ตอนที่แล้วตอนที่ 20 มังกรตะพาบเพลิงวิญญาณ
ทั้งหมดรายชื่อตอน

ตอนที่ 21 ขอบเขตหลอมรวมขั้นสอง


ตอนที่ 21 ขอบเขตหลอมรวมขั้นสอง

มังกรตะพาบเพลิง ถอนสายตากลับจากตระกูลโจว ก่อนหันไปจับจ้องยัง ตระกูลเจิ้ง

ในขณะนั้น ผู้อาวุโสสองคนของตระกูลเจิ้ง กำลังพยายามเกลี้ยกล่อม เจิ้งเจี้ยน

เจิ้งเจี้ยนเป็นผู้บ่มเพาะหนุ่มผู้มีพรสวรรค์พิเศษ “สัญชาตญาณทะลวงจิต” บนหน้าผากของเขามีหัวคาดที่ประดับด้วยอัญมณีรูปดวงตา

เจิ้งเจี้ยนส่ายหัวอย่างหนักแน่น สีหน้าแสดงถึงความมุ่งมั่น “ไม่! ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะฝึกฝน ‘เคล็ดวิถีห้าธาตุ’ ไม่มีใครขัดขวางข้าได้!”

หนึ่งในผู้อาวุโสถอนหายใจ “เจิ้งเจี้ยน เจ้าเป็นผู้ที่โดดเด่นที่สุดในรุ่นของตระกูลเรา พรสวรรค์ ‘สัญชาตญาณทะลวงจิต’ ของเจ้าทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมเมื่อจับคู่กับเคล็ดวิชาของตระกูลเรา หากเจ้าเปลี่ยนไปฝึกเคล็ดวิชาอื่น มันจะเป็นการทำลายพรสวรรค์อันล้ำค่าของเจ้า”

เจิ้งเจี้ยนส่ายหัว “เพราะสัญชาตญาณทะลวงจิตของข้า มันบอกว่าข้าต้องรีบฝึก ‘เคล็ดวิถีห้าธาตุ’ นี้โดยเร็ว การทำเช่นนี้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อเส้นทางแห่งวิถีของข้า!”

ผู้อาวุโสอีกคนส่ายหัวพร้อมกล่าว “ในบันทึกของตระกูลเรา มีบรรพบุรุษที่มีพรสวรรค์ ‘สัญชาตญาณทะลวงจิต’ เช่นเดียวกับเจ้า แม้มันจะมอบสัญชาตญาณอันล้ำค่าแก่ผู้บ่มเพาะ แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะถูกต้องเสมอไป”

“ในประวัติของตระกูลเรา มีหลายครั้งที่สัญชาตญาณนี้ผิดพลาด เจิ้งเจี้ยน เจ้าต้องอย่าวางใจในพรสวรรค์นี้มากเกินไป”

เจิ้งเจี้ยนยังคงยืนกราน “ตั้งแต่ข้ายังเยาว์วัยจนถึงวันนี้ สัญชาตญาณของข้าไม่เคยผิดพลาดเลย และในครั้งนี้ ข้าก็ยังเลือกที่จะเชื่อในมัน ขอบคุณความหวังดีของท่านทั้งสอง แต่ข้าไม่ต้องการคำแนะนำอีกแล้ว”

ผู้อาวุโสถอนหายใจและยอมถอยหนึ่งก้าว “เช่นนั้น เจิ้งเจี้ยน เจ้าควรให้คนจากสายเลือดสาขาของตระกูลทดลองฝึกเคล็ดวิชานี้ก่อน เพื่อดูผลลัพธ์เสียก่อน”

เจิ้งเจี้ยนหัวเราะเสียงดัง “เรื่องแบบนี้ไม่สมควรแม้แต่จะเสนอ! อะไรคือสายเลือดหลัก อะไรคือสายเลือดสาขา? เพราะมันเสี่ยง เจ้าถึงต้องให้สายเลือดสาขาไปลองหรือ? หากข้าทำเช่นนี้ ข้าคงเป็นสายเลือดหลักที่อ่อนแอและไร้ศักดิ์ศรี”

“เพราะข้าคือคนในสายเลือดหลัก ข้าต้องเป็นตัวอย่างที่ดี กล้าหาญเดินหน้า มิฉะนั้น สายเลือดหลักจะมีสิทธิ์อะไรในการนำพาตระกูล?”

“สองท่านอาวุโส ข้าตัดสินใจแล้ว”

ผู้อาวุโสทั้งสองถอนหายใจยาว มองเจิ้งเจี้ยนด้วยความกังวล แต่ก็แฝงไปด้วยความชื่นชมในความมุ่งมั่นของเขา

หนึ่งในผู้อาวุโสกล่าวขึ้น “เอาเถิด มอบหยกจารึกนี้ให้เจ้าไปเถิด”

“หยกนี้เป็นของที่ท่านเจิ้งซวงโกว มอบให้เจ้าโดยเฉพาะหลังทราบถึงความตั้งใจของเจ้า”

“ในหยกจารึกนี้ บันทึกเคล็ดการสร้างอาวุธชื่อ ‘เคล็ดตะขอสังหาร’ ไว้”

เจิ้งเจี้ยนแสดงสีหน้าประหลาดใจ “ข้ากำลังสลายพลังวิถี เวลาก็เร่งรัด แล้วข้าจะมีเวลาที่ไหนไปฝึกสร้างอาวุธ?”

ผู้อาวุโสยิ้ม “อย่ารีบร้อน เจ้าลองตรวจสอบดูเถิด”

เจิ้งเจี้ยนจึงนำหยกจารึกแนบไว้ที่หน้าผาก ก่อนปลดจิตสัมผัสเข้าสำรวจ

ไม่นานนัก เขาก็เผยรอยยิ้มยินดีออกมา

“เป็นเคล็ดวิชาอันน่ามหัศจรรย์ยิ่งนัก”

“เคล็ดการสร้างอาวุธนี้ทรงพลังมาก แต่ก็มีข้อเสียอยู่ สองประการ ประการแรก ต้องใช้งานร่วมกับเคล็ดวิชาของตระกูลเราเท่านั้น ประการที่สอง ทุกครั้งที่สร้างตะขอสำเร็จ จะต้องเสียพลังวิถีของผู้สร้างลงไปหนึ่งขั้นอย่างถาวร และไม่สามารถฟื้นฟูกลับมาได้”

“แต่สำหรับข้าในตอนนี้ มันเหมาะสมที่สุด”

“พลังวิถีที่ข้าต้องสลายอยู่แล้ว ข้าจะนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ด้วยการสร้าง ‘ตะขอสังหาร’ ไม่เพียงช่วยเร่งการสลายพลังวิถี ยังทำให้ข้ามีอาวุธป้องกันตัวที่ทรงประสิทธิภาพอีกด้วย”

“ขอขอบคุณท่านบรรพชนเจิ้งซวงโกว และขอบคุณท่านผู้อาวุโสทั้งสอง”

ผู้อาวุโสทั้งสองคน แสดงสีหน้าพึงพอใจ คนหนึ่งลูบเครา อีกคนยิ้มอย่างอ่อนโยน

“นี่เป็นสิ่งที่เจ้าเหมาะสมจะได้รับอยู่แล้ว”

“ไม่เสียทีที่เป็นบุตรหลานแห่งตระกูลเจิ้ง ขอให้เจ้าประสบความสำเร็จในครั้งนี้!”

มังกรตะพาบเพลิงมองดูเจิ้งเจี้ยนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเลื่อนสายตาไปยังตระกูลหนิง

ภายในห้องประชุมลับของตระกูล ผู้นำตระกูลหนิงและเหล่าผู้อาวุโสกำลังหารือกันเพื่อสรุปรายชื่อผู้ที่จะถูกเลือก

รายชื่อที่ร่างไว้ถูกส่งต่อระหว่างมือของทุกคนในที่ประชุม

ผู้อาวุโสฝ่ายสำนักศึกษาขมวดคิ้วแน่น ก่อนกล่าว “รายชื่อนี้ยังไม่เหมาะสม”

“แม้เคล็ดวิถีห้าธาตุจะมาจากเสียงระฆังถ่ายทอดวิถีของตำหนักเซียนลาวา แต่มีเพียงแค่สามขั้นแรกเท่านั้นในตอนนี้ การเปลี่ยนมาฝึกเคล็ดวิชานี้เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และยากที่จะให้คนยินยอมพร้อมใจ”

“หากเราบังคับจัดคนเข้าไป จะก่อให้เกิดความไม่พอใจขึ้นมาอย่างแน่นอน”

“นอกจากนี้ รายชื่อนี้มีผู้คนจากสายเลือดสาขามากเกินไป แต่ผู้คนจากสายเลือดหลักกลับน้อยยิ่งนัก หากเปิดเผยรายชื่อนี้ออกไป ผู้คนจะไม่ยอมรับในความชอบธรรม”

ผู้อาวุโสแห่งสายการรบกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจ

“ตระกูลหนิงของเรานั้น สายเลือดหลักมีจำนวนคนอยู่น้อยโดยธรรมชาติ ส่วนสายเลือดสาขามีคนจำนวนมากกว่า การที่สายเลือดสาขาจะต้องส่งคนมากกว่าย่อมสมควรแล้ว”

“หากให้สายเลือดหลักส่งคนจำนวนมาก และพวกเขาเกิดเสียชีวิตในระหว่างการสำรวจตำหนักเซียนลาวา… หรือแม้ไม่เสียชีวิต แต่หากในอนาคตเราไม่สามารถค้นพบเคล็ดวิชาขั้นสูงต่อเนื่องได้ พวกเขาก็จะกลายเป็นคนไร้ค่า”

“การเสียสละเช่นนั้นสำหรับสายเลือดหลักเป็นสิ่งที่หนักหนาเกินไป”

“ข้าไม่ต้องการเห็นสถานการณ์เหมือนเมื่อสิบกว่าปีก่อนเกิดขึ้นอีก!”

สิบกว่าปีก่อน ตระกูลหนิงได้อพยพจากราชวงศ์เซียนเป่ยเฟิง ข้ามระยะทางพันลี้เพื่อมายังราชวงศ์เซียนหนานโต้ว

ระหว่างทาง พวกเขาเจอกับการซุ่มโจมตี

สายเลือดหลักของตระกูลสูญเสียสมาชิกไปเป็นจำนวนมาก และแม้แต่บรรพชนระดับแก่นทองคำของตระกูลก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส

เมื่อพวกเขามาตั้งรกรากในเมืองเซียนเพลิงมะเดื่อ บรรพชนระดับแก่นทองคำของตระกูลหนิงต้องรักษาตัวอย่างยาวนาน ทำให้กลายเป็นผู้บ่มเพาะแก่นทองคำที่มีอิทธิพลน้อยที่สุดในเมือง

ในสถานการณ์เช่นนั้น เมื่อสายเลือดสาขาเห็นว่าผู้นำสายเลือดหลักอ่อนแอ จึงเกิดความทะเยอทะยานและลุกขึ้นก่อการกบฏ พยายามโค่นล้มการปกครองของสายเลือดหลัก

ท้ายที่สุด สายเลือดหลักเอาชนะได้อย่างหวุดหวิดและด้วยความสูญเสียอย่างหนัก

ตั้งแต่นั้นมา สายเลือดหลักของตระกูลหนิงมีความระแวดระวังสายเลือดสาขาเป็นอย่างยิ่ง ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง พวกเขาใช้สารพัดวิธีเพื่อลดอิทธิพลของสายเลือดสาขาและเสริมความแข็งแกร่งให้สายเลือดหลัก

นโยบายหลักของตระกูลหนิงจึงสรุปได้ด้วยคำเดียว—‘เสริมสายเลือดหลัก อ่อนสายเลือดสาขา!’

อย่างไรก็ตาม นโยบายนี้กลับกลายเป็นสิ่งที่ยากจะใช้งานได้ในกรณีของการเลือกคนไปฝึก ‘เคล็ดวิถีห้าธาตุ’

เนื่องจากพวกเขายังไม่อาจรู้ได้ว่าการฝึกเคล็ดวิชานี้ในอนาคตจะนำไปสู่สิ่งใด

หากเคล็ดวิชานี้มีอนาคตสดใส พวกเขาย่อมต้องการให้สายเลือดหลักเป็นผู้ฝึกฝน

แต่หากเคล็ดวิชานี้ไม่มีอนาคตที่ดี พวกเขาก็ต้องการให้สายเลือดสาขาเป็นผู้รับความเสี่ยงแทน

ในตอนนี้ ไม่มีใครสามารถรับประกันถึงอนาคตได้

ผู้อาวุโสส่วนใหญ่จึงเลือกแนวทางที่ ระมัดระวังและอนุรักษ์นิยม ในการตัดสินใจ

หลังจากหารือกันอยู่พักใหญ่ รายชื่อของสายเลือดสาขาถูกสรุปลงตัว แต่การตัดสินใจในส่วนของสายเลือดหลักกลับเต็มไปด้วยความขัดแย้ง

เหล่าผู้อาวุโสที่อยู่ในที่ประชุมล้วนเป็นคนจากสายเลือดหลัก และแต่ละคนต่างก็มีเครือข่ายผลประโยชน์ของตัวเอง จึงเป็นเรื่องยากที่จะตกลงกันได้

ผู้นำตระกูลฟังการโต้เถียงของพวกเขาอยู่นาน ก่อนจะกล่าวขึ้นในช่วงที่ทุกคนหยุดพักหายใจ “ไม่ว่าจำนวนคนจากสายเลือดหลักจะมากหรือน้อย แต่หากไม่มีผู้บัญชาการหลัก การนำกลุ่มย่อมเป็นไปไม่ได้ สายเลือดสาขามีจำนวนคนมาก หากไม่มีคนจากสายเลือดหลักที่มีอำนาจและความสามารถคอยควบคุม ย่อมกลายเป็นสถานการณ์ที่ยากจะควบคุมได้ และอาจถึงขั้นกลับตาลปัตร”

คำพูดของผู้นำตระกูลทำให้ผู้อาวุโสในที่ประชุมแสดงสีหน้าหนักใจอย่างพร้อมเพรียง เพราะชัดเจนว่า ผู้นำตระกูลต้องการส่งคนที่มีศักยภาพสูงจริงๆ จากสายเลือดหลักเข้าร่วม

ผู้นำตระกูลถามต่อ “ในบรรดาผู้ที่อยู่ในขอบเขตหลอมรวมแห่งตระกูล ใครที่เหมาะสมจะรับหน้าที่สำคัญนี้?”

เหล่าผู้อาวุโสต่างตอบพร้อมกัน “ย่อมต้องเป็นหนิงเสี่ยวฮุ่ยอย่างไม่ต้องสงสัย”

“นางเกิดมาพร้อมพรสวรรค์ ‘หัตถ์หยกเยือกแข็ง’ สามารถสร้างยันต์น้ำแข็งได้ด้วยความชำนาญ ราวกับมือและจิตเป็นหนึ่งเดียว ผลงานที่ออกมาล้วนเป็นชิ้นงานชั้นเลิศ!”

“จะให้นางไปเสี่ยงกับเรื่องเช่นนี้…?”

“ข้าไม่เห็นด้วย!” เสียงของผู้อาวุโสสายสร้างยันต์ดังขึ้นขัดจังหวะการสนทนา พร้อมแสดงท่าทีคัดค้านอย่างหนักแน่น

การโต้เถียงรอบใหม่จึงเริ่มขึ้นอีกครั้ง

ผู้นำตระกูลถึงกับปวดศีรษะ เขารอจนการโต้เถียงสงบลงเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวขึ้น “หากเช่นนั้น เหตุใดเราไม่ลองถามความเห็นของหนิงเสี่ยวฮุ่ยเองก่อนเล่า?”

ทันใดนั้น ผู้อาวุโสจากสายสร้างยันต์ลุกพรวดขึ้น เปิดประตูเดินออกไปจากห้องประชุม “ข้าจะไปพูดกับนางด้วยตัวเอง!”

ในเวลาไม่นาน

“ท่านผู้อาวุโส” หนิงเสี่ยวฮุ่ยค้อมตัวคารวะ

เมื่อได้ยินเรื่องนี้ สีหน้าของนางเปลี่ยนไปทันที “ข้ามีพรสวรรค์ ‘หัตถ์หยกเยือกแข็ง’ อยู่แล้ว เส้นทางของข้าคือการฝึกสร้างยันต์น้ำแข็ง ซึ่งเป็นเส้นทางที่ยิ่งใหญ่และชัดเจน”

“ตอนนี้พวกท่านกลับต้องการให้ข้าเปลี่ยนไปฝึกศาสตร์กลไก ซึ่งเป็นเพียงแขนงย่อย เช่นนี้ผู้ใดกันแน่ที่คิดจะขัดขวางเส้นทางของข้า?”

“ข้าจะไปฟ้องท่านย่า!”

ผู้อาวุโสจากสายสร้างยันต์กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าสนับสนุนเจ้าเต็มที่ เสี่ยวฮุ่ย ไปเถิด ข้าจะไปกับเจ้า”

ในขณะเดียวกัน

มังกรตะพาบเพลิงที่กำลังสังเกตการณ์อยู่ถึงกับพ่นควันเพลิงออกมาด้วยความไม่พอใจ ใบหน้ามังกรของมันแสดงความเหยียดหยามอย่างชัดเจน

ในบรรดาสี่ตระกูลใหญ่ในเมืองเซียนเพลิงมะเดื่อ มันรู้สึกเกลียดชังตระกูลหนิงที่สุด

มันกำลังจะละสายตาจากตระกูลหนิง แต่แล้วมันกลับหยุดชะงัก

ไม่ไกลจากพื้นที่ของตระกูลหนิง มีบ้านเล็กๆหลังหนึ่ง

ในห้องทำงานใต้ดินของบ้านหลังนั้น เด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งสมาธิและเร่งบ่มเพาะ

เลือดสดไหลออกมาจากรูจมูกของเขาอย่างช้าๆ

วิชาที่เขาฝึกอยู่ช่างเด่นชัด นั่นคือ ‘เคล็ดวิถีห้าธาตุ’

และเขาอยู่ในขอบเขตหลอมรวมขั้นสอง!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด