บทที่ 12 เพื่อนร่วมชั้นมหาวิทยาลัย
บทที่ 12 เพื่อนร่วมชั้นมหาวิทยาลัย
หลังจากกำชับชายร่างอ้วนเสร็จ อวี๋จื้อหมิงและพี่สาวก็เติมน้ำมันเต็มถัง แล้วออกเดินทางต่อมุ่งหน้าสู่จินหลิง
พวกเขาจากไปอย่างเรียบง่าย โดยไม่ได้เหลืออะไรไว้เบื้องหลัง
แน่นอน ชายหญิงที่ยังคงร้องขอความเมตตาและกรีดร้องอยู่ คงไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกัน
เมื่อออกเดินทางอีกครั้ง อวี๋จื้อหมิงเปลี่ยนมาขับรถเอง ส่วนอวี๋เซียงว่านรับหน้าที่พักผ่อน
รถ Baojun SUV คันนี้มีพื้นที่กว้างขวางมาก หลังจากพับเบาะที่นั่งด้านหลังลงและต่อเข้ากับพื้นที่เก็บของท้ายรถ ปูเสื่อรอง ก็กลายเป็นเตียงที่เพียงพอให้ผู้ใหญ่คนหนึ่งนอนพักผ่อนได้
เพิ่งผ่านเหตุการณ์ใหญ่ในการช่วยเหลือเด็กที่ถูกลักพาตัวมา อวี๋เซียงว่านยังคงตื่นเต้นจนไม่รู้สึกง่วง
อย่างไรก็ตาม เธอรู้ว่าการเดินทางกลับในช่วงดึกยังต้องอาศัยเธอเป็นกำลังสำคัญ
“บนถนนมีเป็นหมื่นสาย แต่ความปลอดภัยต้องมาก่อน!”
อวี๋เซียงว่านรู้ดีว่า หากเกิดอุบัติเหตุจากการขับรถขณะง่วงนอนจนทำให้อวี๋จื้อหมิงผู้เป็นน้องชายสุดที่รักต้องได้รับบาดเจ็บ เธอคงถูกพ่อแม่และพี่สาวคนอื่นๆ จัดการจนไม่เหลือชิ้นดี
เธอดึงผ้าห่มบางๆ มาคลุมตัว ปรับหมอนเล็กให้เข้าที่ แล้วพยายามทำใจให้สงบ…
เมื่อเธอลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็สังเกตเห็นว่าแสงภายนอกรถเปลี่ยนไปมาก รถก็เริ่มช้าลง
“เสี่ยวอู่ ถึงจินหลิงแล้วเหรอ?”
“กำลังข้ามสะพานแม่น้ำแยงซี เข้าสู่ตัวเมือง ตามแผนที่นำทางเหลืออีกยี่สิบนาทีจะถึง”
เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋เซียงว่านรีบลุกขึ้น นำผ้าห่ม หมอน และเบาะรองเก็บให้เรียบร้อย จากนั้นปรับเบาะที่นั่งกลับมาในสภาพเดิม
หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จ เธอนั่งอยู่ที่เบาะหลัง หวีผมเล็กน้อยและใช้กระดาษชำระเปียกเช็ดหน้า
“เสี่ยวอู่ ตอนนี้กี่โมงแล้ว?”
“ติดต่อคนที่นัดไว้หรือยัง?”
“อีกสิบกว่านาทีก็จะตีหนึ่ง ผมติดต่อแล้ว มีคนรอรับเราที่หน้าโรงพยาบาล”
อวี๋เซียงว่านพยักหน้ารับ หันไปมองนอกหน้าต่าง เห็นรถที่วิ่งอยู่ข้างนอกไม่น้อย และยังมีคนเดินอยู่บนทางเท้า
“เมืองทางใต้นี่ชีวิตกลางคืนคึกคักดีจริงๆ”
เธอพูดอย่างทึ่งว่า “นี่มันตีหนึ่งแล้วนะ ยังไม่ใช่วันหยุดเลย แต่ข้างนอกก็ยังมีคนและรถเยอะขนาดนี้”
“ที่ปินไห่ตอนกลางคืน น่าจะคึกคักกว่าจินหลิงอีกใช่ไหม?”
เธอหยุดคิดได้แล้วพูดต่อว่า “ฉันลืมไปเลย เสี่ยวอู่ นายไม่ชอบความวุ่นวายนี่นะ”
“เอ้อ เสี่ยวอู่…”
อวี๋เซียงว่านโน้มตัวไปด้านหน้า เอนตัวลงบนพนักพิงของที่นั่งข้างคนขับพลางพูดว่า “ให้นายไปปินไห่ล่วงหน้า ฉันจะช่วยหาบ้านที่เงียบสงบและเหมาะสมให้นายเช่าอยู่ดีไหม?”
“จะได้ปรับปรุงบ้านให้มีระบบเก็บเสียงด้วย”
อวี๋จื่อหมิงครุ่นคิดก่อนตอบว่า “รอให้ไปสอบคัดเลือกที่ปินไห่สัปดาห์หน้าก่อน แล้วค่อยว่ากัน”
อวี๋เซียงว่านพยักหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า “เสี่ยวอู่ ไม่สู้ซื้อมันไปเลยจะดีกว่าไหม? ใช้เงินสนับสนุนสองล้านหยวนซื้อบ้านที่ปินไห่เลย”
“การปรับปรุงบ้านเช่ามันสิ้นเปลืองเงิน”
อวี๋จื้อหมิงหัวเราะเบาๆ “พี่สาว แค่ราคาบ้านที่ปินไห่ก็แพงจนตกใจแล้ว เงินสองล้านซื้อบ้านดีๆ ไม่ได้หรอก”
“อีกอย่าง การได้สิทธิพิเศษสูงสุดแบบนี้มันไม่ได้ง่ายเลยนะ”
“ผมดูเกณฑ์ของการรับคนมาแล้ว ต้องใช้เวลาสร้างชื่อและความเชี่ยวชาญทางการแพทย์อย่างน้อยสิบถึงยี่สิบปี ถึงจะได้สิทธิแบบนี้”
อวี๋เซียงว่านหัวเราะแล้วพูดว่า “เสี่ยวอู่ ฉันเชื่อในตัวนาย นายทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว…”
ระหว่างที่พี่น้องพูดคุยกัน รถก็วิ่งมาถึงหน้าโรงพยาบาลจินหลิงกู่โหลว
ทันทีที่อวี๋จื้อหมิงเหยียบเบรก เขาก็เห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ อายุราวยี่สิบถึงสามสิบปี โบกมือทักทายพลางเดินเข้ามาหา
เขาเปิดประตูที่นั่งข้างคนขับให้ชายหนุ่มขึ้นรถ
“สวัสดีครับ ผมคือเซียวฮว่า ที่ติดต่อคุณมาก่อนหน้านี้...”
เซียวฮว่าชะงักไปเมื่อเห็นคนขับรถคืออวี๋จื้อหมิง จากนั้นเขามองไปยังอวี๋เซียงว่านที่นั่งอยู่เบาะหลัง ก่อนจะถามอย่างไม่แน่ใจว่า “ใครคือคุณหมออวี๋จากมณฑลลู่ ที่มารักษาพี่สาวของผมครับ?”
อวี๋จื้อหมิงสังเกตเห็นความสงสัยบนใบหน้าของอีกฝ่าย เขาเข้าใจดีว่าความหนุ่มของตัวเองทำให้เกิดความไม่มั่นใจ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์
อวี๋จื้อหมิงตอบเสียงเบา “ผมเองคืออวี๋จื้อหมิงครับ ไม่กล้าเรียกตัวเองว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ เป็นเพียงหมอธรรมดาเท่านั้น”
“คนที่นั่งข้างหลังคือพี่สาวและผู้ช่วยของผม อวี๋เซียงว่าน”
เขาหยุดเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อว่า “คุณเซียว ผมเข้าใจความกังวลเกี่ยวกับอายุและความสามารถของผม แต่ถ้าผมไม่มีความมั่นใจเพียงพอ ผมคงไม่ขับรถข้ามคืนมาที่นี่เพื่อเอาความยุ่งยากใส่ตัวแน่นอนครับ”
เซียวฮว่าได้ฟังเช่นนั้น รีบขอโทษ “คุณหมออวี๋ ขอโทษด้วยครับที่ผมตัดสินคนจากภายนอก”
จากนั้นเขาพูดต่อว่า “พี่สาวของผมเป็นคุณแม่อายุมาก กว่าจะตั้งครรภ์ได้ก็ลำบากมาก ขอให้คุณหมอช่วยใช้ฝีมือรักษาเธอด้วยนะครับ ถ้าสำเร็จครอบครัวเซียวของเราจะตอบแทนอย่างงาม”
อวี๋จื้อหมิงตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ในฐานะแพทย์ ไม่ว่าผู้ป่วยคนไหน ผมจะทำเต็มที่เพื่อช่วยพวกเขาเสมอครับ”
“คุณเซียว ช่วยนำทางด้วยครับ”
ด้วยการนำทางของเซียวฮว่า อวี๋จื้อหมิงขับรถลัดเลี้ยวไปยังโรงพยาบาลจินหลิงกู่โหลว และจอดที่ลานจอดใกล้กับอาคารสูตินรีเวช
ทั้งสามคนรีบเดินไปยังอาคาร แต่ในขณะนั้น หญิงสาวใส่แว่นในชุดกาวน์สีขาวผมสั้นวิ่งแซงพวกเขาไป
เธอหยุดกะทันหันและหันมามองอวี๋จื้อหมิง ใบหน้าของเธอแสดงออกถึงความดีใจ
“อวี๋จื้อหมิง! ฉันว่าแล้วว่าหลังนี้คุ้นตา ที่แท้ก็เป็นนายจริงๆ”
อวี๋จื้อหมิงยิ้มกว้างและเดินเข้าไปใกล้ “ซูถง ไม่เจอกันนานเลยนะ เธอสวยขึ้นอีกแล้วนะ”
ซูถงยกมือดันกรอบแว่นและลูบหน้าตัวเองพลางยิ้ม “อวี๋จื้อหมิง นายก็เริ่มพูดโกหกเก่งแล้วเหรอ”
“ฉันยุ่งจนไม่มีเวลาแต่งตัว แถมยังต้องอดหลับอดนอน นายคิดว่าฉันจะสวยขึ้นได้ยังไง?”
เธอหันไปมองอวี๋เซียงว่านที่เดินมาใกล้พลางถาม “อวี๋จื้อหมิง คนนี้คือแฟนของนายเหรอ?”
“เธอเป็นพี่สาวฝาแฝดของฉัน อวี๋เซียงว่าน”
อวี๋จื้อหมิงแนะนำพี่สาว “พี่ นี่คือซูถง เพื่อนร่วมชั้นมหาวิทยาลัยของผม ตอนนี้กำลังเรียนปริญญาเอกที่คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยจินหลิง”
“ซูถง เธอมาทำอะไรที่นี่?”
“สวัสดีค่ะ คุณพี่สาวอวี๋!” ซูถงกล่าวทักทายอวี๋เซียงว่านก่อนจะอธิบายว่า “ฉันมาฝึกงานที่โรงพยาบาลนี้ และเก็บข้อมูลสำหรับทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกค่ะ”
อวี๋เซียงว่านยิ้มตอบและมองซูถงอย่างพินิจพิจารณา
ใบหน้าของซูถงค่อนข้างกลม ดวงตารูปอัลมอนด์ จมูกเล็ก ปากบาง ผิวออกเหลือง
โดยรวมแล้ว เธอมีใบหน้าที่ดูดีกว่าธรรมดาแต่ไม่ถึงขั้นสวย และยังไม่ตรงกับมาตรฐานในใจของอวี๋เซียงว่านที่มีต่อน้องสะใภ้
ส่วนรูปร่าง...
เธอตัวเล็กกว่าอวี๋จื้อหมิงอย่างเห็นได้ชัด สูงเพียงประมาณ 160 เซนติเมตร
อวี๋เซียงว่านกวาดสายตามองบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว แม้จะถูกเสื้อกาวน์ปกปิดไว้แต่ก็คาดว่าคงไม่มากนัก...
ซูถงถามต่อว่า “อวี๋จื้อหมิง ฉันนึกว่านายจะกลับไปสอบปริญญาโทต่อหลังจากกลับบ้านเสียอีก ทำไมถึงไม่เห็นมีข่าวคราวอะไรเลย?”
อวี๋จื้อหมิงหัวเราะเบาๆ “พอเริ่มทำงาน ก็ยุ่งจนหัวหมุน ไม่มีเวลาเตรียมตัวสอบเลย”
ซูถงพยักหน้า “ใช่เลย หมอที่เพิ่งเริ่มทำงานมักจะยุ่งจนไม่มีเวลาพักผ่อน การเตรียมตัวสอบก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้”
“แต่ถ้านายไม่เรียนต่อ มันก็น่าเสียดายนะ”
เธอเปลี่ยนเรื่องทันทีเมื่อรู้ว่าประเด็นนี้อาจทำให้เพื่อนรู้สึกแย่ “ว่าแต่นายมาที่โรงพยาบาลกู่โหลวครั้งนี้เพราะเรื่องอะไรเหรอ?”
“ฉันฝึกงานที่นี่มาสักพักแล้ว รู้จักคุณหมอหลายคน บางทีอาจช่วยนายได้นะ!”
อวี๋จื้อหมิงยิ้มบางๆ และตอบเลี่ยงๆ ว่า “ผมมาดูคนไข้ ไม่จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือใคร...”
ในขณะที่เซียวฮว่าเห็นว่าอวี๋จื้มิงคุยกับเพื่อนเก่าอย่างสนุกสนาน ก็เริ่มไม่ค่อยสบายใจ เขาจึงพูดแทรกขึ้นว่า “คุณหมออวี๋ครับ พี่สาวของผมเธอ...”
แต่ยังไม่ทันที่อวี๋จื้อหมิงจะได้ตอบ ซูถงก็พูดแทรกขึ้นก่อนว่า “จื้อหมิง เราคุยกันต่อไม่ได้แล้วล่ะ!”
“ฉันได้ข่าวมาว่าแผนกสูตินรีเวชเชิญผู้เชี่ยวชาญจากเมืองเล็กๆ มา เขาว่ากันว่าเขามีฝีมือที่คนอื่นทำไม่ได้”
“ฉันต้องไปชมให้ได้เลย!”
เธอยกมือทำท่าทางเหมือนโทรศัพท์ก่อนจะพูดต่ออย่างเร่งรีบว่า “ใครเสร็จงานก่อนให้โทรหากันนะ”
“จื้อหมิง พี่สาวอวี๋ เดี๋ยวฉันเลี้ยงข้าวพวกนาย แล้วพาเที่ยวเมืองจินหลิง!”
พูดจบ ซูถงก็รีบวิ่งเข้าตึกไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับทิ้งท้ายคำพูดที่ลอยมาตามลมว่า
“ห้ามหายตัวไปเด็ดขาดนะ!”