ตอนที่ 17 ก้าวข้ามตนเอง
ตอนที่ 17 ก้าวข้ามตนเอง
ภายในห้องขังใต้ดิน เหล่าผู้บ่มเพาะตระกูลหนิงกำลังโต้เถียงกันอย่างเคร่งเครียด
เสียงระฆังถ่ายทอดวิถีได้ปดปล่อยเคล็ดวิถีห้าธาตุ แต่กลับมีเพียงเนื้อหาแค่สามขั้นเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาแลกเปลี่ยนความเข้าใจในเคล็ดวิชา พบว่ามีความแตกต่างกันในบางส่วน
ยกตัวอย่างเช่น ในส่วนของการรวมตัวของพลังธาตุทอง บางคนเข้าใจว่า “พลังธาตุทองเข้าสู่ฝ่ามือ แผ่ซ่านทั่วเส้นชีพจร จากฝ่ามือสู่ปอด บำรุงอวัยวะภายใน การฝึกนี้ต้องใช้ความสงบนิ่งของจิตใจ หายใจให้สม่ำเสมอ พลังธาตุทองมีคุณสมบัติแห้ง หากใช้ไม่ถูกต้อง อาจเป็นอันตรายต่อปอด”
ในขณะที่บางคนกลับเข้าใจว่า “พลังธาตุทองเข้าสู่ฝ่ามือ…เสริมจิตใจให้พุ่งพล่าน ใช้การหายใจที่รวดเร็ว พลังธาตุทองทรงพลังคมกล้า เหมาะกับการทำลายล้างและการตัดสินใจที่เด็ดขาด”
ความเข้าใจแรกเน้นไปที่การฝึกฝนอย่างค่อยเป็นค่อยไป ในขณะที่ความเข้าใจที่สองกลับเน้นความกล้าและความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าทุกคนจะฟังเสียงระฆังเดียวกัน แต่กลับมีความเข้าใจที่แตกต่างกันไป จึงเกิดการถกเถียงกันไม่หยุด
“ดูเหมือนว่าพวกเจ้ายังไม่เข้าใจดีนักว่า ‘ระฆังถ่ายทอดวิถี’ คือสิ่งใด” ในขณะที่การถกเถียงยังดำเนินอยู่ ฉือถุนก็ปรากฏตัวขึ้น พร้อมกับพาหนิงเฉินและหนิงหย่งกลับมาด้วย
ถึงตอนนี้ ฉือถุนได้สอบสวนเหล่าผู้บ่มเพาะตระกูลหนิงจนเสร็จสิ้นทั้งหมด
ผู้บ่มเพาะบางคนรีบโค้งคำนับและกล่าวด้วยความนอบน้อม “ขอท่านฉือถุนโปรดชี้แนะ”
หนิงโจวมองไปยังหนิงเฉินและหนิงหย่งพร้อมรอยยิ้ม แต่สายตาของทั้งสองกลับหลบเลี่ยงเขา
ก่อนหน้านี้ ระหว่างการสอบสวน หนิงเฉินและหนิงหย่งได้เปิดเผยความจริงทั้งหมด รวมถึงคำสั่งของหนิงจ้านจีที่ให้พวกเขายั่วยุหนิงโจวเข้าไปในถ้ำลาวา
ฉือถุนเริ่มอธิบายเพื่อคลี่คลายข้อสงสัยของทุกคน “ระฆังถ่ายทอดวิถี ตามชื่อก็คือการถ่ายทอดเคล็ดวิชา”
“ข้อดีของการเปลี่ยนเสียงระฆังให้เป็นเคล็ดวิชาคือ ไม่ว่าภาษาใด หรือแม้แต่สิ่งมีชีวิตต่างเผ่าพันธุ์ ก็สามารถทำความเข้าใจได้”
“สามปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้มีเมตตาและปรารถนาที่จะช่วยเหลือทุกชีวิต ได้ทิ้งระฆังถ่ายทอดวิถีไว้ ไม่เพียงเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ แต่ยังรวมถึงสิ่งมีชีวิตอื่นๆด้วย”
“ระฆังถ่ายทอดวิถีเองก็มีหลายระดับ ระฆังทั่วไปจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาในแบบเดียวกัน แต่ระฆังชั้นเลิศนั้น เคล็ดวิชาที่ถ่ายทอดออกมาจะปรับเปลี่ยนตามตัวบุคคล”
คำอธิบายของฉือถุนทำให้คนส่วนใหญ่ตกตะลึง แต่ก็มีบางคนที่เริ่มเข้าใจและครุ่นคิดตามอย่างลึกซึ้ง
ฉือถุนกล่าวต่อ
“เคล็ดวิชาที่พวกเจ้าทุกคนได้รับ ล้วนถูกต้องทั้งสิ้น”
“เพราะเคล็ดวิชาเหล่านี้ปรับแต่งมาจากตัวตนของพวกเจ้าเอง จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยตามความเหมาะสม”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง!” เหล่าผู้บ่มเพาะต่างตระหนักขึ้นมาทันที สีหน้าของพวกเขาเปี่ยมด้วยความยินดี
“เคล็ดวิชาบ่มเพาะทุกแขนง ล้วนเป็นวิธีการที่ดึงพลังจากโลกภายนอกมาให้เราดูดซับ เก็บสะสม และนำไปใช้ ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา”
“ถูกต้อง เคล็ดวิชาบ่มเพาะโบราณจึงมักไม่อาจเทียบกับเคล็ดวิชาใหม่ได้ เพราะสภาพแวดล้อมภายนอกเปลี่ยนไปตามกาลเวลา”
“สามปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ช่างเปี่ยมด้วยเมตตา ปรับแต่งเคล็ดวิชาให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล”
ฉือถุนกล่าวเสริม “นี่คือเอกลักษณ์ของวิถีแห่งพุทธ วิถีแห่งพุทธนั้นเก่งกาจในการเปลี่ยนแปลงพลังภายนอกให้กลายเป็นพลังพุทธะ เช่นคำที่ว่า ‘วางดาบเพชฌฆาตลงและกลายเป็นพุทธะ’ หมายถึงการเปลี่ยนพลังมารที่สะสมมานานปีให้กลายเป็นพลังพุทธะ”
“แต่พวกเจ้าจงอย่าได้คาดหวังเกินไป เสียงระฆังถ่ายทอดวิถีมีข้อจำกัด แม้จะปรับแต่งให้เหมาะสมกับสิ่งมีชีวิตทั้งเมือง แต่ระดับการปรับเปลี่ยนนั้นย่อมมีขอบเขต”
“ดังนั้น อย่าเข้าใจผิดว่าเคล็ดวิชานี้สมบูรณ์แบบเสียทีเดียว ระหว่างการบ่มเพาะ พวกเจ้ายังคงสามารถปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงมันได้”
เหล่าผู้บ่มเพาะตระกูลหนิงต่างหันมามองหน้ากันด้วยความลังเล
ผู้หนึ่งกล่าวพร้อมรอยยิ้มขมขื่น “การปรับปรุงเคล็ดวิชาบ่มเพาะยากเกินไป ท่านฉือถุนให้ความสำคัญพวกเรามากเกินไปแล้ว”
อีกผู้หนึ่งเสริม “คนที่จะปรับปรุงเคล็ดวิชาได้ จะต้องมีความเข้าใจในเคล็ดวิชานั้นอย่างลึกซึ้ง หรือไม่ก็ต้องมีพรสวรรค์ล้ำเลิศ ซึ่งข้าคิดว่าเราไม่มีคุณสมบัติเช่นนั้นแน่นอน”
ฉือถุนรู้ดีถึงข้อจำกัดเหล่านี้ แต่เขาเพียงตั้งใจเตือนพวกเขาไว้
“เอาล่ะ พวกเจ้าได้รับการล้างข้อสงสัยแล้ว ออกไปจากห้องขังใต้ดินเสียเถิด จะได้ไม่เปลืองพื้นที่”
การปล่อยเหล่าผู้บ่มเพาะตระกูลหนิงเป็นการแสดงไมตรีของฉือถุนอย่างแนบเนียน เพื่อแสดงให้เห็นว่าการสอบสวนพวกเขานั้นไม่ได้มาจากเจตนาของเขาเอง แต่เป็นเพียงหน้าที่
เหล่าผู้บ่มเพาะตระกูลหนิงกล่าวขอบคุณฉือถุนอย่างล้นหลาม ก่อนจะเดินออกจากห้องขังใต้ดินตามเขาไป
แต่เมื่อพวกเขาเพิ่งก้าวออกมาสู่ยามเช้า แสงแรกของรุ่งอรุณที่พวกเขาเห็น กลับต้องสะดุ้งตกใจเมื่อ กระดิ่งเตือนจิต ที่ฉือถุนพกไว้ส่งเสียงดังสนั่นกึกก้องอย่างแหลมคม
ฉือถุนเปลี่ยนสีหน้าทันที พลังวิถีในร่างพุ่งพล่าน เขาพุ่งออกไปตามทิศทางที่กระดิ่งเตือนจิตชี้นำ
แรงกระแทกจากการเคลื่อนไหวของฉือถุนรุนแรงจนเหล่าผู้บ่มเพาะตระกูลหนิงถูกซัดปลิวกระเด็นออกไปคนละทิศทาง!
ในชั่วพริบตา เสียงระเบิดดังสนั่น พื้นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ฝุ่นควันพวยพุ่งขึ้นฟ้า
จากกลุ่มฝุ่นควัน เงาร่างหนึ่งพุ่งออกมา
เหล่าผู้บ่มเพาะตระกูลหนิงต่างอุทานด้วยความตกใจ “นั่นมันผู้บ่มเพาะสายปีศาจเงาดำ!”
“เจ้าคนบาปหนา! บังอาจลอบสำรวจห้องขังใต้ดิน!” ฉือถุนตะโกนด้วยความโกรธ ก่อนจะพุ่งออกไล่ล่าเงาดำ
เงาดำนั้นหัวเราะเยาะเย้ยเสียงแหบแห้งขณะต่อสู้และถอยร่นออกไป
ตูม! ตูม! ตูม!
การต่อสู้ของทั้งสองก่อให้เกิดแรงระเบิดในพื้นที่โดยรอบ สิ่งปลูกสร้างต่างๆ ทั้งใหญ่และเล็ก ไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือนหรืออาคาร ต่างพังทลายลงอย่างรวดเร็ว
ชาวเมืองพากันวิ่งหนีด้วยความตื่นตระหนก ทำให้เกิดความโกลาหลไปทั่ว
“เรารีบหนีกันเถอะ!” เหล่าผู้บ่มเพาะตระกูลหนิงหันมองกัน ก่อนรีบวิ่งหนีไปในทิศทางตรงกันข้ามกับการต่อสู้
หนิงเฉินและหนิงหย่งพยายามลากตัวหนิงโจวออกไปด้วย
แต่หนิงโจวกลับกล่าวว่า “จะหนีทำไม? กลับไปที่ห้องขังใต้ดินดีกว่า ที่นั่นปลอดภัยที่สุด!”
ทั้งสองคนถึงกับชะงัก
หนิงโจวไม่รอคำตอบ เขาคว้าข้อมือทั้งสองคนไว้แน่น “เชื่อข้าเถิด ไม่มีผิดแน่นอน”
ทั้งสามจึงกลับเข้าไปในห้องขังใต้ดินอีกครั้ง
เมื่อพวกเขากลับไปยังห้องขัง อาหาร ผลไม้ และน้ำชายังคงวางอยู่ที่เดิม
พวกเขานั่งลง หนิงโจวอธิบายด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “แม้เมืองเซียนเพลิงมะเดื่อจะมีค่ายกลป้องกัน ทำให้พลังของผู้บ่มเพาะลดลง แต่ผู้บ่มเพาะแก่นทองคำก็ยังแข็งแกร่งเกินกว่าที่เราจะต้านทานได้”
“หากพวกเขาสู้กันและเผลอต่อสู้มาถึงบริเวณใกล้ตัวเราเหมือนในถ้ำลาวา พวกเราจะเอาชีวิตรอดอย่างไร?”
“ท่านฉือถุนเป็นผู้บ่มเพาะสายกายาที่ทรงพลัง ในเมืองนี้ผลกระทบต่อพลังของเขาน้อยมาก ข้าคิดว่าโอกาสที่เขาจะชนะมีสูง”
“เราเพียงรอให้เขาสังหารผู้บ่มเพาะสายปีศาจเงาดำสำเร็จ แล้วค่อยออกไป นั่นคือทางที่ปลอดภัยที่สุด”
เมื่อได้ยินดังนั้น หนิงเฉินและหนิงหย่งก็เห็นด้วยกับเหตุผลของหนิงโจว
ตูม! ตูม! ตูม!
เสียงการปะทะของผู้บ่มเพาะแก่นทองคำยังคงดำเนินไปอย่างรุนแรง พื้นดินในห้องขังใต้ดินสั่นสะเทือน เศษฝุ่นและผงปูนร่วงหล่นจากเพดาน
หนิงเฉินและหนิงหย่งนั่งอย่างกระวนกระวาย ขณะที่หนิงโจวกลับแสดงท่าทีผ่อนคลาย เขากินผลไม้และจิบชาอย่างสบายใจ จนดูเหมือนไม่ใส่ใจสิ่งรอบตัว
พฤติกรรมเช่นนี้ทำให้หนิงเฉินและหนิงหย่งยิ่งชื่นชมเขามากขึ้น
หนิงโจวยิ้มพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ข้าคิดตกแล้ว! หากผู้บ่มเพาะแก่นทองคำสองคนต่อสู้จนมาถึงตรงนี้ พวกเราก็คงไม่รอดแน่”
“ในสถานการณ์เลวร้ายที่สุดเช่นนั้น ข้าก็คิดว่า…กินให้อิ่มเสียก่อนตายจะดีกว่า อย่างน้อยจะได้ไม่ตายไปพร้อมความหิว!”
หนิงเฉินได้แต่เงียบ
ขณะที่หนิงหย่งตบศีรษะตัวเอง แล้วชูนิ้วโป้งให้หนิงโจว “เจ้าพูดถูก อาโจว เจ้าฉลาดจริงๆ!”
เขาหยิบองุ่นหนึ่งกำมือใส่ปาก ก่อนจะเรียกหนิงเฉิน “เจ้าก็กินบ้างสิ รีบกินเถอะ”
หนิงเฉินกลอกตาอย่างเหนื่อยหน่าย สีหน้าและอารมณ์ของเขายังคงหนักอึ้ง เขาส่ายหัว “พวกเจ้ากินเถิด ข้ากินไม่ลง”
การต่อสู้ระหว่างผู้บ่มเพาะแก่นทองคำทั้งสองคนไม่ได้ยืดเยื้อนานนัก
ทั้งสามคนจับตามองสถานการณ์อยู่ตลอด และพบว่าเสียงการต่อสู้เริ่มลดลง เสียงระเบิดค่อยๆห่างออกไป ทำให้พวกเขาค่อยๆเบาใจลง
กระทั่งเสียงทั้งหมดหายไปในที่สุด ผู้คุมห้องขังก็เดินเข้ามาแจ้งให้พวกเขาทั้งสามออกจากห้องขังใต้ดิน
ทั้งสามจึงออกจากห้องขัง และพบว่าฉือถุนและผู้บ่มเพาะสายปีศาจเงาดำได้หายตัวไปแล้ว คนอื่นๆบอกว่าพวกเขาต่อสู้กันจนลับหายออกไปนอกเมือง
รอบเมืองเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง อาคารมากมายพังทลายกลายเป็นเศษซาก
ในกองซากเหล่านั้น เต็มไปด้วยศพและเสียงร้องไห้คร่ำครวญของผู้รอดชีวิต ทำให้ยามเช้าของวันใหม่ช่างหนาวเย็นอย่างน่าประหลาด
ทั้งสามคนแห่งตระกูลหนิงมองเหตุการณ์ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“แปลกนัก ก่อนหน้านี้ข้ากลับรู้สึกว่าเมืองเซียนนี้ปลอดภัยดีแท้” หนิงหย่งกล่าว
หนิงเฉินถอนหายใจ “นี่ถือว่าโชคดีแล้ว หากไม่มีค่ายกลป้องกันของเมือง ผู้บ่มเพาะแก่นทองคำสามารถใช้พลังได้เต็มที่ การโจมตีครั้งเดียวอาจทำลายเมืองไปครึ่งหนึ่ง”
หนิงโจวรีบกล่าว “เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่เราควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว รีบกลับกันเถอะ ตอนนี้ข้าอยากกลับไปนอนคลุมโปงให้เต็มอิ่มสักครั้ง”
คำพูดของเขาปลุกให้เพื่อนทั้งสองตระหนักถึงความเหนื่อยล้าที่สะสมในร่างกาย
หลังเดินทางด้วยกันได้สักพัก หนิงโจวก็แยกตัวจากพวกเขา
เหตุการณ์ในคืนที่ผ่านมาทำให้หนิงโจวเหนื่อยล้าอย่างที่สุด เมื่อกลับถึงบ้าน เขาล้มตัวลงนอนและหลับสนิททันที
เขานอนหลับจนถึงยามเย็น ก่อนจะตื่นขึ้นมาอย่างช้าๆ
หลังจากกินอาหารเบาๆ หนิงโจวก็ลงไปยังห้องทำงานใต้ดินของเขา
เขานั่งสมาธิบนอาสนะผ้าฟาง และเริ่มทดลองฝึกเคล็ดวิชา “วิถีห้าธาตุ” เป็นครั้งแรก
ก่อนหน้านี้ หนิงโจวฝึกฝน คัมภีร์ยันต์น้ำแข็ง ซึ่งเป็นหนึ่งในสามเคล็ดวิชาหลักของตระกูลหนิง โดยปกติ หากเขาต้องการเปลี่ยนเคล็ดวิชาใหม่ เขาจะต้องสลายพลังจากเคล็ดวิชาเก่าให้หมดก่อน
แต่สำหรับหนิงโจว เขาไม่ต้องทำเช่นนั้น
“ตราประทับพุทธะมาร”
“แปรผู้อื่นเป็นมาร แปรตนเองเป็นพุทธะ”
ตราประทับนี้ไม่เพียงช่วยระงับอารมณ์และความคิด ป้องกันการล้วงจิต แต่ยังสามารถ แปลงพลังวิถี จากเคล็ดวิชาเก่าให้กลายเป็นพลังวิถีใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
พลังจากเคล็ดวิชายันต์น้ำแข็งของเขาถูกแปรเปลี่ยนเป็น พลังวิถีห้าธาตุโดยตรง ด้วยความเร็วที่น่าทึ่ง!