ตอนที่ 9 คนธรรมดาถูกลวง
ตอนที่ 9 คนธรรมดาถูกลวง
หนิงเฉินและหนิงหย่งนั่งอยู่ริมหน้าต่างชั้นสองของโรงเตี๊ยม คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวบนถนนอย่างไม่ลดละ
“ดูนั่น หนิงโจวปรากฏตัวแล้ว”
“ไปกันเถอะ!”
ทั้งสองเร่งฝีเท้าก้าวลงจากโรงเตี๊ยม ล่วงหน้าไปดักที่หัวมุมถนน ทำทีเป็นเดินสวนกันโดยบังเอิญ และปะทะหน้ากับหนิงโจวพอดี
“หนิงโจวหรือ?” หนิงหย่งร้องเรียกขึ้น
หนิงโจวหันไปมองทั้งสองคน อึ้งไปครู่หนึ่งก่อนยิ้มบางๆ “เป็นพวกเจ้าหรือ หนิงหย่ง หนิงเฉิน”
สองคนนี้คือสหายร่ำเรียนร่วมสำนักศึกษาของเขา
หนิงเฉินแสร้งทอดถอนใจ “ตั้งแต่การสอบใหญ่ผ่านไป พวกเราก็ไม่ได้พบหน้ากันอีกเลย รู้สึกเหมือนนานนักหนา”
หนิงโจวสะท้านในใจเล็กน้อย “แม้เวลาจะสั้นนัก แต่หากมีเหตุการณ์มากมายเกิดขึ้น ก็ย่อมทำให้รู้สึกว่ามันยาวนานขึ้นได้”
หนิงหย่งกล่าวขึ้น “ข้าได้ยินเรื่องของเจ้าแล้ว หลังการสอบใหญ่ เจ้าเหมือนจะมีปัญหากับท่านลุงและท่านป้า จนไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากพวกเขา”
“บัดนี้เจ้าดำรงชีวิตเพียงลำพัง ลำบากหรือไม่?”
“เจ้าทำสิ่งใดเพื่อหาเงินมาซื้อศิลาวิญญาณสำหรับการบ่มเพาะเล่า?”
หนิงโจวลังเลเล็กน้อยก่อนตอบ “ข้าทำงานรับจ้างเล็กๆน้อยๆ ในโรงงานกลไกแห่งหนึ่ง แล้วพวกเจ้าเล่า?”
หนิงหย่งหัวเราะเบาๆ สีหน้าฉายแววภาคภูมิใจ “พวกเราเข้าร่วมสมาคมล่าอสูรแล้ว!”
“พวกเรากำลังเตรียมซื้อเสบียงสำหรับการออกนอกเมือง คืนนี้พวกเราจะร่วมกับผู้อาวุโสแห่งสมาคมล่าอสูร ออกล่าอสูรในถ้ำอสูร”
“เป็นอย่างไร น่าตื่นเต้นใช่หรือไม่?”
หนิงโจวเบิกตากว้าง อ้าปากค้างเล็กน้อย “พวกเจ้าจะเข้าไปในถ้ำลาวาอสูรอัคคีแดง? มันอันตรายเกินไปหรือไม่?”
“กลัวอะไรเล่า? หากกลัวตายแล้วจะทำสิ่งใดสำเร็จได้อย่างไร?” หนิงหย่งเชิดอก ใบหน้าเต็มไปด้วยความดูแคลน
“วัยหนุ่มสาวควรออกผจญภัยทั่วหล้า ไม่เสี่ยงภัย แล้วจะได้ผลลัพธ์ที่เหนือสามัญจากที่ใด? หากไร้ทรัพย์สินเพื่อเร่งการบ่มเพาะ ข้าคงต้องรอไปอีกกี่ปี กี่เดือนกว่าจะถึงขอบเขตก่อตั้งรากฐานได้?”
หนิงเฉินเสริมขึ้นว่า “อย่าไปฟังเขาคุยโวเลย สมาคมล่าอสูรนั้นมีผู้บ่มเพาะจากตระกูลหนิงของเราร่วมอยู่ เจ้าคงเคยได้ยินชื่อเสียงของท่านหนิงจ้านจีกระมัง?”
“พวกเราจะเข้าไปภายใต้การนำของเขา คืนนี้ก็ยังเป็นช่วงขาลงของเปลวเพลิงใต้พิภพอีกด้วย ปลอดภัยแน่นอน”
หนิงเฉินเพียรปลอบประโลมคลายความกังวลในใจของหนิงโจว
หนิงโจวเผยแววอิจฉาออกมาในสีหน้า
หนิงหย่งมองแล้วเอ่ยชักชวนขึ้นทันที “ข้าว่าหนิงโจว เจ้าก็อย่ามัวเสียเวลาในโรงงานนั่นเลย มาเข้าถ้ำไปกับพวกเราเสียยังดีกว่า”
“ในถ้ำลาวาอสูรอัคคีแดงน่ะ สมบัติมีอยู่เต็มไปหมด”
“เจ้าทำงานทั้งสัปดาห์ได้เท่าไร? หากเจ้าโชคดีพบสมุนไพรวิญญาณสักต้นในถ้ำนี้ อาจได้ค่าจ้างเป็นเท่าตัวในเวลาอันรวดเร็ว!”
หนิงโจวส่ายหัว โบกมือปฏิเสธอย่างหนักแน่น “คะแนนวิชากระบี่ของข้านั้นวนเวียนอยู่ระดับกลางหรือต่ำมาตลอด การต่อสู้กับอสูรเป็นเรื่องอันตรายเกินไป ข้าทำไม่ได้หรอก”
“คนขี้ขลาด!” หนิงหย่งตวัดสายตาไปยังหนิงโจว เตรียมเอ่ยวาจาเสียดสี
แต่หนิงเฉินส่งสายตาห้ามปรามไว้ก่อน แล้วหันมายิ้มบางๆ พูดกับหนิงโจวว่า “หากข้าเป็นเจ้า หนิงโจว ข้าจะกลับไปขอโทษท่านลุงและท่านป้า ขอให้พวกเขาช่วยส่งเสริมข้าเข้าไปทำงานในกิจการของตระกูล ที่นั่นย่อมมีสวัสดิการดีกว่าทำงานในโรงงานธรรมดาเป็นแน่”
หนิงโจวส่ายหัวทันควัน เผยท่าทีแห่งเยาว์วัยเปี่ยมศักดิ์ศรี น้ำเสียงมั่นคงว่า “ในเมื่อเรื่องราวมันมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าไม่มีวันก้มหัวให้ใคร!”
หนิงเฉินหัวเราะเบาๆ “หากข้าเป็นท่านลุงและท่านป้าของเจ้า เห็นเจ้าอดอยากตรากตรำในโรงงานเล็กๆแห่งหนึ่ง ข้าคงคิดในใจว่า—ดูเถิด หนิงโจวผู้นี้ไม่รู้จักประมาณตน หากไร้ความช่วยเหลือจากพวกเรา ก็คงใช้ชีวิตลำบาก ตกต่ำจนกลายเป็นผู้บ่มเพาะที่ต่ำต้อยที่สุด!”
หนิงโจวขมวดคิ้ว สีหน้าเปลี่ยนเป็นหม่นหมองในทันที ราวกับโดนจี้ใจดำ
หนิงเฉินลอบยิ้มในใจ คิดว่าครานี้แผนย่อมสำเร็จแล้ว จึงเร่งต่อยอดคำพูด…
หลังจากนั้นไม่นาน
หนิงหย่งมองแผ่นหลังของหนิงโจวที่ค่อยๆห่างออกไป ก่อนกล่าวขึ้นว่า “หนิงโจวสอบได้คะแนนดีกว่าพวกเรา แต่มีประโยชน์อันใด? ท้ายที่สุดก็โดนพวกเรายั่วโมโหจนยอมรับคำชวนไปด้วยกันในคืนนี้”
หนิงเฉินถอนหายใจยาว “หนิงโจวก็เหมือนกับพวกเรา เป็นเพียงคนธรรมดา”
“ลองคิดกลับกัน หากข้าเป็นเขา ถูกคนจงใจวางแผนล่อลวง ก็ย่อมต้องหลงกลเช่นกัน”
“เฮ้อ…”
หนิงหย่งเห็นเพื่อนร่วมทางดูหม่นหมอง จึงปลอบว่า “หนิงโจวแม้จะเป็นสหายร่ำเรียนร่วมกัน แต่ตอนนี้พวกเราอยู่ภายใต้คำสั่งของท่านหนิงจ้านจี
ครั้งนี้เป็นคำสั่งโดยตรงจากเขา เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสหายกับอนาคตของเรา เทียบกันแล้วเรื่องสหายสำคัญอันใด? อีกอย่าง พวกเราไม่ได้สนิทสนมกับเขาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว!”
หนิงเฉินส่ายหัวเบาๆ “ช่างเถิด อย่างน้อยครั้งนี้ พวกเราก็สามารถรายงานต่อท่านหนิงจ้านจีได้”
“ไปกันเถอะ”
ยามโพล้เพล้
หนิงโจวมาถึงจุดนัดหมายเพียงลำพัง
หนิงหย่งต้อนรับเขาด้วยรอยยิ้ม และนำพาเขาเข้าไปในสถานที่นั้น
หนิงเฉินพาเขาตรงไปยังหน้าท่านหนิงจ้านจี
หนิงจ้านจีคือบุรุษวัยกลางคนผู้รูปร่างกำยำ คิ้วยาวเรียวและดวงตาคมกริบ เขามองสำรวจหนิงโจวขึ้นลงด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้าก็เป็นคนตระกูลหนิง ข้าจะถือโอกาสนี้ดูแลเจ้าสักครั้งหนึ่ง จัดให้เจ้าเข้ากลุ่มร่วมเดินทางไปด้วย”
“แต่อย่าลืม ทุกการกระทำต้องฟังคำสั่งและปฏิบัติตามข้าอย่างเคร่งครัด”
“ผู้น้อยทราบแล้ว!” หนิงโจวตอบรับด้วยความรวดเร็ว
ในขณะเดียวกัน ข้อมูลเกี่ยวกับหนิงจ้านจีก็ผุดขึ้นในความคิดของเขา
หลายปีก่อน ตระกูลหนิงได้เริ่มส่งผู้บ่มเพาะออกไปยังเมืองเซียนเพลิงมะเดื่อและองค์กรต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกเมือง
หนิงจ้านจีคือหนึ่งในผู้ที่ถูกส่งออกไป เขาเป็นผู้มีพลังการต่อสู้สูงส่ง ประกอบกับบุคลิกเด็ดขาด กระทำการอย่างฉับไวไร้ความลังเล
ในสนามรบ เขาสามารถคว้าโอกาสที่เกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีได้อย่างแม่นยำ จนสร้างชื่อเสียงให้ตนเองในฐานะผู้นำทัพผู้โดดเด่น
ครั้งนี้ หนิงจ้านจีรับคำร้องขอจากหนิงเจ๋อ และได้รับสินบนมาเพื่อทำภารกิจนี้ เขาจึงสั่งการให้หนิงเฉินและหนิงหย่งออกไปยั่วยุหนิงโจวให้หลงกล
หนิงจ้านจีมองสำรวจหนิงโจวอยู่สองสามอึดใจ ก่อนเบนสายตากลับ คิดประเมินในใจว่า “พลังบ่มเพาะขอบเขตหลอมรวมขั้นสาม ธรรมดาไร้จุดเด่น”
ไม่นานนัก ผู้คนทั้งหมดก็รวมตัวกันครบ จำนวนมากกว่า 50 คน
ในหมู่คนเหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นผู้คนจากตระกูลหนิง มีเพียงบางส่วนที่เป็นบุคคลภายนอก แต่ก็ล้วนเกี่ยวพันแนบแน่นกับตระกูล
หนิงจ้านจีนำขบวนคนทั้งหมดมุ่งหน้าไปยัง ถ้ำลาวาอสูรอัคคีแดง
เมืองเซียนเพลิงมะเดื่อ เป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขา
อาคารส่วนใหญ่ของเมืองกระจุกตัวอยู่บริเวณเชิงเขากึ่งกลาง ยิ่งเข้าใกล้ใจกลางเมือง ระดับความสูงยิ่งเพิ่มขึ้น และจุดศูนย์กลางที่สุดก็คือปากปล่องภูเขาไฟบนยอดเขา หากมองออกไปยังรอบนอก ระดับความสูงจะค่อยๆลดลง เป็นพื้นที่เนินเขาที่ทอดยาวออกไป
หนิงโจวและขบวนเดินทางจากเชิงเขากลางเมือง มุ่งหน้าขึ้นไปยังยอดเขา ระหว่างทางผ่านด่านตรวจหลายแห่ง แต่การตรวจตราก็ไม่เคร่งครัดนัก
ในที่สุด พวกเขาก็ไปถึงยอดเขา
บนยอดเขา พลังวิญญาณเข้มข้นจนสัมผัสได้ อบอวลด้วยความร้อนระอุ
ในอากาศมีแต่กลิ่นกำมะถันที่ฉุนจัดจนแสบจมูก
แม้จะเป็นเวลากลางคืน แต่ปากปล่องภูเขาไฟกลับเปล่งแสงเพลิงเจิดจ้าตลอดเวลา ด้วยแสงนั้น หนิงโจวจึงมองเห็นควันสีขาวลอยพลิ้วอยู่เหนือปากปล่อง
ในหมู่ควันนั้น มีกลุ่มนกควันสีขาวบินวนไปมา เข้าออกอย่างรวดเร็ว
เมื่อเดินมาถึงริมปากปล่อง หนิงโจวก้มมองลงไป เห็นพื้นที่กว้างใหญ่ซึ่งปกคลุมด้วยหินสีแดงเข้ม
หินเหล่านั้นปล่อยไอร้อนระอุออกมาตลอดเวลา บางส่วนเชื่อมกันแน่นหนา แต่บางแห่งกลับเผยรอยแยกให้เห็นลาวาสีส้มแดงที่ไหลอยู่เบื้องล่าง
บนผืนหินสีแดงนี้ยังมีโพรงถ้ำมากมาย บางโพรงพ่นเปลวไฟออกมาเป็นระยะ บางแห่งลาวาเอ่อล้นออกมา และบางโพรงมืดมิดจนมองไม่เห็นก้นถ้ำ ราวกับเป็นทางเข้าสู่ใต้ดินที่ลึกยิ่งกว่า
ผนังภูเขาโดยรอบเกือบตั้งฉากกับพื้นหิน เนื้อผนังเป็นสีแก้วผลึกและเรียบลื่นจนผิดธรรมชาติ บ่งบอกถึงร่องรอยการสร้างของมนุษย์ ปากปล่องภูเขาไฟแห่งนี้ดูคล้ายถ้วยยักษ์ขนาดมหึมา
หนิงโจวมองไปยังใจกลางผืนหินสีแดง และสังเกตเห็นว่าจำนวนโพรงถ้ำค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเข้าใกล้จุดศูนย์กลาง อีกทั้งขนาดของโพรงก็ใหญ่ขึ้นตามลำดับ
ในที่สุด สายตาของเขาก็หยุดอยู่ที่จุดศูนย์กลางของพื้นหินแดงนั้น
ที่นั่นคือ ทะเลสาบลาวา ซึ่งแผ่แสงสว่างสีส้มแดงและความร้อนอันแผดเผาออกมารอบทิศ