ตอนที่ 5 หุ่นกลไกนี้ช่างล้ำเลิศนัก
ตอนที่ 5 หุ่นกลไกนี้ช่างล้ำเลิศนัก
โรงงานกลไกเฟยผาน เป็นโรงงานเล็กๆที่ไม่เป็นที่รู้จัก
ภายในห้องทำงานอันเรียบง่าย เฉินชานั่งอยู่บนเก้าอี้กลไก ที่ลอยอยู่เหนือพื้นไม่กี่ฉื่อ เขาขมวดคิ้วแน่น มองดูผลงานกลไกที่ยังไม่สมบูรณ์บนโต๊ะตรงหน้า
เฉินชาเป็นชายชราในชุดคลุมดำ หนวดเคราสีดอกเลา ดวงตาลึกโหล
เวลานี้ เขากำลังใช้ความคิดอย่างหนัก พยายามหาหนทางแก้ปัญหาที่พบในงานออกแบบ
“ครั้งนี้ไม่รู้ว่าจะติดขัดไปอีกนานเท่าใด!” เฉินชาถอนหายใจอย่างหนักใจ
การออกแบบกลไกนั้น ไม่มีมาตรฐานแน่นอน บางครั้งใช้เวลาเพียงวันหรือสองวันก็สามารถแก้ปัญหาได้ แต่บางครั้งอาจต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน ในบางกรณี เฉินชาเคยใช้เวลานานถึงหนึ่งปีกว่าจะผ่านความยากลำบากในงานออกแบบได้
เขาเหลือบมองสมุดบัญชีที่วางอยู่มุมขวาบนของโต๊ะ สีหน้ากลับยิ่งเคร่งเครียดขึ้น
การสร้างกลไกที่ยอดเยี่ยมนั้น จำเป็นต้องพึ่งพาแรงบันดาลใจและการออกแบบที่ชาญฉลาด เฉินชามีพื้นฐานแข็งแกร่งโดยเฉพาะในเรื่องค่ายกล แต่เขากลับขาดแคลนแรงบันดาลใจและความคิดสร้างสรรค์
ในอดีต เขาไม่เคยตระหนักถึงข้อบกพร่องนี้ จึงตัดสินใจกู้เงินมาเปิดโรงงานกลไกนี้
แต่ความเป็นจริงกลับตบหน้าเขาอย่างแรง จนเขาสูญเสียทรัพย์สินทั้งหมดและยังต้องแบกหนี้สินก้อนโต ตอนนี้สถานการณ์กลับตาลปัตร ขายโรงงานก็ไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้
ความเสียใจในตอนนี้ก็สายเกินไป เฉินชารู้ดีว่า ทางรอดเดียวคือการออกแบบกลไกที่ยอดเยี่ยมและเป็นที่ต้องการในตลาด สร้างความนิยมจนสามารถกอบโกยผลกำไรเพื่อพลิกฟื้นชีวิต
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
เฉินชาขมวดคิ้วเล็กน้อย “มีธุระอันใดหรือ?”
เสียงจากนอกประตูดังขึ้น “นายท่าน มีผู้มาเยี่ยม ต้องการขอคำปรึกษา”
เฉินชาพยักหน้า “พาเขามาที่นี่เถอะ”
ด้วยสถานการณ์การเงินที่ตึงตัว และความจำเป็นต้องชำระหนี้ เขาจึงต้องรับงานให้คำปรึกษาเช่นนี้ แม้ปกติจะหลีกเลี่ยง
ครู่ต่อมา
หนิงโจวก้าวเข้ามาในห้องทำงานอย่างสงบ “ข้าน้อยนามว่าหนิงโจว ขอคารวะท่านปรมาจารย์ค่ายกลมีชีวิต เฉินชา”
ชายชราร้องอืมในลำคอพลางทำท่าเคร่งขรึม ทว่าในใจกลับใช้สายตาสำรวจหนิงโจวอย่างรวดเร็ว
สิ่งที่เห็นคือเด็กหนุ่มในชุดคลุมสีขาวสะอาดตา ดวงตาใสซื่อสงบนิ่ง ใบหน้าฉายแววอ่อนเยาว์
สายตาของเฉินชาหยุดอยู่ที่ หยกประดับ บริเวณเอวของหนิงโจว
เขาสังเกตเห็นตัวอักษร “หนิง” แกะสลักอยู่บนหยก
“ตระกูลหนิง?” แสงแวววาวในดวงตาของเฉินชาสะท้อนความคิด
เมืองเซียนเพลิงมะเดื่อมีขุมอำนาจใหญ่สี่แห่ง ได้แก่ จวนเจ้าเมือง ซึ่งปัจจุบันปกครองโดยผู้บ่มเพาะขอบเขตวิญญาณแรกกำเนิด และอีกสามตระกูลใหญ่คือ ตระกูลโจวเชี่ยวชาญค่ายกล ตระกูลเจิ้งเชี่ยวชาญอาวุธ และตระกูลหนิงผู้ชำนาญด้านยันต์
เฉินชารู้สึกยินดีลึกๆ “เด็กหนุ่มคนนี้มาจากตระกูลใหญ่ ดูท่าคงมีฐานะไม่น้อย งานนี้อาจทำเงินก้อนโตได้ หากข้าชี้แนะให้เขาพบปัญหาเพิ่มเติม ย่อมดึงคำถามจากเขาได้มากขึ้น”
หลังจากทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อรักษาความลับทั้งสองฝ่าย เฉินชาเชิญหนิงโจวนั่งลง
เมื่อจิบชาขมไปหนึ่งอึก เฉินชาเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “บอกมาเถิด ปัญหาอันใดที่เจ้าต้องการให้ข้าช่วย?”
หนิงโจวอธิบายว่า เขาออกแบบกลไกชิ้นหนึ่ง แต่ประสบปัญหาในการแก้ไขเรื่องการออกแบบ
เฉินชาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะในใจ คิดกับตัวเองว่า
“เจ้าก็ไม่ต่างจากข้าเลยสินะ?”
เขาไม่ได้ให้ความสำคัญนัก
ในฐานะผู้บ่มเพาะวิถีกลไกและเจ้าของโรงงานกลไก เฉินชาเคยพบกรณีเช่นนี้มามากมาย มีคนหนุ่มสาวที่เชื่อมั่นในตัวเองและคิดว่าผลงานของพวกเขาโดดเด่น
“แต่งานที่พวกเขาทำออกมานั้น แทบดูไม่ได้ บางครั้งกลไกที่ออกแบบมากลับขัดแย้งกันเอง ถึงขนาดที่ว่าเมื่อส่งพลังวิถีเข้าไป ก็พังทลายลงเสียเอง”
นี่คือสิ่งที่เฉินชาคิดในใจ แต่ภายนอกเขากลับพยักหน้าช้าๆ เป็นเชิงให้หนิงโจวพูดต่อไป
หนิงโจวจึงกล่าวว่า “ในเทศกาล เพลิงมะเดื่อ ของทุกปี มักจะมีผู้คนบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ข้าจึงต้องการออกแบบกลไกที่จะช่วยเก็บเกี่ยว ผลเพลิงมะเดื่อ แทนมนุษย์”
“ข้าตั้งชื่อหุ่นกลไกนี้ว่า วานรเพลิงระเบิด ตอนนี้ออกแบบเสร็จสิ้นแล้ว แต่ติดปัญหาด่านสุดท้าย…”
เฉินชาเริ่มหมดความอดทน เขาโบกมือพร้อมกล่าวว่า “พอเถอะ เอามาให้ข้าดูหน่อย”
หนิงโจวจึงนำ วานรเพลิงระเบิด ออกมาจากถุงเก็บของ
เฉินชาถึงกับชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะอุทานในใจ
“หืม?”
วานรเพลิงระเบิด ปรากฏตัวพร้อมขนสีแดงสดที่เรียบลื่นเป็นระเบียบ รูปลักษณ์อันวิจิตรงดงามของมันดึงดูดสายตาของเฉินชาในทันที
ในฐานะผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อตั้งรากฐานที่มีจิตสัมผัส เฉินชารีบใช้จิตสัมผัสตรวจสอบกลไกนี้อย่างตื่นเต้น
ในชั่วพริบตา คิ้วของเขาแทบจะขมวดสูงขึ้นด้วยความตกตะลึง โชคดีที่เขาควบคุมอารมณ์ไว้ได้ทัน
“หุ่นกลไกนี้ไม่ธรรมดา!” แม้เฉินชาจะมีความสามารถในการออกแบบที่จำกัด แต่ประสบการณ์และสายตาของเขายังคงเฉียบคม เขามองเห็นได้ทันทีว่าวานรเพลิงระเบิดนี้มีจุดเด่นหลายประการ
เฉินชาเอื้อมมือไปลูบขนของวานรเพลิงระเบิด สัมผัสเรียบลื่นและนุ่มนวลสร้างความประทับใจให้เขา
“การเย็บขนแนบสนิทจนดูเหมือนเป็นชิ้นเดียวกัน ภายในชั้นหนังมีการวางยันต์สัญลักษณ์หลายจุด เพิ่มความทนทานให้กับขน งานนี้ละเอียดประณีตและมีโครงสร้างที่รอบคอบ เทียบได้กับฝีมือของช่างตัดเย็บผู้ชำนาญที่สั่งสมประสบการณ์มานานปี”
เฉินชาพยายามจะหาข้อบกพร่องในกลไกนี้ แต่ยิ่งตรวจสอบ ก็ยิ่งไม่พบสิ่งที่ผิดพลาด
เฉินชาทำทีแสดงความคิดเห็นอย่างเรียบเฉยว่า “ฝีมือการเย็บขนพื้นฐานนี้ ถือว่า…พอใช้ได้”
หนิงโจวพยักหน้า พร้อมตอบกลับด้วยความเห็นคล้อยตาม “ใช่แล้ว ข้าใช้วิธีปักลายด้วยพลังวิถีแบบดั้งเดิม หนังที่ใช้เป็นของ หนูไฟสำลีซึ่งมีขนาดเล็ก วัตถุดิบจึงมีความกระจัดกระจายมาก ข้าต้องใช้เส้นไหมเย็บเข้าด้วยกันจำนวนมาก ซึ่งก่อให้เกิดข้อบกพร่องอยู่บ้าง โดยเฉพาะตรงรอยเย็บที่ทำให้ความทนไฟลดลงอย่างเห็นได้ชัด”
“โอ? เจ้าเป็นคนทำเองหรือ?” เฉินชาชำเลืองมองหนิงโจวด้วยความแปลกใจ
การออกแบบกลไกไม่ได้หมายความว่าผู้ออกแบบจะสามารถสร้างกลไกได้ด้วยตนเอง แต่หนุ่มน้อยผู้นี้กลับทำได้ทั้งสองอย่างในวัยเยาว์เช่นนี้?
“บางที ความถนัดของเขาอาจอยู่ตรงนี้” เฉินชาคิดในใจ ขณะใช้จิตสัมผัสตรวจสอบต่อ
เขาสังเกตเห็นโครงกระดูกของลิงกลไก และหัวใจก็เต้นแรงขึ้นเล็กน้อย “นี่มัน เหล็กสวรรค์ ใช่หรือไม่?”
“เหล็กสวรรค์นั้นทั้งเบาและแข็งแรง อีกทั้งยังมีคุณสมบัติรองรับพลังมิติ โครงกระดูกที่ใช้วัสดุนี้ น่าจะมีไว้สำหรับคุณสมบัติด้านการจัดเก็บสิ่งของกระมัง?”
เมื่อดูต่อไปก็ยิ่งแน่ชัด
“ไม่ผิดแน่” เฉินชาคิด เขาเห็นค่ายกลเก็บของสลักอยู่บนโครงกระดูก
“ค่ายกลนี้ถูกวางไว้อย่างแนบเนียน ใช้พื้นที่ของโครงกระดูกได้อย่างเต็มที่ แถมยังบีบอัดพื้นที่ที่ค่ายกลใช้ให้น้อยที่สุด”
“การบีบอัดค่ายกลให้ได้ระดับนี้ แสดงว่าผู้วางค่ายกลมีความสามารถที่ไม่ธรรมดา!”
“ที่สำคัญ การวางค่ายกลเช่นนี้ ทำให้ลิงกลไกยังมีพื้นที่สำหรับการปรับปุงในอนาคตอีกด้วย ผู้สร้างมองการณ์ไกลยิ่งนัก”
เฉินชาอดชื่นชมในใจไม่ได้ เขาชำเลืองมองหนิงโจวอีกครั้งด้วยสายตาประเมิน ก่อนจะกลับไปจับจ้องที่ลิงกลไกบนโต๊ะ
สำหรับเรื่องโครงกระดูกนี้ เขาไม่อาจหาจุดบกพร่องได้เลย
หลังจากไตร่ตรอง เฉินชากล่าวออกมาว่า “การเลือกใช้เหล็กสวรรค์ก็แค่ทำตามที่ตำราแนะนำ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ ส่วนค่ายกลที่ปรับเปลี่ยนก็นับว่าอยู่บนพื้นฐานที่คนรุ่นก่อนวางไว้ ถือว่าธรรมดา ไม่มีอะไรน่าชื่นชม”
ในใจเฉินชาเตรียมพร้อมรับฟังคำโต้แย้งจากหนิงโจว เขาคาดว่าเด็กหนุ่มคงไม่พอใจกับคำวิจารณ์นี้
แต่ใครเล่าจะคาดคิดว่า หนิงโจวกลับพยักหน้าคล้อยตามและกล่าวด้วยความเห็นพ้องว่า “แท้จริงแล้ว ข้าเลือกใช้เปลือกหอยว่างเปล่าเป็นอันดับแรก โดยบดเปลือกให้เป็นผงแล้วผสมกับ เหล็กกล้าเล็กน้อย จากนั้นนำไปเผา หลอม และกดขึ้นรูปเป็นโครงกระดูก ซึ่งให้สมรรถนะการจัดเก็บที่เหนือกว่าเหล็กสวรรค์ อย่างมาก แต่ทว่าที่เมืองเซียนเพลิงมะเดื่อ เปลือกหอยว่างเปล่ากลับหายากนัก”
เฉินชาชะงักไปครู่หนึ่ง คิดในใจว่า “เขารู้อย่างนี้ด้วยหรือ?”
การใช้เปลือกหอยว่างเปล่าผสมเหล็กกล้า แน่นอนว่ามีประสิทธิภาพยิ่งกว่า และยังเข้ากันได้ดีกับหนังของหนูไฟสำลี
เฉินชาไอเบาๆสองครั้ง ก่อนจะจ้องมองหนิงโจวอย่างลึกซึ้ง น้ำเสียงราบเรียบว่า “เจ้ารู้ไว้ก็ดีแล้ว”
เขาก้มหน้าลง ใช้จิตสัมผัสตรวจสอบลิงกลไกต่อ
เมื่อสังเกตถึงกล้ามเนื้อของลิงกลไก เฉินชาคิดในใจว่า “กล้ามเนื้อพวกนี้ดูเหมือนใช้ ดินมันควันแดง เพื่อเพิ่มความทนไฟ”
“แต่ไม่ใช่…มันควรเป็นวัสดุใหม่ที่ใช้ดินมันควันแดงเป็นส่วนผสมหลัก แล้วนำมาหลอมด้วยเคล็ดวิชาหลอมยา”
“นี่…น่าจะเป็นการคิดค้นขึ้นเอง”
“หรือว่านี่ก็เป็นผลงานของเด็กคนนี้? เขาชื่ออะไรนะ?”
“หนิงโจว?”
เฉินชารู้สึกแคลงใจ
เด็กหนุ่มอย่างหนิงโจวกลับมีความรู้ด้านการหลอมยาที่ล้ำลึกเช่นนี้?
ควรทราบว่าการคิดค้นสูตรยาใหม่ แม้จะไม่ใช่ยาเม็ดที่สมบูรณ์ แต่เพียงแค่สร้างวัสดุใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน ก็ถือว่าน่าทึ่งอย่างยิ่งแล้ว
เฉินชาข่มความสงสัยไว้ในใจ พลางตรวจสอบต่อไป และคิดอย่างชื่นชมว่า “ไม่ต้องพูดถึงตัววัสดุเลย การปั้นรูปทรงของกล้ามเนื้อนั้นยอดเยี่ยมจริงๆ”
“เพียงแค่ฝีมือด้านการขึ้นรูปวัสดุนี้ ผู้สร้างก็เหมาะสมที่จะเป็น ค้อนรองของโรงงานหลอมกลไก และสำหรับงานหลอมอุปกรณ์ขนาดเล็กบางประเภท เขาอาจทำหน้าที่เป็นค้อนหลักได้ด้วยซ้ำ”
เมื่อเห็นถึงจุดนี้ เฉินชากลับเริ่มรู้สึกหงุดหงิด
ลิงกลไกตัวนี้มีความสมบูรณ์แบบจนเฉินชาไม่อาจหาจุดบกพร่องได้เลย
หากไม่พบข้อบกพร่อง เขาจะขยายงานครั้งนี้ให้ใหญ่ขึ้นได้อย่างไร?
ที่ผ่านมา มีคนจำนวนมากที่มาขอคำปรึกษาจากเขา และบ่อยครั้งที่พวกเขาจ่ายค่าตอบแทนเป็นศิลาวิญญาณมากกว่าที่คาดไว้ เพราะเฉินชาชี้จุดบกพร่องเพิ่มเติมในงานของพวกเขา และโน้มน้าวให้พวกเขาสอบถามปัญหาเพิ่มเติมเอง
บรรดาผู้ที่เคยขอคำปรึกษาจากเฉินชา แม้จะบ่นเรื่องค่าใช้จ่ายที่สูงลิ่ว แต่ก็ไม่มีคำครหาหรือไม่พอใจในคำชี้แนะของเขา
เพราะสิ่งที่เฉินชาชี้แนะนั้นแม่นยำและได้ผลจริง
เฉินชาขบกรามแน่นในใจ ขณะตรวจสอบลิงกลไกต่อไป
เมื่อเขาแผ่ฝ่ามือลิงกลไกออกมา ดวงตาของเฉินชาก็เปล่งประกายวูบหนึ่ง
เขาเปรยเสียงออกมาเบาๆพร้อมกับชื่นชมในใจว่า “การออกแบบฝ่ามือนี้ช่างล้ำเลิศนัก”
“ค่ายกลขนาดเล็กหลายชุดที่ซ้อนทับกันอย่างชาญฉลาด ทำให้ฝ่ามือของลิงสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างลื่นไหลและซับซ้อน สามารถสร้างท่าทางของนิ้วมือที่ละเอียดอ่อนได้”
“การผสานค่ายกลในลักษณะนี้แปลกใหม่ ไม่ใช่วิธีที่พบได้ทั่วไป บ่งบอกว่าผู้สร้างมีพรสวรรค์เหนือธรรมดา!”
“นี่ก็เป็นฝีมือของหนิงโจวอีกหรือ?”
“เด็กคนนี้เป็นใครกันแน่? อัจฉริยะจากตระกูลหนิงในยุคนี้หรือ? ทำไมข้าไม่เคยได้ยินชื่อของเขามาก่อนเลย?”
เฉินชาพยายามควบคุมสีหน้าให้ดูสงบนิ่ง แต่เมื่อเขาตรวจสอบถึงส่วนสมองของลิงกลไก สีหน้าของเขากลับแสดงความตกตะลึงออกมา
เขาพบว่าในสมองของลิงกลไกนั้น มีการติดตั้งลูกแก้วหลงวน จำนวนสามลูก
“ลูกแก้วหลงวน เดิมทีเป็นอาวุธที่สามารถควบคุมระยะไกลและเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนไหวได้ แต่บัดนี้กลับถูกดัดแปลงให้เป็นตัวรับจิตสำนึก และหมุนวนอยู่ในสมองลิงกลไก ข้าพึ่งเคยเห็นสิ่งนี้เป็นครั้งแรก!”
“นอกจากนี้ ยังมีการวางยันต์มากมายในสมองลิง เพื่อเสริมการทำงานให้สอดคล้องกัน”
“นี่เป็นผลงานการสร้างสรรค์ที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง!”
เฉินชาคำนวณอย่างคร่าวๆ และมั่นใจว่าการออกแบบนี้สามารถใช้งานได้จริง
“สิ่งที่ข้าขาดไปก็คือแรงบันดาลใจและความคิดสร้างสรรค์เช่นนี้!”
เฉินชารู้สึกหวั่นไหวในใจจนอดถามหนิงโจวไม่ได้ว่า “แนวคิดเช่นนี้ เจ้าคิดค้นขึ้นมาได้อย่างไร?”
หนิงโจวตอบอย่างสงบ “การดัดแปลงลูกแก้วหลงวน ให้เป็นตัวรับจิตสำนึกนั้น ข้าทำไปเพราะไม่มีทางเลือกอื่น ด้วยลิงกลไกตัวนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อขายทำกำไร หากติดตั้งแผ่นค่ายกล ต้นทุนจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ข้าจึงใช้วิธีออกแบบนี้แทน”
“แต่ข้าก็ยังรู้สึกว่านี่ไม่ใช่วิธีที่สมบูรณ์แบบ การออกแบบนี้อาจมีความเสี่ยงและความไม่เสถียรที่ยังไม่ได้ค้นพบ”
ดวงตาของเฉินชาเป็นประกายสว่างขึ้นทันที
“ต้นทุน!”
“ใช่แล้ว การที่ไม่ได้ใช้แผ่นค่ายกล ทำให้ต้นทุนของลิงกลไกตัวนี้ต่ำมาก”
“นี่มิใช่สิ่งที่ข้าตามหาในงานกลไกที่ยอดเยี่ยมหรอกหรือ?”
“ด้วยสมรรถนะเช่นนี้ แน่นอนว่ามันจะเป็นสินค้ายอดนิยมในตลาด!”
“เดี๋ยวก่อน…”
เฉินชามองหนิงโจวด้วยสายตาสงสัย พลางรู้สึกขุ่นเคืองในใจ
กลไกที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ จะมีข้อบกพร่องอะไรให้ต้องมาขอคำปรึกษากันเล่า?
เขารู้สึกว่าเด็กหนุ่มผู้นี้นำผลงานมาให้ดูด้วยเจตนาบางอย่าง
“หรือว่าเด็กหนุ่มอัจฉริยะผู้นี้จงใจทำเช่นนี้ เพื่อยั่วเย้าข้า?”
หลังจากความโกรธ ความสงสัยก็ค่อยๆแทรกซึมเข้ามาในใจของเฉินชา
“กลไกที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ เด็กหนุ่มผู้นี้สร้างขึ้นมาจริงหรือ?”
“หากข้าออกแบบงานเช่นนี้ได้ แถมยังเป็นหนุ่มแน่นเช่นเขา ข้าคงเชิดหน้าชูตา อวดโฉมผลงานของข้าไปทั่วแล้ว!”
“นี่คือสิ่งที่แสดงถึงความสามารถของตนเอง ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะทำได้”
“แต่เด็กคนนี้กลับถ่อมตัวเกินไป จนดูเหมือนว่าขาดความมั่นใจในตัวเอง”
“หรือว่าเขากำลังแอบอ้างผลงานของผู้อื่น?”