บทที่ 65 ตบได้ดี!
“เพี้ยะ!”
เสียงตบดังขึ้นทันทีโดยที่หวังเสี่ยวเหรินไม่ทันตั้งตัว
เสียงแสบแก้วหูดังสนั่น ใบหน้าอ้วนของเขาบวมขึ้นทันทีที่โดนตบ เลือดไหลออกมาจากมุมปาก พร้อมเสียงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด
“เฉินเสี่ยวเป่ย! แกกล้ามากที่บังอาจลงมือตบคนในห้องฝ่ายปกครอง!” เหวินเฟิงพูดพลางลุกขึ้นยืนทุบโต๊ะด้วยความโกรธ
“หุบปากไปเลย! เชื่อไหมว่าฉันจะตบนายอีกคน?” เฉินเสี่ยวเป่ยจ้องเขม็ง พร้อมปล่อยบรรยากาศที่น่าเกรงขามออกมา
คำกล่าวที่ว่า “อยู่ใกล้คนดีเป็นคนดี อยู่ใกล้คนชั่วเป็นคนชั่ว” ดูจะใช้ได้กับเฉินเสี่ยวเป่ยที่อยู่กับเซี่ยงอวี่มานานจนมีรัศมีความเป็นผู้นำอันโดดเด่น
“อย่านะ! อย่าตบผมเลย……”
เหวินเฟิงสะดุ้งด้วยความตกใจ ราวกับกระต่ายที่ถูกไล่ล่า รีบยกมือป้องหัวแล้วนั่งกลับลงไปที่โซฟาอย่างว่าง่าย
เขาเคยโดนเฉินเสี่ยวเป่ยตบจนกลัวเกินกว่าจะเผชิญหน้ากับเขาได้
“เฉินเสี่ยวเป่ย! นายทำเกินไปแล้ว!”
เยียนลี่เห็นเหตุการณ์จึงตะโกนขึ้นด้วยความโกรธ “ฉันทำงานเป็นหัวหน้าฝ่ายปกครองมากว่าสิบปี ยังไม่เคยเจอนักเรียนเลวร้ายแบบนายมาก่อน! กล้าทำร้ายคนในห้องฝ่ายปกครองแบบนี้ สมควรถูกเพิ่มโทษอีกขั้น!”
“หัวหน้าเยียน ไม่ต้องตะโกนใส่ผมหรอก เดี๋ยวผมโทรศัพท์แค่สายเดียว แล้วคุณค่อยตัดสินใจว่าจะลงโทษผมยังไง” เฉินเสี่ยวเป่ยพูดอย่างไม่ใส่ใจ
“โทร? นายจะโทรหาใคร? ใครจะช่วยนายได้?”
เยียนลี่พูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “แค่เด็กยากจนคนหนึ่ง ทำร้ายลูกชายของรองอธิการบดี คิดว่าจะมีใครช่วยได้เหรอ?”
“ฮึฮึ ผมจะโทรหาคนที่คุณเคารพมากที่สุด… รองอธิการบดียังไงล่ะ!”
เฉินเสี่ยวเป่ยยิ้มบาง ๆ ก่อนหยิบโทรศัพท์ออกมาและกดหมายเลข
ทุกคนรอบ ๆ ต่างทำหน้าสงสัย ไม่เข้าใจว่าเฉินเสี่ยวเป่ยโทรหาผู้มีอำนาจแบบนั้นเพื่ออะไร
หรือเขาต้องการมอบตัว? ยอมรับผิดเพื่อแลกกับโอกาสผ่อนผัน?
หวังเสี่ยวเหรินและเหวินเฟิงมองด้วยสายตาร้ายกาจ รอคอยเห็นเฉินเสี่ยวเป่ยทำเรื่องขายหน้า
ในขณะที่หลินเซียงกัดริมฝีปาก เธอห่วงใยเขาอย่างมากแต่ไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรได้
“ตู๊ด… ตู๊ด… ตู๊ด…”
เสียงรอสายดังขึ้น และในที่สุดก็มีคนรับสาย
เฉินเสี่ยวเป่ยเปิดลำโพงทันที
เสียงชายคนหนึ่งที่ฟังดูขี้เกียจดังออกมาจากโทรศัพท์ “ใคร?”
“หวังเจี้ยนเหริน ไม่ได้เจอกันนาน จำเสียงผมได้ไหม?” เฉินเสี่ยวเป่ยพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
ทุกคนรอบ ๆ ถึงกับนิ่งอึ้ง
เด็กคนนี้กล้าพูดชื่อรองอธิการบดีตรง ๆ แบบนี้เลยหรือ? ช่างบ้าบิ่นอะไรอย่างนี้!
“จำได้… จำได้… พี่ชายมีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ?” เสียงในโทรศัพท์เปลี่ยนเป็นน้ำเสียงสุภาพ อ่อนน้อมอย่างกับทาส
คำพูดนี้ทำให้เหวินเฟิงกับพวกตกตะลึงจนพูดไม่ออก
รองอธิการบดีเรียกเฉินเสี่ยวเป่ยว่า ‘พี่ชาย’? นี่มันเรื่องอะไร? หรือเราหูฝาด?
มีเพียงหลินเซียงที่เริ่มเข้าใจสถานการณ์
ความจริงมันง่ายมาก ครั้งก่อนเฉินเสี่ยวเป่ยให้สี่สาวทองคำจัดการหวังเจี้ยนเหรินจนเขาเกือบสลบ และยังบันทึกวิดีโอสั้นเอาไว้ด้วย
หากวิดีโอนั้นหลุดออกไป ชีวิตหวังเจี้ยนเหรินต้องพังพินาศ แม้แต่ตำแหน่งรองอธิการบดีก็ต้องหลุดมือ
เมื่อจุดอ่อนถูกเฉินเสี่ยวเป่ยจับไว้ หวังเจี้ยนเหรินจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมอ่อนน้อมเหมือนทาส
“เรื่องมันเป็นแบบนี้ วันนี้ผมตบหน้าลูกชายคุณไปสองที คุณจะจัดการยังไงก็ว่ามา” เฉินเสี่ยวเป่ยพูดเรียบ ๆ
“ตบได้ดี!”
หวังเจี้ยนเหรินพูดทันทีโดยไม่ลังเล “ตบได้ดีมาก! ไอ้ลูกชายที่ไม่ได้เรื่องของฉัน เอาแต่ก่อเรื่องวุ่นวาย ฉันอยากจะตบมันเองนานแล้ว! ขอบคุณพี่ชายที่ช่วยทำแทน! ขอบคุณจริง ๆ!”
“นี่มัน… นี่มันอะไรกัน…”
หวังเสี่ยวเหรินได้ยินดังนั้น เกือบกระอักเลือดออกมา
นี่พ่อแท้ ๆ หรือเปล่า? ลูกโดนตบ แต่กลับบอกว่าตบได้ดี แถมยังขอบคุณเฉินเสี่ยวเป่ยอีก!
มีพ่อแบบนี้อยู่บนโลกด้วยหรือ?
หวังเสี่ยวเหรินถึงกับสงสัยว่าตัวเองอาจจะเป็นลูกของ “ลุงหวังข้างบ้าน” เสียแล้ว
เยียนลี่และเหวินเฟิงก็ตกตะลึงเช่นกัน พวกเขาไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้
แต่เฉินเสี่ยวเป่ยไม่สนใจพวกเขา และพูดต่อไปว่า “ผมยังตบเด็กอีกคนด้วย แต่หัวหน้าเยียนบอกว่าจะให้ผมถูกบันทึกความผิดสองครั้ง”
หวังเจี้ยนเหรินได้ยินดังนั้น ก็พูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน “เยียนลี่ ไอ้โง่! นายบ้าหรือเปล่า! พี่ชายฉันโทรมาเองแบบนี้ นายยังจะกล้าทำเรื่องโง่ ๆ อีกเหรอ? เอาโทรศัพท์มาให้ผมพูดกับมันหน่อย!”
“ผมเปิดลำโพงไว้แล้ว เขาอยู่ข้าง ๆ ได้ยินคุณพูด” เฉินเสี่ยวเป่ยตอบเรียบ ๆ
“เยียนลี่! นายมันโง่เง่า! ไม่อยากเป็นหัวหน้าฝ่ายปกครองแล้วใช่ไหม?” หวังเจี้ยนเหรินตะโกนด้วยน้ำเสียงดุดัน
“ไม่ใช่… คุณรองอธิการบดี คุณเข้าใจผิด…” เยียนลี่เหงื่อแตกพลั่ก
“เข้าใจผิดบ้านแกสิ!”
หวังเจี้ยนเหรินตะโกนต่อ “เรื่องวันนี้ นายยังไม่ได้ตรวจสอบให้ชัดเจน! กล้าหาเรื่องพี่ชายฉัน ถ้ายังไม่เลิก ฉันจะส่งนายไปกวาดห้องน้ำ!”
“อย่า… ได้โปรดคุณรองอธิการบดี ใจเย็น ๆ ทั้งหมดเป็นความผิดของผมเอง ผมจะขอโทษพี่ชายเดี๋ยวนี้!”
เยียนลี่ตกใจจนแทบฉี่ราด
ตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายปกครองอาจจะเล็ก แต่ถ้าถูกลดตำแหน่งไปกวาดห้องน้ำ เขาคงต้องร้องไห้จนตาบอด
“พี่ใหญ่ครับ ผมผิดไปแล้ว…” เยียนลี่รีบหันไปหาเฉินเสี่ยวเป่ย
“เรียกฉันว่าเป่ยเกอ” เฉินเสี่ยวเป่ยพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“เป่ยเกอ! ผมผิดไปแล้ว! ขอร้อง อย่าถือสาผมเลย ผมมีแม่แก่ 80 ปี และลูกเล็ก 8 ขวบ ผมไปกวาดห้องน้ำไม่ได้หรอกครับ…” เยียนลี่ทำหน้าสงสารสุด ๆ
“เมื่อกี้นายไม่บอกว่าจะบันทึกความผิดสองครั้งเหรอ?” เฉินเสี่ยวเป่ยถามเสียงเย็น
“ผมไม่กล้าหรอกครับ…”
เยียนลี่พูดพลางทำหน้าหมองคล้ำ “เป่ยเกอ คุณถือว่าผมพูดอะไรโง่ ๆ ไปก็แล้วกัน อย่าถือสาผมเลยนะครับ…”
“ฮึ นึกว่าเป็นแค่ลมปากเหรอ ถึงว่าทำไมมันเหม็นนัก…”
เฉินเสี่ยวเป่ยพูดอย่างดูถูก “โอเค เรื่องนี้จบแค่นี้ อย่ามากวนฉันอีก ไม่งั้น นายต้องรับผลเอง!”
หลังจากพูดจบ เขาก็วางสายแล้วพาหลินเซียงเดินออกจากห้องฝ่ายปกครองไป
“ครับ ๆ เป่ยเกอเดินทางปลอดภัยนะครับ ถ้ามีโอกาสแวะมาดื่มชาที่นี่อีกนะครับ!”
เยียนลี่เดินส่งถึงประตู ก้มหน้าโค้งตัวอย่างนอบน้อม
“นี่มัน…”
เหวินเฟิงและหวังเสี่ยวเหรินยืนงงเป็นไก่ตาแตก
นี่ใช่หัวหน้าฝ่ายปกครองที่เข้มงวดที่สุดในประวัติศาสตร์จริงหรือ? ทำไมถึงกลายเป็นหลานชายที่เชื่อฟังเฉินเสี่ยวเป่ยแบบนี้?
ไม่ได้จัดการเฉินเสี่ยวเป่ย กลับกลายเป็นถูกเฉินเสี่ยวเป่ยจัดการจนหน้ามืดตามัว ช่างน่าอายจริง ๆ!
“หวังเสี่ยวเหริน! นี่มันเรื่องอะไรกัน? ทำไมพ่อของนายถึงเข้าข้างไอ้หมอนั่น?” เหวินเฟิงพูดด้วยความโกรธ
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ฉันขอยืนยัน ฉันยืนข้างเฟิงเส้า! พวกเราคอยหาโอกาสแก้แค้นกันเถอะ!” หวังเสี่ยวเหรินกล่าว
“พอเถอะ แค่อย่าให้หมอนั่นออกนอกมหาวิทยาลัยก็พอ ไม่อย่างนั้น ฉันไม่ต้องการให้นายช่วยเลย”
แววตาเหวินเฟิงเต็มไปด้วยความอาฆาต
เวลานี้ “ผึ้งพิษ” ยังคงซุ่มอยู่หน้ามหาลัย
ถ้าเฉินเสี่ยวเป่ยออกมาเมื่อไร ชีวิตของเขาจะต้องจบลงแน่นอน!
………
“นายทำอะไร?”
ทันทีที่ออกจากตึก เฉินเสี่ยวเป่ยคว้ามือเล็ก ๆ ของหลินเซียง ทำให้เธอตกใจจนสะดุ้ง
“ฉันไม่ได้ทำอะไร”
เฉินเสี่ยวเป่ยยิ้มมุมปาก ก่อนยื่นหน้าเข้าไปจูบที่ริมฝีปากสีชมพูของหลินเซียงทันที