บทที่ 45 หากไม่เช่นนั้นแล้วอย่างไร?
"ติ๊ง ติ๊ง ตั๊ง ตั๊ง~"
เสียงกระทบกันของโลหะดังก้องเป็นจังหวะ
"แกรก!"
ทันใดนั้น เสียงแตกหักก็ดังขึ้น ฉินเฟิงมองดูชิ้นส่วนของอาวุธวิเศษที่พังทลายในมือ ก่อนจะเบ้ปากแล้วโยนมันทิ้งไปด้านข้าง
หลังจากที่ผู้อาวุโสเซียวจัดการบางอย่างเมื่อสามวันก่อน ตอนนี้ห้องพักของเขาได้เชื่อมต่อกับอีกห้องที่เคยว่างอยู่ ทำให้พื้นที่กว้างขวางขึ้นหลายเท่า ไม่เพียงแต่มีห้องสำหรับพักผ่อน แต่ยังมีห้องฝึกตน และห้องอเนกประสงค์ที่สามารถใช้หลอมโอสถ สร้างอาวุธ วาดยันต์ และจัดตั้งค่ายกลได้
ฉินเฟิงรู้สึกแปลกใจไม่น้อย เพราะหอคัมภีร์ถือเป็นหนึ่งในสิบสองเขตต้องห้ามของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าเมฆา แต่ผู้อาวุโสเซียวกลับเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ ได้ตามใจชอบ นั่นแสดงให้เห็นถึงอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของเขา ดังนั้น ฉินเฟิงจึงตัดสินใจว่า ต่อไปนี้เขาจะเกาะขาของผู้อาวุโสเซียวเอาไว้แน่น ไม่ปล่อยแน่นอน
ส่วนผู้อาวุโสเซียวเองก็เห็นชัดแล้วว่า ความอ่อนน้อมของบางคนเป็นเพียงแค่เปลือกนอก เพราะฉินเฟิงนั้นหน้าหนากว่าที่คิด แต่ในมุมมองของเขา หากต้องการใช้งานฉินเฟิงให้เป็นสถานที่สร้างคะแนนสะสมในอนาคต ก็ต้องเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกให้พร้อม อย่างน้อยก็ควรมีห้องหลอมโอสถเป็นของตัวเอง
ดังนั้น เขาจึงไปปรึกษากับเย่เฮิ่น ผู้อาวุโสแห่งชั้นที่สิบสามของหอคัมภีร์ และได้ข้อสรุปเป็นห้องพักที่ฉินเฟิงใช้อยู่ในตอนนี้
ฉินเฟิงโยนอาวุธที่ล้มเหลวลงไป ก่อนจะตกอยู่ในภวังค์ความคิด
ตลอดสามวันที่ผ่านมา เขาได้ศึกษาและฝึกฝนอย่างเข้มข้น จนสามารถเข้าใจศาสตร์แห่งอาวุธที่แท้จริง ฉบับที่หนึ่ง ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาระดับเต๋าชั้นสูง นอกจากนี้ยังฝึกฝนวิชาเคล็ดลับปรมาจารย์หลอมอาวุธ หนึ่งในสิบสองกระบวนท่า เทคนิคตีเหล็กสวรรค์
วันนี้เป็นครั้งแรกที่เขาลงมือสร้างอาวุธอย่างจริงจัง แม้ว่าผลงานแรกจะล้มเหลว แต่เขาก็เริ่มเข้าใจแนวทางแล้ว ดังนั้นครั้งต่อไปต้องสำเร็จแน่นอน!
แม้ว่าการสร้างอาวุธระดับวิญญาณขั้นต่ำไม่ใช่เรื่องยาก แต่หากเป็นระดับวิญญาณขั้นกลาง ก็จะยากขึ้นอย่างมาก
ผู้อาวุโสเซียวเพียงแต่สั่งให้เขาสร้างอาวุธระดับวิญญาณ แต่ไม่ได้ระบุว่าต้องเป็นขั้นไหน
แต่ฉินเฟิงไม่คิดแบบนั้น เขารู้ดีว่าเจ้าเฒ่านั่นต้องมีแผนร้ายแอบแฝงอยู่แน่ หากเขาสร้างอาวุธระดับวิญญาณขั้นต่ำขึ้นมา แล้วผู้อาวุโสเซียวกลับบอกว่าเขาต้องการระดับกลาง จากนั้นใช้ข้ออ้างนี้ขับเขาออกจากหอคัมภีร์ มิเช่นนั้นเขาคงต้องกินลมชมวิวแทนข้าวแน่!
หากเขาต้องการวางรากฐานให้มั่นคงในหอคัมภีร์ เขาควรสร้างอาวุธระดับวิญญาณขั้นสูงเป็นอย่างน้อย หรือหากเป็นไปได้ ก็ควรเป็นระดับวิญญาณขั้นสูงสุด!
ถ้าเขาทำสำเร็จ แม้แต่ผู้อาวุโสเซียวก็คงหาเรื่องเขาไม่ได้อีก
คิดได้ดังนั้น แววตาของฉินเฟิงก็เปล่งประกายขึ้น เขาหยิบโลหะที่ใช้สร้างอาวุธระดับวิญญาณออกมา แล้วโยนลงในเตาหลอม
จากนั้น เขาใช้กระบวนท่าเตาหลอมแห่งการหลอมโอสถ เพื่อเร่งอุณหภูมิของเตาหลอมให้สูงพอที่จะทำให้โลหะเปลี่ยนรูปได้
“ฟู่!”
เปลวเพลิงพวยพุ่งขึ้นสูงถึงสามฉื่อ ห่อหุ้มโลหะทั้งหมดไว้ ฉินเฟิงจับจังหวะอย่างแม่นยำก่อนจะยกค้อนขึ้นและฟาดลงบนโลหะที่กำลังเปลี่ยนรูป
“ตึง!”
เสียงกระแทกดังก้องสะท้อนทั่วห้อง ประกายไฟกระเซ็นไปทั่ว บางส่วนกระเด็นมาสัมผัสผิวของฉินเฟิง
ในขณะนี้ เขาถอดเสื้อออกแล้วพันไว้ที่เอว มือทั้งสองข้างจับค้อนเหล็กขนาดมหึมา กระหน่ำตีโลหะจากทุกมุมอย่างไม่ลดละ
ด้วยการควบคุมความแรงและมุมของการตีอย่างแม่นยำ โลหะที่ลอยอยู่เหนือเตาหลอมก็เริ่มเปลี่ยนรูปร่างอย่างชัดเจน ค่อย ๆ กลายเป็นดาบเล่มหนึ่ง
ตึง ตึง ตึง!
เสียงกระทบของโลหะยังคงดังก้องต่อไป จนกระทั่งหนึ่งชั่วยามผ่านไป
โลหะที่เคยเป็นเพียงเศษแร่ ตอนนี้ได้หลอมรวมเป็นดาบสีแดงเพลิงเล่มหนึ่ง ฉินเฟิงขยับมือซ้าย ร่ายพลังส่งดาบเข้าสู่บ่อน้ำหลอมโลหะที่อยู่ข้างๆ
“ฟู่มมม!”
ทันใดนั้น ไอน้ำสีขาวก็พวยพุ่งขึ้น
ฉินเฟิงไม่สนใจความร้อน เขาเปิดใช้งานเคล็ดกายาโลหิตทองคำ แล้วหยิบดาบออกจากบ่อน้ำ
แสงอันคมกริบส่องประกายผ่านม่านไอน้ำ จับต้องเข้ากับดวงตาของเขา
จากนั้น เขายกดาบขึ้นแล้วฟันลงไปที่ศิลาทดสอบอาวุธระดับวิญญาณขั้นกลาง
“ฉัวะ!”
ศิลาทดสอบถูกผ่าออกเป็นสองส่วน ฉินเฟิงดึงดาบกลับมาแล้วมองดูมัน ไม่มีรอยขีดข่วนใด ๆ บนคมดาบแม้แต่น้อย
“เฮ้อ~ อาวุธระดับวิญญาณขั้นกลาง!”
ฉินเฟิงถอนหายใจอย่างโล่งอก หัวใจที่เคยตึงเครียดก็คลายลง แม้ว่าในการหลอมอาวุธครั้งที่สองของเขาจะสามารถสร้างอาวุธระดับวิญญาณขั้นกลางได้สำเร็จ แต่สาเหตุหลักที่ทำให้เป็นเช่นนี้ก็เพราะเขาไม่ได้เป็นมือใหม่โดยสมบูรณ์
ท้ายที่สุดแล้ว เขามีพื้นฐานจากการหลอมโอสถ อีกทั้งยังมีเคล็ดกระบวนท่าเตาหลอมเป็นวิชาศักดิ์สิทธิ์ติดตัว ทักษะของเขาย่อมไม่ใช่ระดับมือใหม่ทั่วไป
เมื่อเขารวมความรู้จากศาสตร์แห่งอาวุธที่แท้จริง ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติเข้าด้วยกัน อีกทั้งยังใช้เคล็ดลับปรมาจารย์หลอมอาวุธ หนึ่งในสิบสองกระบวนท่าเทคนิคตีเหล็กสวรรค์ หากยังล้มเหลวอีก ก็คงเกินไปแล้ว
ทุกการเริ่มต้นย่อมยากลำบาก แต่เมื่อเห็นแสงแห่งความสำเร็จครั้งแรก นั่นหมายความว่าวันดี ๆ กำลังจะมาถึง
ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ฉินเฟิงแทบไม่ได้นอนพัก ทั้งวันทั้งคืนเขาหมกมุ่นอยู่กับการหลอมอาวุธ
อาวุธระดับวิญญาณขั้นกลาง!
อาวุธระดับวิญญาณขั้นกลาง!
อาวุธระดับวิญญาณขั้นสูง!
อาวุธระดับวิญญาณขั้นสูง!
อาวุธระดับวิญญาณขั้นสูงสุด!
ในที่สุด เพียงหนึ่งคืนก่อนถึงเส้นตาย เขาก็สามารถสร้างอาวุธระดับวิญญาณขั้นสูงสุดได้สำเร็จ ซึ่งแม้แต่ผู้ฝึกตนขอบเขตแสงวิญญาณก็สามารถใช้ได้!
หลังจากนั้น เขาทิ้งตัวลงนอนทันที ปิดตา และเข้าสู่ห้วงนิทรา
ช่วงเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาเกือบทำให้เขาคลุ้มคลั่งได้ ความเหนื่อยล้าที่พัดกระหน่ำร่างของเขาก็คล้ายกระแสน้ำเชี่ยวที่ไหลบ่าท่วมร่าง เพียงสองวินาทีหลังจากหลับตา เขาก็จมดิ่งสู่ห้วงนิทราอย่างสมบูรณ์ ซึ่งเหนื่อยยิ่งกว่าการอ่านตำราเสียอีก!
พรุ่งนี้ เมื่อเขาได้พบกับผู้อาวุโสเซียว เขาจะต้องถามให้ได้ว่า ท่านรู้ไหมว่าข้าผ่านสัปดาห์นี้มาได้อย่างไร?
วันเวลาเหล่านั้นมีเพียงการหลอมอาวุธ และการเดินไปสู่การหลอมอาวุธเท่านั้น!
...
...
...
อีกด้านหนึ่ง ขณะที่ฉินเฟิงกำลังทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อไม่ให้ถูกขับออกจากหอคัมภีร์ หัวหน้าหอโอสถ ซุนชิงเฟิงก็เดินทางไปพบกับผู้อาวุโสเซียว
“ผู้เฒ่าเซียว ข้ามีเรื่องให้ท่านช่วยสักหน่อย~”
ซุนชิงเฟิงนั่งลงอย่างไม่ถือตัวบนเก้าอี้โยกข้าง ๆ ผู้อาวุโสเซียว โดยไม่สนใจภาพลักษณ์ของตนแม้แต่น้อย
“ไม่ช่วย”
ผู้อาวุโสเซียวตอบทันทีโดยไม่แม้แต่จะลืมตา ทำให้ซุนชิงเฟิงถึงกับนิ่งไปชั่วขณะ
“???”
“ไม่ใช่รึ ท่านยังไม่ทันถามข้าด้วยซ้ำว่าข้าจะให้ช่วยอะไร แล้วทำไมปฏิเสธไปแล้ว? พวกเราไม่ใช่พี่น้องที่ดีต่อกันรึ?”
ซุนชิงเฟิงมองผู้อาวุโสเซียวด้วยความแปลกใจ
“ไม่เคยเป็นอยู่แล้ว”
ผู้อาวุโสเซียวตอบโดยที่ยังไม่เปิดตา
“เซียวจ้างเฟิง!!!”
ซุนชิงเฟิงลุกพรวดขึ้น เสียงของเขาดังขึ้นสามระดับในทันที
“อะไร? จะเรียกดวงวิญญาณข้ารึ?”
“หลบไป ๆ เจ้าบังแดดข้าอยู่!”
ผู้อาวุโสเซียวโบกมือไล่เขาด้วยท่าทางรำคาญ
“...”
ท่าทีเช่นนี้ทำให้ซุนชิงเฟิงแทบจะโกรธจนควันออกหู
“เซียวจ้างเฟิง วันนี้ต่อให้เจ้าจะช่วยหรือไม่ เจ้าก็ต้องช่วย! หากไม่เช่นนั้น~”
“หากไม่เช่นนั้นแล้วอย่างไร?”
ผู้อาวุโสเซียวก็ยังคงเอนตัวพิงเก้าอี้โยก หลับตา และโยกเก้าอี้ไปมาอย่างสบายใจ