บทที่ 155 งานเลี้ยงมังกร ยอดรักพันลี้ (ต้น-ปลาย)
ร่างนั้นค่อย ๆ ใกล้เข้ามา จนกระทั่งทะลุผ่านม่านหมอก เผยให้เห็นตัวตนที่แท้จริง
จางจิ่วหยางชะงักเล็กน้อย เพราะคนที่มาปรากฏตัวไม่ใช่มังกรสาวอ้าวหลี่ หากแต่เป็นหญิงสาวแปลกหน้า
นางสวมชุดกระโปรงสีเขียวอ่อน ทรวดทรงอรชร ใบหน้างดงาม มือถือร่มกระดาษน้ำมันสีเขียวมรกต ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มที่เย้ายวนจนแทบจะขโมยวิญญาณผู้พบเห็น
หลิวจื่อเฟิงถึงกับตะลึงกับความงามจนละสายตาไม่ได้ จนกระทั่งถูกศิษย์น้องหยิกเข้าให้หนึ่งทีจึงได้สติกลับมา ใบหน้าขึ้นสีแดง
หญิงสาวเดินบนผิวน้ำอย่างสง่างาม ก่อนค้อมตัวทำความเคารพจางจิ่วหยาง พร้อมกล่าวว่า “ข้าน้อยขอคารวะเซียนจาง และองค์หญิงสี่”
อ้าวหยา: “(_)?”
ระหว่างที่หญิงสาวกล่าวคำทักทาย จางจิ่วหยางปล่อยแสงสีทองจากหว่างคิ้วส่องผ่านร่างของนาง เผยให้เห็นกลิ่นอายปีศาจที่แฝงอยู่
“ที่แท้ก็เป็นหมูพะโล้มังกร”
เสียงของเขาเรียบนิ่ง แต่ฝ่ามือกลับกำยันต์ห้าสายฟ้าไว้แน่นโดยไม่ปลดปล่อย
หมูพะโล้มังกร หมายถึงจระเข้หยางจื่อในอดีต มีนิสัยอ่อนโยน ตัวเล็ก เด็ก ๆ ยังกล้าแกล้ง แต่ปีศาจหญิงเบื้องหน้านี้ มีพลังฝีมือที่ไม่ธรรมดา แม้แต่จางจิ่วหยางยังไม่อาจหยั่งลึกได้ แสดงว่าพลังฝีมือต้องเหนือกว่าเสือปีศาจอย่างแน่นอน!
“อ้าวหลี่ส่งเจ้ามาหรือ?”
แม้ว่าหญิงสาวจะถูกเปิดเผยความจริง แต่ก็ไม่ได้แสดงความโกรธ กลับตอบอย่างนอบน้อมว่า “ใช่เจ้าค่ะ นายท่านของข้ายังปิดด่านอยู่ ต้องรออีกสักครู่ถึงจะออกมาได้ จึงให้ข้ามาเชิญเซียนจางและองค์หญิงสี่ก่อน”
องค์หญิงสี่?
หลิวจื่อเฟิงและซูหลิงซานหันมามองหน้ากันด้วยความตกใจ บุตรสาวของพี่จางคือองค์หญิง?
จางจิ่วหยางกล่าวขึ้นทันทีว่า “เพื่อนของข้าสองคนนี้ พอจะติดตามข้าไปยังวังมังกรได้หรือไม่?”
ตลอดทางที่ผ่านมา เขารู้ว่าหลิวจื่อเฟิงมีความใฝ่ฝันในโลกของผู้บำเพ็ญอย่างมาก หากมีโอกาสเช่นนี้ เขาย่อมไม่ปฏิเสธที่จะช่วยเติมเต็ม
แววตาของหลิวจื่อเฟิงเผยความซาบซึ้งใจ
วังมังกร! เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเพื่อนของพี่จางจะเป็นคนในวังมังกร อีกทั้งยังมีสถานะสูงส่งถึงเพียงนี้ หญิงงามเช่นนี้กลับเป็นเพียงสาวใช้ผู้มาเชื้อเชิญเท่านั้น
หญิงสาวยิ้มบาง ๆ ก่อนกล่าวว่า “นายท่านของข้ากล่าวไว้ว่า ไม่ว่าเซียนจางจะสั่งอะไร ข้าต้องทำตามทั้งหมด”
เมื่อกล่าวจบ นางโยนร่มสีเขียวในมือขึ้นไป ร่มตกลงบนผิวน้ำและแปรเปลี่ยนเป็นใบบัวสามใบ
“เชิญเซียนจางขึ้นมา”
จางจิ่วหยางก้าวขึ้นไปบนใบบัวหนึ่งใบ แปลกนัก แม้ใบบัวจะดูบางเบา แต่กลับสามารถรองรับน้ำหนักเขาได้โดยไม่จมลงน้ำ
หลิวจื่อเฟิงและซูหลิงซานหันมามองหน้ากันด้วยความตื่นเต้นก่อนก้าวขึ้นใบบัว แม้จะเซเล็กน้อย แต่ด้วยพื้นฐานของผู้ฝึกยุทธ พวกเขาจึงทรงตัวได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อหญิงสาวโบกมือเบา ๆ ใบบัวทั้งสามก็เริ่มจมลงสู่น้ำอย่างช้า ๆ
ในตอนแรก หลิวจื่อเฟิงและซูหลิงซานต่างรู้สึกตื่นตระหนกและกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว แต่ไม่นานพวกเขาก็พบว่า ตนเองสามารถหายใจใต้น้ำได้อย่างอิสระ และยังมีพลังลึกลับบางอย่างปกป้องพวกเขาจากกระแสน้ำ สามารถพูดคุยได้ตามปกติ
ความรู้สึกเช่นนี้ช่างมหัศจรรย์นัก หากไม่ได้สัมผัสด้วยตัวเอง คงยากจะเชื่อได้ว่ามีสิ่งเช่นนี้อยู่จริง
พวกเขาค่อย ๆ จมลึกลงไป เห็นปลาและกุ้งที่แหวกว่ายอย่างชัดเจน (แล้วลุงพายเรือละ ไม่ตกใจตายไปแล้วหรอ)
ใต้พื้นน้ำเต็มไปด้วยโคลนและพืชน้ำที่ไหวเอนไปมา เมื่อใบบัวลอยลงมา พืชน้ำเหล่านั้นกลับแยกออกจากกัน เผยให้เห็นอุโมงค์สีดำสนิท
เมื่อพวกเขาลงไปในอุโมงค์นั้น ความมืดมิดก็เข้าปกคลุมสายตา ก่อนที่ทุกอย่างจะสว่างไสวขึ้น
ใต้ท้องน้ำมีดินแดนที่งดงามราวกับความฝัน ปรากฏวังมังกรที่สวยงามประดุจคริสตัล เหล่าทหารกุ้งและปูเดินลาดตระเวนไปทั่ว หญิงสาวครึ่งคนครึ่งปลากำลังเก็บเกี่ยวดอกไม้และผลไม้อันแปลกตา
แสงที่อบอุ่นอ่อนโยนมาจากต้นไม้วิเศษที่เปล่งประกายดุจหยก กิ่งก้านที่ย้อยลงมามีเส้นใยละเอียดที่เปล่งแสงระยิบระยับ
ศาลาและตำหนักประดับด้วยไข่มุกขนาดเท่าหินกรวด มีปะการังแดงที่งดงามและมีค่า สามก้าวหนึ่งทิวทัศน์ ห้าก้าวหนึ่งสมบัติ
หลิวจื่อเฟิงและซูหลิงซานมองด้วยความทึ่งจนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
จางจิ่วหยางมองวังมังกรด้วยแววตาที่เปี่ยมด้วยความสนใจ
ดูเหมือนวังมังกรแห่งนี้จะเป็นสมบัติวิเศษที่สามารถเก็บย้ายได้ อ้าวหลี่ได้นำมันมาจากทะเลสาบอวิ๋นเมิ่งมาไว้ที่แม่น้ำซีเจียงเพื่อใช้เป็นสถานที่ฝึกฝนและพำนัก
ช่างสะดวกยิ่งนัก
แต่สิ่งที่เขาสงสัยคือ เหล่าทหารกุ้งปูและนางเงือกที่เก็บเกี่ยวดอกไม้ผลไม้เหล่านี้ อ้าวหลี่ไปพบพวกเขามาจากที่ใด?
ที่สำคัญคือ หมูพะโล้มังกรที่กลายร่างเป็นมนุษย์ นางมีพลังฝีมือไม่ธรรมดา จางจิ่วหยางประมาณว่านางอาจถึงขั้นที่สี่ ซึ่งเทียบเท่ากับหลิงไถหลางของฉินเทียนเจี้ยน ถือเป็นบุคคลสำคัญได้ทุกที่
เพียงไม่กี่วัน อ้าวหลี่กลับสร้างดินแดนใหม่ที่งดงามเช่นนี้ขึ้นมาได้?
หญิงสาวในชุดกระโปรงสีเขียวพาจางจิ่วหยางและคนอื่น ๆ เข้ามาในวังมังกร และในที่สุดก็มาถึงตำหนักที่งดงามตระการตา
นางตบฝ่ามือเบา ๆ เหล่านางรับใช้ที่งดงามหลายคนก็ปรากฏตัวขึ้น พร้อมนำสุราและอาหารรสเลิศ รวมถึงผลไม้วิเศษมาถวาย
ทุกสิ่งดูเหมือนฝัน
จางจิ่วหยางนั่งลงอย่างสงบเรียบร้อย เรียกอาหลี่ออกมาร่วมลิ้มรสอาหารด้วยกัน
หลิวจื่อเฟิงและซูหลิงซานกลับนั่งตัวตรงแน่วด้วยความประหม่า
“เซียนจางโปรดรอสักครู่ นายท่านของข้ากล่าวว่า วันนี้ในยามโหย่ว(酉 ประมาณ 17.00-19.00 น.) จะออกจากด่านจนเสร็จสมบูรณ์ ท่านและเพื่อนของท่าน รวมถึงองค์หญิงสี่ สามารถเพลิดเพลินกับอาหารก่อนได้”
อ้าวหยาอดทนไม่ไหวอีกต่อไป นางซบหน้าลงในอาหารและเริ่มกินอย่างไม่หยุดหย่อน
“อ้อ ข้าชื่อลวี่เอ๋อ หากมีสิ่งใด ท่านสามารถเรียกใช้ข้าได้ทุกเมื่อ”
ลวี่เอ๋อทำความเคารพ ก่อนจะถอยออกไปอย่างงดงาม
“พี่หลิว ท่านหญิงซู อย่าเกร็งไปเลย คิดเสียว่าเป็นเพียงงานเลี้ยงธรรมดา มาเถอะ ดื่มเหล้ากัน”
จางจิ่วหยางยกแก้วสุราขึ้น
หลิวจื่อเฟิงยิ้มเจื่อน “แต่นี่คืองานเลี้ยงในวังมังกร…”
เมื่อเขาดื่มสุราในแก้วเข้าไป กลิ่นหอมหวานเย็นชื่นใจทำให้เขารู้สึกสดชื่นที่สุด ที่สำคัญ พลังภายในตันเถียนพลุ่งพล่าน ราวกับเขาได้กินสมบัติล้ำค่า
ทั้งสองคนหมุนเวียนพลังภายในตามวิชาของตน ใบหน้าเปล่งปลั่งสดใส ดูมีพลังขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
เพียงดื่มสุราแก้วเดียว พลังภายในก็เพิ่มขึ้นถึงหนึ่งในสาม เทียบเท่ากับการฝึกฝนหลายปี!
“สุรามังกรแห่งวังนี้ทำจากน้ำค้างยามเช้า ผสมด้วยพลังแห่งแสงจันทร์ ดื่มแล้วช่วยเสริมกำลังและสุขภาพ หากเป็นผู้บำเพ็ญที่ยังไม่ถึงขั้นที่สามก็จะสามารถเพิ่มพลังได้เช่นกัน”
“ถึงจะไม่มาก แต่ก็ถือว่าเป็นของล้ำค่า”
จางจิ่วหยางดูผ่อนคลายราวกับอยู่ในบ้านของตนเอง เขาเริ่มอธิบายเกี่ยวกับสุราอาหารและผลไม้ล้ำค่าที่อยู่บนโต๊ะราวกับคุ้นเคยทุกอย่าง
“สุรามังกรแห่งวังนี้ หากนำไปยังยุทธภพ คงก่อให้เกิดความวุ่นวายและนองเลือดได้อย่างแน่นอน แต่ที่นี่ มันกลับเป็นเพียงเครื่องดื่มสำหรับต้อนรับแขกเท่านั้น…”
หลิวจื่อเฟิงถอนหายใจอย่างลึกซึ้ง ความแตกต่างระหว่างผู้ฝึกยุทธและผู้ฝึกเซียนช่างกว้างใหญ่จนยากจะเทียบได้
ไม่แปลกใจเลยที่บิดาของเขาเคยฝันถึงการให้เขาได้เข้าร่วมสำนักไท่ผิงกวาน
ในขณะนั้นเอง นางรับใช้ที่นำอาหารมาเสิร์ฟหัวเราะเบา ๆ และกล่าวว่า “สุราพวกนี้ไม่ได้เสิร์ฟให้แขกทั่วไปง่าย ๆ หรอกค่ะ หากไม่ใช่เพราะหน้าตาของเซียนจางแล้วละก็ คุณหนูลวี่เอ๋อคงไม่สั่งให้เสิร์ฟสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเพื่อนของเขา”
หลิวจื่อเฟิงมองไปยังจางจิ่วหยางที่กำลังดื่มสุราอย่างสบาย ๆ พร้อมกล่าวว่า “พี่จาง หน้าตาท่านช่างมีอิทธิพลนัก!”
ก่อนที่จางจิ่วหยางจะตอบ ลวี่เอ๋อก็เดินเข้ามาพร้อมกับยิ้มและรินสุราให้จางจิ่วหยางด้วยตนเอง พร้อมกล่าวว่า “หน้าตาของเซียนจางย่อมสำคัญอยู่แล้ว นายท่านของข้าสั่งไว้อย่างชัดเจนว่า เซียนจางคือเพียงผู้เดียวที่นางเรียกว่าเพื่อน”
นางถอนหายใจเบา ๆ และกล่าวต่อว่า “นายท่านของข้าปกติจะเฉยเมยต่อทุกสิ่ง แต่ข้ากลับไม่เคยเห็นนางให้ความสำคัญกับผู้ใดเช่นนี้มาก่อน”
หลิวจื่อเฟิงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “นายท่านของท่านคือเจ้าแห่งวังมังกรที่นี่หรือไม่?”
ลวี่เอ๋อพยักหน้าและกล่าวว่า “ถูกต้องเจ้าค่ะ”
ในใจของหลิวจื่อเฟิงรู้สึกสั่นสะเทือน แม้เขาจะคาดเดาไว้ก่อนแล้ว แต่เมื่อได้ยินคำยืนยัน ก็ยังอดทึ่งไม่ได้
เจ้าแห่งวังมังกร…ไม่ใช่ก็แปลกแล้ว!
พี่จางของเขาถึงกับเป็นเพื่อนกับเจ้าแห่งวังมังกรเชียวหรือ!
ซูหลิงซานถามขึ้นอย่างอยากรู้อยากเห็นว่า “ลวี่เอ๋อพี่สาว นายท่านของท่านคือผู้หญิงใช่ไหม?”
ความอยากรู้อยากเห็นในใจของนางยิ่งเพิ่มขึ้น สัญชาตญาณผู้หญิงบอกนางว่า ระหว่างพี่จางกับเจ้าแห่งวังมังกรต้องมีอะไรบางอย่าง
ตั้งแต่พวกเขาเข้ามาในวังมังกร พี่จางผู้ซึ่งปกติมักสงบนิ่งเยือกเย็นและสุขุม กลับมองไปยังประตูทางเข้าหลายครั้ง แม้จะไม่แสดงออกชัดเจน แต่สายตาที่ดูเหมือนรอคอยกลับไม่อาจซ่อนเร้นได้
ลวี่เอ๋อได้ยินคำถามก็ยิ้มเล็กน้อย ใบหน้าแสดงความภาคภูมิและชื่นชม
“นายท่านของข้าเป็นหญิงงามที่ไร้เทียมทาน แม้แต่นางฟ้าบนสวรรค์หรือสนมเอกในวังหลวงก็ยังเทียบไม่ได้”
ซูหลิงซานแสดงสีหน้าไม่อยากเชื่อและถามว่า “ลวี่เอ๋อพี่สาว นางงามกว่าพี่สาวด้วยหรือ?”
ลวี่เอ๋อส่ายหัวพร้อมยิ้ม “หยดน้ำเล็ก ๆ ไหนเลยจะเทียบดวงจันทร์อันเจิดจรัสได้?”
ซูหลิงซานยังคงแสดงความสงสัย นางถือว่าตนเองก็เป็นหญิงงามที่มีชื่อเสียง จนได้รับฉายาไข่มุกแห่งหลิ่งหนาน แต่เมื่อพบกับลวี่เอ๋อ นางก็อดรู้สึกถึงความด้อยไม่ได้ เพราะลวี่เอ๋อไม่ว่าจะในด้านรูปร่าง หน้าตา หรืออากัปกิริยา ล้วนอยู่ในระดับที่หาได้ยาก
นางเคยคิดว่าลวี่เอ๋อคือหญิงงามที่สุดในใต้หล้า แต่เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าสตรีในวังมังกรนั้นจะงามเพียงใด
ในตอนนั้นเอง จางจิ่วหยางที่กำลังดื่มสุราก็หยุดชะงัก แสงสีทองจากดวงตาแห่งธรรมะที่หว่างคิ้วของเขาเปล่งประกาย สายตาเขามองไปยังประตูพร้อมเผยรอยยิ้มอ่อนโยน
เพื่อนเก่าในต่างแดน ในที่สุดก็ปรากฏตัวเสียที
ทันใดนั้น เสียงคำรามของมังกรดังขึ้นอย่างแผ่วเบา รอบวังแก้วคริสตัลดูเหมือนจะมีชีวิต เปล่งแสงระยิบระยับ น้ำแห่งแม่น้ำซีเจียงรวมตัวกันในที่เดียว
ทุกที่ที่มันสัมผัส กลายเป็นดินแดนแห่งพลังชีวิต
ร่างหนึ่งที่สง่างามยืนอยู่ด้วยความอ่อนช้อย สวมชุดขาวคาดเข็มขัดทอง ใบหน้าสดใสราวกับแสงอรุณ ผิวพรรณดุจหิมะและน้ำแข็ง ผมยาวสีดำสนิทดั่งหมึกดำร่วงลงมาถึงเอว รวบไว้ด้วยปิ่นลายเมฆทำจากหยกขาว
แม้นางไม่แต่งหน้า แต่ความงามอันเรียบง่ายของนางกลับทำให้ดูสูงส่งเหนือธรรมดา ราวกับนางฟ้าในเทพนิยาย
หลิวจื่อเฟิงและซูหลิงซานมองตาค้าง
ที่แท้ลวี่เอ๋อก็ไม่ได้พูดเกินจริง บนโลกนี้ยังมีหญิงงามถึงเพียงนี้!
มังกรสาวก้าวเท้าเบา ๆ เดินเข้ามาด้วยความสง่างาม ดวงตาแก้วใสดุจคริสตัลของนางไม่สนใจหลิวจื่อเฟิงและซูหลิงซานเลยแม้แต่น้อย สายตากวาดผ่านทุกคน ก่อนจะหยุดที่จางจิ่วหยาง
สายตาประสานกัน
บนใบหน้าที่เย็นชาเรียบเฉยของมังกรสาวปรากฏรอยยิ้มจาง ๆ เพียงชั่วครู่ ราวกับดอกไม้ที่บานในหุบเขาลึก
“เจ้ามาแล้วสินะ”
เสียงอันก้องกังวานดังขึ้น แต่ดูเหมือนครั้งนี้จะเต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลายมากกว่าครั้งก่อน
จางจิ่วหยางยิ้มอย่างผ่อนคลาย ก่อนตอบว่า “ก็เราเคยสัญญากันไว้ว่า จะพบกันอีกครั้งที่หยางโจว”
ในขณะนั้นเอง อ้าวหยาที่กำลังเพลิดเพลินกับอาหารในอ้อมแขนของจางจิ่วหยางก็หลุดจากอ้อมกอดของเขา กระโจนเข้าสู่อ้อมแขนของพี่สาว กอดแน่นไม่ยอมปล่อย สีหน้าแสดงถึงความรักใคร่
“อ้าวหยา เจ้าอ้วนขึ้นอีกแล้วนะ”
มังกรสาวบีบแก้มกลม ๆ ของน้องสาวอย่างอ่อนโยน สายตาของนางยิ่งแสดงถึงความอ่อนโยนขึ้นไปอีก
หลิวจื่อเฟิงและซูหลิงซานสบตากัน ในแววตาเต็มไปด้วยความตกตะลึงและข้อสงสัย
หรือว่าเจ้าแห่งวังมังกรที่งดงามเกินมนุษย์ผู้นี้คือมารดาของอ้าวหยา?
และพี่จางคือสามีของนาง?
เพียงชั่วพริบตา ทั้งสองก็จินตนาการถึงเรื่องราวความรักอันโรแมนติกระหว่างมนุษย์และมังกร
ที่แท้พี่จางไม่ได้พาลูกสาวเดินทางในยุทธภพ แต่เป็น…
เดินทางพันลี้เพื่อตามหาภรรยา!