ตอนที่แล้วบทที่ 43 ผลงานที่น่าภาคภูมิใจ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 45 หากไม่เช่นนั้นแล้วอย่างไร?

บทที่ 44 ควรให้ข้าผู้นี้เป็นผู้ขัดเกลา


ขณะที่พูด หลี่มู่กระพริบตา เขาย่อมรู้ว่านางคิดอะไรอยู่!

ไม่เช่นนั้น เหตุใดรองหัวหน้าหอโอสถคนอื่น ๆ นางไม่ไปหา กลับเลือกมาหาหยางเสวี่ย? นั่นก็เพราะหยางเสวี่ยเป็นอาจารย์ของนาง!

หากให้พูดตรง ๆ พรสวรรค์ด้านการหลอมโอสถของหลันอิ๋งสูงกว่าหลี่มู่นิดหน่อย เพียงแต่นางเป็นคนที่ใจร้อนและไม่ค่อยมั่นคง นั่นจึงทำให้นางก้าวหน้าในวิถีโอสถได้ช้ากว่าเขา

เมื่อคิดเช่นนี้ เขาก็อดหงุดหงิดไม่ได้ อาจารย์ของเขาเคยเป็นรองหัวหน้าหอโอสถมาก่อน แต่ได้ล่วงลับไปหลายปีแล้ว นั่นก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เขาไม่อยากอยู่ในหอโอสถอีก

เมื่ออาจารย์ของเขายังอยู่ เขามีหน้าที่เพียงแค่หลอมโอสถ ทุกอย่างอาจารย์จะคอยดูแลให้

แต่เมื่ออาจารย์จากไปแล้ว เขาก็เพิ่งเข้าใจว่า ที่แท้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ก็เป็นเพียงสังคมหนึ่ง ที่ไม่ใช่สถานที่ที่เขาจะทำอะไรก็ได้ดั่งใจ

ขณะที่เขากำลังเหม่อลอย ประตูตำหนักเบื้องหน้าก็ค่อย ๆ เปิดออก กลิ่นหอมของโอสถลอยออกมาจนทำให้จิตใจของทั้งสองสดชื่นขึ้น ระดับพลังที่ชะงักงันมานานก็มีแนวโน้มจะพัฒนาไปข้างหน้า

“อาจารย์~”

หลันอิ๋งเบิกตากว้าง มองไปยังสตรีวัยกลางคนร่างสูงโปร่งที่ยืนอยู่หน้าตำหนัก!

หากความงามของหลันอิ๋งเป็นแบบสดใส ตรงไปตรงมา เปี่ยมด้วยพลังและความองอาจของนักสู้แล้ว ความงามของอาจารย์นางก็คือความสง่างาม สุขุมราวกับสามารถรับมือกับทุกสิ่งได้อย่างสงบไร้ความหวั่นไหว

“เด็กน้อย เจ้านึกอะไรขึ้นมาถึงได้มาหาข้า?”

หยางเสวี่ยเหลือบมองหลี่มู่แวบหนึ่งก่อนจะหันไปมองหลันอิ๋ง

“เจ้าพูดเถอะ”

หลันอิ๋งหันไปส่งสายตาให้หลี่มู่

“เป็นเช่นนี้ หัวหน้าหอโอสถหยาง”

หลี่มู่เล่าเรื่องราวตั้งแต่ที่เขาได้รับโอสถจากผู้อาวุโสเซียว จนกระทั่งทั้งเขาและหลันอิ๋งถูกผู้อาวุโสเซียวไล่ออกมา

เมื่อได้ฟัง หยางเสวี่ยเผยแววสนใจขึ้นมาเล็กน้อย

ตามที่หลี่มู่กล่าวมา หากสามารถหลอมโอสถสามพลังสร้างรากฐานที่สมบูรณ์แบบออกมาได้ทั้งที่มีระดับพลังเพียงแค่ผิวทองแดงเช่นนี้ นับว่าเป็นพรสวรรค์อันล้ำค่าที่อยู่ในหอคัมภีร์จริง ๆ เป็นการสูญเสียโดยแท้!

ที่สำคัญ หากได้ผ่านการขัดเกลาของนางแล้ว อีกฝ่ายมีโอกาสสูงที่จะก้าวล้ำหน้าหลันอิ๋งไปอีก!

อย่างน้อยที่สุด ก็ต้องมีค่าตัวเทียบเท่าหลันอิ๋งสองคน!

นางย่อมรู้ดีว่าศิษย์ของตนมีนิสัยอย่างไร

ขณะที่หลันอิ๋งยังไม่รู้ตัวเลยว่า ตัวเองกลายเป็นหน่วยวัดในสายตาของอาจารย์ไปแล้ว และนางก็ไม่รู้ด้วยว่า หยางเสวี่ยเริ่มมีความคิดอยากดึงฉินเฟิงมาอยู่ฝ่ายตน!

ก่อนหน้านี้หลันอิ๋งและหลี่มู่ได้ตกลงกันว่า หากอาจารย์สามารถนำฉินเฟิงกลับมาได้ พวกเขาทั้งสองจะช่วยกันสอนเขาหลอมโอสถ และแข่งกันดูว่าใครจะสามารถฝึกเขาให้หลอมโอสถได้ดีกว่ากัน

หากหลันอิ๋งรู้ความคิดของอาจารย์ตนเอง นางคงเสียใจที่เป็นคนมาบอกเรื่องนี้แน่

ในตอนแรกยังเป็นศิษย์นางอยู่ดี ๆ แต่พอวนไปวนมากลับกลายเป็นศิษย์น้องไปเสียได้!?

“เรื่องนี้ ข้ารับรู้แล้ว”

“แต่หากจะให้ผู้อาวุโสเซียวปล่อยตัวฉินเฟิงไป แค่ข้าคนเดียวคงไม่พอ”

หยางเสวี่ยรู้ดีถึงนิสัยของผู้อาวุโสเซียว สถานะของนางต่ำกว่าอีกฝ่ายหนึ่งขั้น ไม่อาจเรียกร้องให้เขาเห็นแก่หน้าได้

แม้ว่าผู้หลอมโอสถในหอโอสถจะเป็นผู้ที่ได้รับการเคารพในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าเมฆา แต่ก็ยังมีบางคนที่ไม่สามารถใช้อำนาจบีบบังคับได้ เพราะสุดท้ายแล้ว ผู้หลอมโอสถเหล่านี้ก็ยังต้องพึ่งพาหอคัมภีร์

ทุกฝ่ายต่างต้องพึ่งพากันและกัน นี่คือข้อตกลงที่ต่างเคารพกัน

“อาจารย์ เช่นนั้นท่านแค่หาตัวรองหัวหน้าหอคนอื่น ๆ มาร่วมมือกันก็น่าจะพอแล้วไม่ใช่หรือ?”

“ถ้าพวกท่านรวมตัวกัน ผู้อาวุโสเซียวก็คงต้องยอมให้หน้าบ้างใช่ไหม?”

หลันอิ๋งและหลี่มู่สบตากัน ก่อนจะรู้สึกสิ้นหวังขึ้นมาทันที

“ต่อให้รองหัวหน้าหอโอสถรวมตัวกันก็ยังไม่พอ อย่างไรก็ตาม ข้าสามารถไปพูดกับหัวหน้าหอโอสถได้ ให้ท่านเป็นคนออกหน้า”

“หากเป็นหัวหน้าหอโอสถออกหน้า ผู้อาวุโสเซียวก็คงต้องให้เกียรติบ้าง เรื่องแค่ผู้พิทักษ์หอคนหนึ่ง ไม่น่าถึงกับต้องขัดแย้งกับหัวหน้าหอโอสถ”

คำพูดของหยางเสวี่ยทำให้ทั้งสองดวงตาเป็นประกายทันที

หากหัวหน้าหอโอสถลงมือเอง งานนี้ไม่มีพลาดแน่!

จากนั้น หยางเสวี่ยพาทั้งสองเดินไปยังส่วนลึกที่สุดของหอโอสถ ซึ่งเต็มไปด้วยหมอกควันลึกลับ

นางร่ายอาคมด้วยมืออย่างต่อเนื่อง ทันใดนั้น ตราผนึกมากมายก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ!

ม่านหมอกแห่งความสับสนวุ่นวาย เมื่อได้รับอาคมตราผนึกเหล่านั้น ก็เริ่มพลุ่งพล่านและแยกออกเป็นสองฝั่ง ในพริบตา ปรากฏเป็นดินแดนสวรรค์อันงดงามราวกับดินแดนลับแลที่ซ่อนเร้นจากโลกภายนอก

หลันอิ๋งและหลี่มู่มองภาพเบื้องหน้าด้วยสายตาตื่นตะลึง แม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาเห็น แต่ทุกครั้งที่ได้พบ ก็ยังคงรู้สึกตกตะลึงไม่เปลี่ยน ที่สำคัญคือ ทุกครั้งที่มาที่นี่ ทิวทัศน์ที่ปรากฏก็มักจะแตกต่างกันไปเสมอ

“อา~ หยางเสวี่ย แล้วก็พวกเจ้าสองคน มาทำไมกัน?”

เสียงอ่อนโยนดังขึ้น พร้อมกันนั้น ร่างของทั้งสามก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าชายหนุ่มผู้หนึ่ง

เขามีเรือนผมยาวสีเงินเป็นประกาย ดวงตาคมกริบจับจ้องพวกเขาด้วยความสงบเยือกเย็น

หลี่มู่และหลันอิ๋งต่างรู้สึกตัวแข็งทื่อไปทั้งร่าง แม้ว่าหัวหน้าหอโอสถจะเพียงแค่ปรายตามองพวกเขา แต่กลับให้ความรู้สึกราวกับถูกมองทะลุปรุโปร่งไปหมดสิ้น

ระดับพลังเช่นนี้ แตกต่างจากหยางเสวี่ยโดยสิ้นเชิง

“เรื่องเป็นเช่นนี้ ท่านหัวหน้าหอโอสถ”

หยางเสวี่ยกล่าวขึ้น ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ซุนชิงเฟิง หัวหน้าหอโอสถฟัง ขณะที่หลี่มู่ก็ช่วยเสริมรายละเอียด

เมื่อได้ฟังจบ แววตาของซุนชิงเฟิงฉายแววประหลาดใจ

เขาไม่ได้แปลกใจที่ฉินเฟิงสามารถหลอมโอสถสามพลังสร้างรากฐานที่สมบูรณ์แบบได้ทั้งที่มีระดับพลังเพียงผิวทองแดง สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจคือ เหตุใดบุคคลเช่นนี้จึงถูกส่งไปอยู่ที่หอคัมภีร์แทนที่จะมาสังกัดหอโอสถตั้งแต่แรก

เมื่อถูกถามเช่นนั้น สามคนก็รู้สึกกระอักกระอ่วนไปชั่วขณะ

หลี่มู่ได้หาข้อมูลเพิ่มเติมมาบ้างภายในไม่กี่วันที่ผ่านมา เขาพบว่า ในตอนที่มีการแบ่งสาย ฉินเฟิงไม่ได้ถูกคัดเลือกเข้าสู่หอโอสถ หออาวุธ หอยันต์ หรือหอค่ายกล เนื่องจากเขาไม่มีพรสวรรค์ด้านการหลอมโอสถ การสร้างอาวุธ การวาดยันต์ หรือการจัดตั้งค่ายกล

จากนั้น เนื่องจากระดับพลังของเขาต่ำเกินไป หุบเขาวิญญาณก็ปฏิเสธที่จะรับเขาเช่นกัน

ยิ่งไปกว่านั้น บิดามารดาของเขาก็เสียชีวิตในระหว่างปฏิบัติภารกิจ ทำให้เขาไม่เพียงไร้ญาติขาดมิตรในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่ยังเผชิญกับการถูกขับออกจากที่นี่อีกด้วย

สุดท้าย ในช่วงเวลานั้น ผู้พิทักษ์หอคนก่อน หวังเฉิน ได้ยื่นมือเข้ามารับตัวเขาไว้และนำเขาเข้าสู่หอคัมภีร์

เมื่อได้ฟังคำอธิบายนี้ ทั้งสามก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดในที่สุด

“ที่แท้ เจ้าเด็กนั่นก็มีอดีตเช่นนี้ มิน่าถึงไม่อยากออกจากหอคัมภีร์”

“ท้ายที่สุดแล้ว ผู้พิทักษ์หอคนก่อนคงมีบุญคุณต่อเขาอย่างมาก”

“การรู้คุณคนและไม่ย่อท้อต่อโชคชะตา นับเป็นคุณสมบัติที่สำคัญมาก ซึ่งศิษย์ของหอโอสถควรมี”

“ช่างเถิด ข้าจะไปเจรจากับเจ้าเซียวเฒ่าดู ให้เขาส่งตัวเด็กนั่นมาที่นี่”

“อย่างไรเสีย เขาก็คงต้องให้ข้าหน้าบ้างกระมัง!”

ซุนชิงเฟิงหัวเราะพลางลุกขึ้นยืน การกระทำนี้ทำให้สามคนตื่นเต้นขึ้นมาทันที โดยเฉพาะหลี่มู่และหลันอิ๋งที่สบตากันด้วยความยินดี

หากหัวหน้าหอโอสถลงมือเอง ครั้งนี้ต้องสำเร็จแน่!

เมื่อคิดว่าตนเองกำลังจะได้สอนฉินเฟิงหลอมโอสถ สายตาของทั้งสองก็เปล่งประกายด้วยความคาดหวัง

ส่วนหยางเสวี่ยที่ยืนอยู่ข้าง ๆ นั้นกลับไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ลอบยิ้มอยู่ในใจ เพราะหากพูดตอนนี้ อาจทำลายกำลังใจของทั้งสองได้

สุดท้ายแล้ว เมื่อฉินเฟิงเข้ามาอยู่ในหอโอสถ หัวหน้าหอโอสถก็ไม่ได้รับศิษย์อยู่แล้ว

ดังนั้น คนที่จะได้รับสิทธิ์ในการขัดเกลาอัญมณีล้ำค่านี้ก็คือ นางเอง!

ไม่มีทางปล่อยให้หลันอิ๋งที่ไม่รอบคอบมาดูแลได้แน่!

5 2 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด