุ่มผู้บ่มเพาะขอบเขตหลอมรวมของฝ่ายเจ้าเมือง เมิ่งชงย่อมเป็นผู้นำ”
“ส่วนของตระกูลโจว ผู้บ่มเพาะขอบเขตหลอมรวมมีสองคน คือโจวเจ๋อเซินและโจวจู้ ทั้งสองเคยเข้าร่วมสำนักโคลนไหล ความเชี่ยวชาญด้านกลไกของพวกเขาไม่อาจคาดเดาได้”
“ในตระกูลเจิ้ง เจิ้งเจี้ยนเป็นตัวแทนเด่นในระดับหลอมรวม เขามีพรสวรรค์ระดับเซียน ‘สัญชาตญาณทะลวงจิต’ ซึ่งเป็นพรสวรรค์ชั้นเลิศ”
“สำหรับตระกูลหนิง ผู้บ่มเพาะขอบเขตหลอมรวมที่เก่งที่สุดคือหนิงเสี่ยวฮุ่ย แต่นางปฏิเสธที่จะเปลี่ยนมาฝึกเคล็ดวิถีห้าธาตุ”
“เฮ้อ คนเหล่านี้ล้วนเป็นอัจฉริยะแห่งการบ่มเพาะ”
“เมื่อเทียบกับพวกเขา ข้าที่มีพรสวรรค์ ‘ปัญญาแรก’ ระดับต่ำ ดูธรรมดาเกินไป”
“ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาล้วนมีภูมิหลังที่แข็งแกร่ง ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากตระกูล และบางครั้งถึงกับได้รับความช่วยเหลือจากผู้บ่มเพาะระดับวิญญาณแรกกำเนิด ข้าต่างจากพวกเขาโดยสิ้นเชิง ข้าธรรมดาเกินไป ต้องสู้เพียงลำพัง เรื่องแบบนี้ได้แค่มองอย่างอิจฉาเท่านั้น”
หนิงโจวคิดวิเคราะห์สถานการณ์จนปวดหัว เขาหยิบขวดยาฟื้นฟูจิตวิญญาณออกมา กลืนยาไปหลายเม็ดพร้อมน้ำเปล่า
จากนั้นเขาทิ้งตัวลงบนเตียง แล้วหลับไปอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่หนิงโจวกำลังพักผ่อน ในตระกูลโจวกลับเกิดความขัดแย้งขึ้น
“เหตุใดข้าถึงใช้ ‘ค่ายกลรวมกระแสวิญญาณตามใจปรารถนา’ ไม่ได้?” ผู้บ่มเพาะขอบเขตหลอมรวมคนหนึ่งตะโกนด้วยท่าทางหยิ่งยโส
“ก็เพราะข้าอยู่ที่นี่” เสียงเย็นชาเอ่ยขึ้น โจวเจ๋อเซินเดินออกมาพร้อมใบหน้าบึ้งตึง
ผู้บ่มเพาะคนนั้นกระตุกยิ้มที่มุมปาก เตรียมพูดเสียดสี แต่ทันใดนั้น โจวเจ๋อเซินหยิบธงเล็กๆออกมา
เขาสะบัดธงไปทางคู่กรณี ทันใดนั้น พื้นใต้เท้าของอีกฝ่ายพลันเปลี่ยนเป็นโคลนตม ดูดร่างเขาลงไปอย่างรวดเร็ว
“โจวเจ๋อเซิน เจ้านี่เกินไปแล้ว! กล้าลงมือในเขตตระกูลเช่นนี้! อา—!” เสียงตะโกนของเขาถูกขัดจังหวะ
ร่างของเขาถูกโคลนกลืนจนถึงคางและปาก เหลือเพียงรูจมูกที่ยื่นขึ้นมาสำหรับหายใจ
เขาพยายามดิ้นรนอย่างสุดกำลัง แต่ไม่สามารถขยับตัวได้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ แดงก่ำจนดูเหมือนกำลังจะระเบิด
โจวเจ๋อเซินหัวเราะเย็นชา ก่อนจะกวาดตามองไปรอบๆ และพูดกับผู้คนที่มุงดูอยู่
“ข้ารู้ว่ามีบางคนในตระกูลที่ไม่พอใจข้ากับโจวจู้”
“แต่การใช้เล่ห์กลน่ารังเกียจเช่นนี้ มันประเมินข้าต่ำเกินไปแล้ว”
ทันใดนั้น เสียงสัญญาณเตือนภัยแหลมดังลั่นจากใต้ดิน
ใบหน้าของโจวเจ๋อเซินเปลี่ยนเป็นซีดเผือดทันที เขารีบหันหลังแล้ววิ่งไปยังห้องใต้ดิน
ค่ายกลรวมกระแสวิญญาณตามใจปรารถนาค่อยๆหยุดการทำงาน
โจวจู้ที่กำลังอยู่ในค่ายกล ล้มลงบนพื้น ดวงตาปิดสนิท และมีเลือดไหลออกจากรูขุมขนทั่วร่างกาย
“โจวจู้!” โจวเจ๋อเซินร้องตะโกนด้วยความตกใจ รีบวิ่งเข้าไปในค่ายกลเพื่อตรวจสอบอาการของโจวจู้ พร้อมทำการรักษาอย่างเร่งด่วน
ไม่นานนัก ผู้อาวุโสของตระกูลโจวคนหนึ่งก็เดินเข้ามาด้วยใบหน้าโกรธจัด
“สืบให้ได้ว่าใครเป็นคนลงมือ ฆาตกรต้องถูกลงโทษอย่างสาสม!”
ณ ตระกูลเจิ้ง
ในห้องหลอมสร้างอาวุธ บรรยากาศร้อนแรงราวเปลวไฟ เตาหลอมขนาดสูงหนึ่งจั้งอ้าปากปล่อยเปลวไฟ แสงจากไฟสะท้อนใบหน้าของเจิ้งเจี้ยนจนเป็นสีแดงเรื่อ
เจิ้งเจี้ยนเปลือยท่อนบน กล้ามเนื้อแน่นขยับไปมา เหงื่อไหลลงมาตามร่างกายขณะเขาเร่งหลอมอุปกรณ์อย่างเต็มที่
ในมือข้างหนึ่งเขาถือคีมเหล็ก อีกข้างหนึ่งถือค้อนเหล็ก ตอกทุบแก่นโลหะขนาดเล็กเท่าฝ่ามือทารกครั้งแล้วครั้งเล่า
ทันใดนั้น แก่นโลหะก็เปล่งแสงสว่างเจิดจ้า เจิ้งเจี้ยนตาวาวขึ้นมา เขาวางค้อนเหล็กลงอย่างรวดเร็ว และคว้าน้ำหนึ่งถังมาสาดลงไปบนแก่นโลหะ
เสียงฉ่าดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมไอน้ำสีขาวพวยพุ่งขึ้นมา
เจิ้งเจี้ยนรู้สึกถึงความผิดปกติทันที เขารีบถอยหลังออกมา
แต่ก่อนที่เขาจะออกห่าง เขาได้สูดเอาไอสีขาวเข้าไปเล็กน้อย และเริ่มไอออกมาเป็นเลือดในทันที
“น่ารังเกียจนัก! ในน้ำมีพิษ!”
เจิ้งเจี้ยนหน้าเปลี่ยนสี เขารีบวิ่งออกจากห้องหลอมสร้างอาวุธโดยไม่ลังเล
ณ จวนเจ้าเมือง
นักฆ่าสวมชุดดำปีนข้ามกำแพงและเหยียบหลังคาอย่างเงียบเชียบ เขานำเอาอาวุธลักษณะคล้ายปืนเป่าลูกดอกออกมา และใช้วิชาทำให้หลังคาเกิดรูเล็กๆ หนึ่งรู
จากนั้นเขาค่อยๆ สอดปืนเป่าลูกดอกลงไปในรู
แต่ทันใดนั้นเอง เสียงคำรามต่ำๆดังขึ้น
“เจ้าคนชั่ว ตายซะเถิด!”
ปืนเป่าลูกดอกถูกผลักย้อนกลับด้วยพลังอันมหาศาล พลังสายฟ้ารุนแรงเปล่งประกายแสบตา ลูกดอกพุ่งทะลุปากของนักฆ่าชุดดำและออกมาทางด้านหลังศีรษะของเขา ก่อนจะหายลับไปในอากาศเบื้องบน
สายฟ้าที่สว่างจ้าและทรงพลัง ทำให้ร่างของนักฆ่าสั่นสะท้านอย่างรุนแรงไม่กี่ครั้ง ก่อนจะนิ่งไป
ทันใดนั้น ร่างของนักฆ่าก็กลายเป็นถ่านเกรียม เขาล้มหน้าคว่ำลงกับพื้นหลังคา และกลิ้งตกลงมาจนกระแทกกับพื้นดินด้านล่าง
“ฮึ่ม!” ภายในห้อง เมิ่งชงค่อยๆ หลับตาลงอีกครั้ง กลับเข้าสู่การสลายพลังในร่างอย่างต่อเนื่อง
ณ ตระกูลหนิง
หนิงเสี่ยวฮุ่ยยืนอยู่ต่อหน้าผู้นำตระกูล ข้างกายมีท่านย่าของนางและผู้อาวุโสสายสร้างยันต์ยืนอยู่ด้วย
“หากให้ข้าเปลี่ยนมาฝึกเคล็ดวิถีห้าธาตุ ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่ข้ามีข้อเรียกร้องบางประการ!” หนิงเสี่ยวฮุ่ยเปลี่ยนท่าทีและกล่าวขึ้น
แท้จริงแล้ว ตระกูลหนิงฝ่ายสายเลือดหลัก ไม่สามารถผลักดันผู้ใดให้เป็นตัวแทนที่เหมาะสมได้ จึงต้องหันมาพึ่งหนิงเสี่ยวฮุ่ย
ท่านย่าของนางและผู้อาวุโสสายสร้างยันต์ ที่คอยสนับสนุนนางมาตลอด เริ่มทนแรงกดดันจากการบีบบังคับของผู้อื่นไม่ไหว สุดท้ายจึงจำต้องเลือกประนีประนอม