ตอนที่แล้วบทที่ 1134 (255) จี้เฟิงผู้โกรธเกรี้ยว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 1136 (257) ตั้งตารอ 

บทที่ 1135 (256) การฝึกแบบปีศาจ (ตอนฟรี)


บทที่ 1135 (256) การฝึกแบบปีศาจ (ตอนฟรี)

“น้องสาม ฟังจากน้ำเสียงของนาย ดูเหมือนว่านายจะมีความแค้นอย่างมากกับตระกูลถันเลยนะ?” จี้ช่าวเหลยหัวเราะแล้วพูดว่า “เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ เล่ามาให้ฉันฟังหน่อย เผื่อฉันจะช่วยคิดหาทางออกให้ได้!”

“ก็แค่เรื่องแย่งแฟนธรรมดา เจอไอ้หนุ่มบ้าบิ่นคนหนึ่งที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ…” จี้เฟิงเล่าเรื่องราวคร่าว ๆ “ไม่ใช่เพราะอะไรหรอก แต่แค่ที่ถันเทียนเฟิงกล้าดูถูกจางเล่ยขนาดนี้ ผมก็ไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่!”

“ไอ้หมอนี่...มันไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงจริง ๆ!” จี้ช่าวเหลยพูดขึ้นหลังจากฟังจบ

การแย่งแฟนอาจเป็นเรื่องปกติ และการมีปัญหากระทบกระทั่งจนถึงขั้นลงไม้ลงมือก็ยังพอเข้าใจได้ แต่ปัญหาคือ ไอ้ถันเทียนเฟิงคนนี้ทำเกินไปมาก นี่มันไม่ใช่แค่ความขัดแย้งธรรมดา แต่เป็นการจงใจดูถูกจางเล่ยอย่างชัดเจน!

“เอาล่ะ ฉันจะช่วยสืบเรื่องนี้ให้เอง!” จี้ช่าวเหลยกล่าว “แต่ว่าน้องสาม นายก็อย่าหวังมากเกินไปนะ เรื่องที่นายพูดถึงตระกูลนักสู้อะไรนั่น ฉันไม่เคยติดต่อกับพวกเขามาก่อน ดังนั้นเรื่องนี้ควรให้คุณลุงช่วยจะดีกว่า ใช้หน่วยข่าวกรองทางทหารน่าจะสะดวกและรวดเร็วที่สุด!”

จี้เฟิงพูดว่า “ไม่ว่าจะต้องหาข้อมูลจากใครก็ตาม อย่างไรพี่ก็ต้องช่วยฉันสืบเรื่องของตระกูลถันให้ละเอียดโดยเร็วที่สุด”

“ไม่ต้องห่วง ฉันจะช่วยนายตรวจสอบเดี๋ยวนี้เลย!” จี้ช่าวเหลยตอบ “แต่ว่าเรื่องนี้อาจต้องใช้เวลาสักหน่อย อย่าใจร้อนล่ะ!”

จี้เฟิงพยักหน้ารับ ก่อนจะวางสายจากจี้ช่าวเหลย เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรอีกสายหนึ่ง “ฮัลโหลลุงเจิ้ง ผมเองจี้เฟิง ผมอยากให้ลุงช่วยเช็กทะเบียนรถคันหนึ่ง เป็นรถสปอร์ตสีเงินขาว... ใช่ครับ ลุงช่วยดูให้หน่อยว่าตอนนี้เจ้าของรถอยู่ที่ไหน…”

ตรวจสอบตระกูลถัน ตรวจสอบถันเทียนเฟิง...

จี้เฟิงตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะต้องหาตัวถันเทียนเฟิงให้เจอ เขาจะไม่มีทางปล่อยให้พี่น้องของเขาต้องถูกดูถูกโดยไร้เหตุผลเด็ดขาด

...............

“อืม....”

“อึ่ก...”

ฟ้ายังเพิ่งเริ่มสาง แม้แต่ขอบฟ้าทางตะวันออกยังไม่เปลี่ยนเป็นสีขาว ในบ้านพักของจี้เฟิงก็มีเสียงครางต่ำๆดังขึ้น เสียงนี้เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ราวกับว่าผู้ที่เปล่งเสียงออกมากำลังเผชิญกับความทรมานอันหนักหน่วง

และมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ

ในเวลานี้ จางเล่ยกำลังกางขาของเขาออก ทิ้งตัวกดลงกับพื้น ลำตัวโน้มไปข้างหน้าอย่างตรงแน่ว สองมือไขว้หลังประสานกันในท่าทางที่ดูประหลาดสุด ๆ

ส่วนจี้เฟิงก็นั่งอยู่ไม่ไกลจากเขานัก บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง พร้อมกับถือหนังสืออยู่ในมือ อ่านอย่างสบายอารมณ์

“อืม!”

เหงื่อของจางเล่ยไหลท่วมร่าง เสื้อยืดเปียกแนบเนื้อจนมองเห็นสัดส่วนได้ชัดเจน หยาดเหงื่อบนหน้าผากของเขายังคงไหลหยดลงมาอย่างต่อเนื่อง

จี้เฟิงละสายตาจากหนังสือ มองเขาแวบหนึ่งก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ห้ามร้อง ถ้ายังร้องอีก ฉันจะเพิ่มปริมาณการฝึกให้หนักกว่าเดิม!”

จางเล่ยตัวสั่นสะท้านทันที เขากัดฟันแน่นและไม่กล้าส่งเสียงออกมาอีกแม้แต่น้อย

ตอนนี้เป็นวันที่ 3 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันที่สามของการปิดเทอมอย่างเป็นทางการ

ตลอดช่วงสามวันที่ผ่านมา จางเล่ยต้องเข้ารับการฝึกพิเศษจากจี้เฟิง และด้วยเหตุนี้เอง เขาถึงได้เข้าใจเสียทีว่าการฝึกพิเศษที่จี้เฟิงพูดถึงนั้นมันเป็นอย่างไร มันแทบจะไม่ใช่การฝึกของมนุษย์เลยด้วยซ้ำ!

ก่อนหน้านี้ เพื่อให้เป็นไปตามความคาดหวังของครอบครัวเฉินจิ้งยี่ จางเล่ยทุ่มเทฝึกฝนสุดชีวิต เขาเคยคิดว่าตัวเองพยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว แต่ตอนนี้เขาถึงได้รู้ว่า การฝึกที่ผ่านมาของเขามันเป็นแค่เรื่องเด็กๆเท่านั้น!

ปริมาณการฝึกที่จี้เฟิงกำหนดให้ มากกว่าที่เขาเคยกำหนดให้ตัวเองหลายเท่าตัว!

ยิ่งไปกว่านั้น ความเข้มงวดของจี้เฟิงในการฝึกก็ทำให้จางเล่ยรู้สึกหวาดหวั่นไปทั้งร่างกาย

นี่มันจะเรียกว่าการฝึกได้ยังไงกัน นี่มันคือความพยายามทุกวิถีทางที่จะทรมานคนชัดๆ แต่จางเล่ยก็ยังคงกัดฟันอดทนต่อไป แม้ว่ามันจะเจ็บปวดถึงขีดสุดก็ตาม

แต่เมื่อเขานึกถึงเหตุการณ์เมื่อไม่กี่วันก่อนที่สนามบินเจียงโจว ว่าถันเทียนเฟิงดูถูกเขาอย่างไร และสภาพน่าอับอายของตัวเองในตอนนั้น จางเล่ยก็ยิ่งกัดฟันแน่นและฝืนทนต่อไป!

ในความเป็นจริงแล้ว นี่ก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายของจางเล่ยด้วย

เขาต้องการใช้ความพยายามของตัวเองเพื่อให้ครอบครัวของเฉินจิ้งยี่ยอมรับ และเพื่อไม่ให้เฉินจิ้งยี่ต้องทนทุกข์หรือถูกใครดูถูก ดังนั้นเขาจึงฝึกฝนอย่างบ้าคลั่ง มุ่งมั่นที่จะไปให้ถึงระดับพลังขั้นกลางของนักสู้ขั้นหลังฝึกฝน นี่คือจุดมุ่งหมายของเขา

อย่างไรก็ตาม เหตุผลที่เขาไม่เลือกใช้ฐานะทางครอบครัวเพื่อจัดการกับถันเทียนเฟิง แต่กลับเลือกที่จะเผชิญหน้ากับมันอย่างกล้าหาญ นั่นก็เพราะเขาต้องการใช้ประโยชน์จากความเย่อหยิ่งอวดดีของถันเทียนเฟิงเป็นแรงผลักดันให้ตัวเอง มีเป้าหมายให้ไล่ตาม และเป็นพลังขับเคลื่อนให้ก้าวไปข้างหน้า!

เขาไม่ได้บ้าและไม่ได้ต้องการให้ตัวเองถูกทำร้ายซ้ำซาก!

ดังนั้น แม้ว่าจี้เฟิงจะฝึกเขาอย่างหนักหน่วงจนแทบขาดใจ จางเล่ยก็ไม่เคยแสดงท่าทีถอยหนีหรือตำหนิอะไร มีเพียงแค่คำเดียวในใจของเขาเท่านั้น “อดทน!”

ถึงจะต้องตาย ก็ต้องอดทนให้ได้!

การฝึกของจางเล่ยยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเขาเริ่มรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองเริ่มชาจนแทบไม่รับรู้สิ่งใด กล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างก็แทบไม่ตอบสนองอีกต่อไป และโดยไม่รู้ตัว ร่างกายของเขาก็เริ่มสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้...

“ฟึ่บ!”

สายลมแรงพัดเข้ากระทบร่างของเขาอย่างกะทันหัน มันไร้รูป ไร้เงา ไม่อาจมองเห็นหรือสัมผัสได้

แต่ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง ดวงตาของจางเล่ยก็เบิกโพลงจนแทบถลนออกมา เส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านอย่างรุนแรง

“อดทนไว้!”

เสียงของจี้เฟิงดังขึ้นอย่างราบเรียบ “จำไว้ให้ดี ต่อให้ร่างกายของนายจะชาไปทั้งตัว นายก็ต้องอดทน และที่สำคัญ นายต้องอดทนด้วยจิตสำนึกที่แจ่มชัด เพราะความรู้สึกชานี้เป็นเรื่องปกติสุดๆในช่วงเวลานี้ นายต้องใช้พลังใจของตัวเองเพื่อผ่านมันไปให้ได้ พยายามสัมผัสทุกส่วนของร่างกายให้ดี...และที่สำคัญที่สุด นายต้องรับรู้การเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายของตัวเองให้ได้!”

เหงื่อท่วมตัวจางเล่ยจนเปียกโชกไปทั้งร่าง ราวกับว่าเพิ่งถูกลากขึ้นมาจากน้ำ ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด

แต่เมื่อได้ยินคำพูดของจี้เฟิง เขากลับนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ทำสีหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง ขมวดคิ้วแน่น ราวกับกำลังพยายามเข้าใจอะไรบางอย่าง

ผ่านไปครู่หนึ่ง จางเล่ยกลับหลับตาลงอย่างช้าๆ และยังคงรักษาท่าทางเดิมต่อไป

เมื่อเห็นเช่นนั้น จี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มบาง ๆพลางพูดว่า “มีพรสวรรค์และหัวไวมากเลยแฮะ!”

ความจริงแล้ว การฝึกสุดโหดที่จางเล่ยได้รับในตอนนี้ ล้วนแต่เป็นการฝึกที่จี้เฟิงลอกมาจากประสบการณ์ของตัวเองในพื้นที่ฝึกฝนพิเศษ

ในพื้นที่ฝึกฝนนั้น มองอัจฉริยะหมายเลข 1 ได้จัดการฝึกแบบโหดหินให้กับจี้เฟิงอย่างไร เขาก็ยกมาใช้กับจางเล่ยแบบไม่มีผิดเพี้ยน

“ในเมื่อเป็นพี่น้องกัน ฉันเคยผ่านความทรมานแบบไหน นายก็ต้องลองลิ้มรสด้วยเหมือนกันสิ!”

จี้เฟิงคิดในใจด้วยความสนุกสนานปนเจ้าเล่ห์

แน่นอนนั่นเป็นเพียงเรื่องล้อเล่นเท่านั้น ความจริงแล้ว จี้เฟิงไม่ได้ตั้งใจแค่จะให้จางเล่ยลิ้มรสความยากลำบากที่เขาเคยเผชิญ แต่เป็นเพราะวิธีการฝึกแบบปีศาจนี้ได้พิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง

ในครั้งนี้จี้เฟิงทำหน้าที่เป็นสมองอัจฉริยะเอง

เพียงแค่จางเล่ยขยับตัวเพียงเล็กน้อย หรือทำท่าทางที่ไม่ถูกต้องแม้แต่น้อย จี้เฟิงก็จะปล่อยกระแสไฟฟ้าชีวภาพใส่ทันที ทำให้จางเล่ยเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่าง

นี่แหละคือการฝึกแบบปีศาจของจริง!

ความจริงแล้ว จี้เฟิงเองก็ไม่ได้เต็มใจนักที่ต้องทำเช่นนี้ แต่ก็ไม่มีทางเลือกมากนัก จางเล่ยแม้จะฝึกแอโรบิกไปถึงชุดที่สองแล้ว แต่เนื่องจากเขาฝึกด้วยตัวเองมาตลอด ทำให้พื้นฐานของเขายังไม่มั่นคงเท่าที่ควร

ดังนั้นแม้ว่าเขาจะฝึกถึงระดับชุดที่สอง แต่ในแง่ของพลังที่แท้จริง เขากลับยังอ่อนแอกว่าจี้เฟิงในช่วงท้ายของการฝึกชุดแรกเสียอีก!

ด้วยเหตุนี้เอง จี้เฟิงจึงต้องใช้การฝึกอันโหดเหี้ยมกับจางเล่ย เพราะหากต้องการให้จางเล่ยพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว มันไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้

แต่ปัญหาคือ พื้นฐานของจางเล่ยยังไม่แน่นพอ หากให้เขาก้าวหน้ารวดเร็วเกินไป นั่นก็ไม่ต่างอะไรจากการเร่งให้ต้นกล้าเติบโตเร็วเกินไป ซึ่งจะส่งผลเสียต่อการพัฒนาของเขาในอนาคต และอาจทำให้เขาดูแข็งแกร่งแต่ภายในกลับกลวงเปล่า ไม่สามารถดึงพลังที่แท้จริงออกมาได้

การฝึกอันเข้มข้นในตอนนี้ ก็เพื่อให้จางเล่ยพัฒนาไปพร้อมกับการสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งไปด้วย!

แน่นอนวิธีการฝึกอย่างค่อยเป็นค่อยไปแบบนี้อาจทำให้ความก้าวหน้าช้ากว่าที่จี้เฟิงคาดไว้ แต่ก็ยังเร็วกว่าการที่จางเล่ยฝึกด้วยตัวเองเสียอีก

“ติ๊ง...”

ในตอนนั้นเอง โทรศัพท์ของจี้เฟิงก็ดังขึ้น ปรากฏว่าเป็นสายจากเจิ้งหยวนซาน

จี้เฟิงมองจางเล่ยแวบหนึ่งก่อนพูดเรียบ ๆ ว่า “ฝึกต่อไปเด็กน้อย ถ้าวันนี้นายทำไม่ถึงเป้าที่ฉันตั้งไว้... หึหึ!”

จางเล่ยหลับตาแน่นโดยไม่พูดอะไรสักคำ จี้เฟิงเห็นแล้วก็พยักหน้ายิ้ม นี่แหละ...เขาเริ่มเข้าใจแล้ว เขากำลังพยายามรับรู้ความเปลี่ยนแปลงภายในร่างกาย และสัมผัสกระแสชีวภาพของตัวเอง

จี้เฟิงจึงเดินออกไปและกดรับสาย “ฮัลโหล ลุงเจิ้ง ผมเอง จี้เฟิงครับ”

“เสี่ยวเฟิง รถที่นายให้ตรวจสอบ ฉันสืบมาได้แล้ว” เจิ้งหยวนซานกล่าว “รถคันนั้นเป็นของบริษัทแห่งหนึ่งในซีเจียง และปัจจุบันขึ้นทะเบียนอยู่ที่สำนักงานสาขาในเจียงโจว แต่คนที่นายต้องการหา ตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว จากข้อมูลที่เราได้มา เขากลับไปซีเจียงแล้ว...”

“กลับไปแล้ว? แถมยังกลับไปซีเจียงอีกด้วย?!” จี้เฟิงขมวดคิ้วทันที “แล้วบริษัทนั้นมีความเกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลถันหรือเปล่าครับ?”

“ตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลชัดเจน แต่จากภายนอกดูแล้ว มันเป็นแค่บริษัทธรรมดา ไม่มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลถันแต่อย่างใด” เจิ้งหยวนซานกล่าว “เสี่ยวเฟิง นายกำลังสืบพวกเขา... มีแผนจะทำอะไรเหรอ?”

การสืบข้อมูลบุคคลอื่นแบบนี้ถือว่าเป็นการละเมิดกฎ ดังนั้นเจิ้งหยวนซานจำเป็นต้องรู้เหตุผลและเป้าหมายของจี้เฟิงให้แน่ชัด

“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่อยากตามหาคนๆนี้ หมอนี่ติดหนี้ผมอยู่” จี้เฟิงหัวเราะเบา ๆ “แค่คิดไม่ถึงว่าเขาจะหนีไปซะได้... ขอบคุณลุงเจิ้งมากนะครับ ไว้วันหลังผมจะไปเยี่ยมลุงกับป้าเอง”

“แบบนี้สิถึงจะดี!” เจิ้งหยวนซานหัวเราะขึ้นทันที

“หนีไปแล้วงั้นเหรอ...” หลังจากวางสาย จี้เฟิงแสยะยิ้มเย็นชา “คิดว่าหนีแล้วมันจะจบงั้นเหรอ? ในเมื่อกลับไปซีเจียงพอดี งั้นก็ไม่ต้องรีบ รอให้จางเล่ยแข็งแกร่งพอ แล้วเราจะไปหานายเอง!”

เขาแค่นเสียงเย็นชา ในดวงตามีประกายเยือกเย็นวาบผ่าน

ต่อให้คนมันหนีไป แต่ขอแค่มีเบาะแสเพียงนิดเดียว เขาจะไม่มีวันปล่อยหมอนั่นให้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้ ถันเทียนเฟิงและตระกูลถัน ต้องชดใช้!

....จบบทที่ 1135~

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด