ตอนที่แล้วตอนที่ 2 หนิงโจว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 4 เปิดเผยกลไก

ตอนที่ 3 พินัยกรรม


ตอนที่ 3 พินัยกรรม

ภายในห้องทำงานใต้ดิน

แสงจากโคมวิญญาณส่องแสงอ่อนโยนกระจายไปทั่วพื้นที่

หนิงโจวนั่งอยู่หน้าชั้นโต๊ะทำงาน กำลังตรวจสอบถุงเก็บของในมือเป็นครั้งสุดท้าย

นี่คือสิ่งที่เขาได้มาจากร่างของ สามภูตผีแห่งตระกูลหวง ในตลาดมืดก่อนหน้านี้

เมื่อแน่ใจว่าปลอดภัย หนิงโจวจึงเริ่มต้นถอดรหัสค่ายกลเล็กๆ บนถุงเก็บของแต่ละใบ จากนั้นปลอมกลิ่นอายและพลังจิตของเจ้าของเดิมเพื่อลวงให้ถุงเปิดออกสำเร็จ

ในถุงใบแรก มีศิลาวิญญาณจำนวนหนึ่ง สัตว์วิญญาณตั๊กแตนใบมีดเขียว และวัตถุดิบบางอย่างที่เหมาะสำหรับ ผู้บ่มเพาะวิถีวิญญาณ เช่น หยาดวิญญาณดำ แก่นจิตวิญญาณ และ ดอกอเวจี

ในถุงใบที่สอง มีศิลาวิญญาณหลายร้อยก้อน พร้อมวัตถุดิบของผู้บ่มเพาะวิถีวิญญาณเพียงหนึ่งชิ้นคือ ลมอำมหิต และหยกจารึก เคล็ดวิชากระดูกวิญญาณ ซึ่งเป็นวิชาดัดแปลงโครงกระดูก

ถุงใบที่สามเป็นของผู้นำสามภูตผีแห่งตระกูลหวง ค่ายกลป้องกันมีถึงสองชั้น ทำให้หนิงโจวต้องใช้เวลาและความพยายามมากขึ้น

“น่าสนใจดี” ดวงตาของเขาเป็นประกาย

ยิ่งค่ายกลยากเท่าไร การต่อต้านยิ่งสูง ยิ่งกระตุ้นจิตวิญญาณนักสู้ของเขา

เขาทุ่มเทสมาธิทั้งหมดเพลิดเพลินกับการไขปริศนาท้าทายนี้

หลังจากใช้เวลากว่าครึ่งชั่วยาม ในที่สุดหนิงโจวก็เปิดถุงสำเร็จ

ทันทีที่เปิดออก หัวภูตผีเล็กๆก็พุ่งเข้าใส่ใบหน้าของเขา

หนิงโจวแค่นเสียงเย็นชา ราวกับคาดการณ์ไว้แล้ว ในช่วงเวลาสำคัญ ตราประทับพุทธะมารในจิตสำนึกของเขาเปล่งแสงออกมาชั่วครู่ สะกดหัวภูตผีไว้ จากนั้นค่ายกลป้องกันบนโต๊ะทำงานก็ทำงานทันที ทำลายหัวภูตผีจนสลายเป็นธุลี

หัวภูตผีนี้ดูเหมือนเป็น การต่อต้านครั้งสุดท้ายของผู้นำสามภูตผี

เมื่อทุกอย่างสงบลง ถุงเก็บของนี้จึงไม่เหลือการป้องกันใดๆ สำหรับหนิงโจวอีกต่อไป

ในถุงมีศิลาวิญญาณมากกว่าหนึ่งพันก้อน หยกจารึกสองชิ้น หนึ่งคือ เคล็ดวิชาอเวจีจิตวิญญาณ และอีกหนึ่งคือ คำอธิบายศาสตร์การเรียกวิญญาณ รวมถึงวัตถุดิบบ่มเพาะมากมายที่ไม่จำกัดเฉพาะสำหรับผู้บ่มเพาะวิถีวิญญาณ

“ไฟวิญญาณ!” ดวงตาของหนิงโจวเบิกกว้างเมื่อพบ ไฟวิญญาณ น้ำหนักราวสิบชั่ง

รอยยิ้มแห่งความยินดีปรากฏบนใบหน้าของเขาในทันที

เขาสงบจิตใจระงับความตื่นเต้น จากนั้นเปิดลิ้นชักหยิบ ขนมไหมทองหยาดหยก ออกมาอีกกำมือหนึ่ง

เมื่อหนิงโจวใช้พลังวิถีกระตุ้น กระดาษห่อขนมก็ถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่านที่ปลิวลอยไป คล้ายกับเถ้ากระดูกที่เกิดจากการเผาร่างในเตาหลอม

เขาอ้าปากกว้าง ก่อนจะใส่ขนมทั้งหมดในมือเข้าปาก

ขณะเคี้ยว แสงจากโคมวิญญาณสะท้อนให้เห็นริมฝีปากสีแดงสดและฟันขาวสะอาดของเขา ขนมไหมทองหยาดหยก ถูกบดละเอียดภายในปาก ไส้ขนมที่เป็นของเหลวไหลออกมาผสมผสานกัน มองดูราวกับเลือดเนื้อของเหล่าผู้บ่มเพาะที่พ่ายแพ้และกลายเป็นสารอาหารให้กับการเติบโตของหนิงโจว

โลกของผู้บ่มเพาะนั้นโหดร้าย หากไม่มีธุรกิจสีเทาอย่าง เชือกโยงวิญญาณ หรือการใช้ประโยชน์จากผู้บ่มเพาะสายปีศาจเหล่านี้ หนิงโจวคงไม่มีโอกาสได้ลิ้มรสขนมชั้นเลิศอย่าง ขนมไหมทองหยาดหยก

หนิงโจวเคี้ยวขนมอย่างเพลิดเพลิน ในขณะที่เริ่มตรวจสอบผลกำไรที่ได้จากตลาดมืดเมื่อวาน

การขายเชือกโยงวิญญาณ ทำให้เขาได้รับศิลาวิญญาณถึง 24,000 ก้อน

ในจำนวนนี้ ลุงของเขา หนิงเจ๋อ เป็นลูกค้ารายใหญ่ที่ซื้อไปถึง 80 เส้นสำหรับการเตรียมการของตระกูลหนิง

เมื่อเทียบกันแล้ว ศิลาวิญญาณที่ได้จากสามภูตผีแห่งตระกูลหวง ดูน้อยนิดจนไม่น่าสนใจ

“เชือกโยงวิญญาณที่ข้าสร้างขึ้น เป็นเชือกที่ดีที่สุดในตลาดตอนนี้ ธุรกิจจึงไปได้ดีเสมอ”

“ดูจากสิ่งที่ตระกูลหนิงเตรียมการ ข้าคาดว่าพวกเขาคงมีแผนการใหญ่”

“เฮ้อ โลกของผู้บ่มเพาะนั้นไม่ต่างจากสัตว์ร้ายกินสัตว์ร้าย”

“ย่อมมีผู้ที่คิดร้าย และพยายามข่มเหงเด็กหนุ่มธรรมดาเช่นข้าเสมอ”

“แต่พวกผู้บ่มเพาะสายปีศาจสามคนนี้ออกมาเพื่อปล้น นั่นก็เพราะพวกมันยากจน แต่ไม่คิดเลยว่าจะเจอไฟวิญญาณสิบชั่งในถุงของพวกมัน ถือเป็นเรื่องน่ายินดีจริงๆ”

“ตอนนี้ ข้ามีไฟวิญญาณสะสมถึงพันชั่งแล้ว เพียงพอแล้ว!”

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา หนิงโจวลอบสะสมไฟวิญญาณอย่างลับๆด้วยความระมัดระวัง เขาซื้อมาเพียงเล็กน้อยในแต่ละครั้งและค่อยๆสะสม หากใช้วิธีการนี้ การรวบรวมไฟวิญญาณสิบชั่งจะต้องใช้เวลาถึงหนึ่งเดือนเต็ม

เมื่อได้ไฟวิญญาณชุดใหญ่นี้ หนิงโจวก็สามารถเติมเต็มสิ่งที่ขาดอยู่ได้ในทันที

หลังจากตรวจสอบผลกำไรที่ได้รับ หนิงโจวเริ่มคำนวณความสูญเสียจากตลาดมืดเมื่อคืน

เขาหยิบตราสีเงินเทาออกมาจากอกเสื้อ

ตรานี้ด้านหน้ามีตัวอักษร นภา และด้านหลังมีตัวอักษร เหล็ก

หนิงโจวโยนตราขึ้นไปในอากาศเบาๆ ทันใดนั้นตราก็เริ่มสลายตัว ขยายออก และแผ่แสงสว่างเจิดจ้า เมื่อแสงจางหายไป ชุดเกราะกลไกเหล็กนภา ก็ปรากฏขึ้นลอยอยู่กลางอากาศ

หนิงโจวเปิดส่วนหนึ่งของกระดูกสันหลังของชุดเกราะ ที่นั่นฝังอยู่ด้วยเม็ดยาก่อตั้งรากฐานหนึ่งเม็ด

“เม็ดยาก่อตั้งรากฐานเหลือเพียงสามส่วนแล้ว”

เม็ดยานี้มีความสำคัญยิ่งนัก เพราะมันเป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่ทำให้ชุดเกราะเหล็กนภา สามารถแสดงพลังขอบเขตก่อตั้งรากฐานได้ ทั้งที่หนิงโจวมีพลังอยู่เพียงขอบเขตหลอมรวมเท่านั้น

“หากเม็ดยาก่อตั้งรากฐานหมดไป ชุดเกราะเหล็กนภาก็จะใช้งานไม่ได้อีก”

“เฮ้อ การหาเม็ดยานี้มาเป็นเรื่องที่ยากเย็นนัก” หนิงโจวขมวดคิ้วเล็กน้อย

นี่คือความสูญเสียที่ใหญ่ที่สุดสำหรับเขาในเมื่อคืนที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ยังมีร่องรอยความเสียหายเพิ่มขึ้นใหม่บนชุดเกราะ ซึ่งเกิดจากการโจมตีครั้งสุดท้ายของผู้นำสามภูตผีแห่งตระกูลหวง

เมื่อพิจารณาดูใกล้ๆ จะเห็นว่าพื้นผิวของชุดเกราะเหล็กนภา เต็มไปด้วยรอยแผลเก่าและใหม่

บางรอยเป็นรอยที่เกิดจากอดีต บางรอยเกิดขึ้นขณะที่หนิงโจวสวมชุดเกราะต่อสู้

“ท่านแม่…” หนิงโจวลูบไล้ไปบนรอยแผลเก่าบนชุดเกราะ สายตาเขาแปรเปลี่ยนเป็นเศร้าหมอง

เมื่อสิบสี่ปีก่อน ตอนที่เขาอายุเพียงสองขวบ มารดาของเขาได้ฝากคำสั่งเสียสุดท้ายไว้ก่อนเสียชีวิต

จากคำพูดเหล่านั้น เขาจึงได้รู้ว่าในภูเขาเพลิงมะเดื่อ มีตำหนักเซียนลาวา ซึ่งเป็นนครกลไกแห่งเซียน โดยที่จิตวิญญาณแห่งเมือง คอยเลือกเฟ้นผู้บ่มเพาะเพื่อสืบทอดมรดกของนครแห่งนี้

มารดาของเขาคือหนึ่งในผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อตั้งรากฐานที่ได้รับเลือก

แต่เพราะบททดสอบของตำหนักเซียนนั้นยากยิ่งนัก อีกทั้งมารดาของเขามีความสามารถโดดเด่นเกินไป จึงถูกผู้แข่งขันคนอื่นๆร่วมมือกันเล่นงานจนได้รับบาดเจ็บสาหัส และสุดท้ายก็สิ้นชีพโดยไม่มีทางรักษา…

“นครเซียนกำลังเสื่อมสลาย มาตรฐานการคัดเลือกก็ลดต่ำลงตาม เมื่อเจ้าอายุครบสิบสี่ปี มาตรฐานการคัดเลือกของนครเซียนกลไกจะลดลงถึงระดับหลอมรวม นั่นจะเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเจ้า!”

“โจวเอ๋อร์ ลูกจงตั้งใจศึกษาศาสตร์กลไกให้ดี อย่าให้ผู้ใดล่วงรู้ว่าลูกทุ่มเทให้ศาสตร์นี้”

“ลูกจงออกแบบกลไกด้วยตนเอง ประกอบสร้างด้วยตนเอง และควบคุมด้วยตนเอง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นหัวข้อสำคัญในการทดสอบของนครเซียนกลไก”

“หากลูกสามารถเป็นหนึ่งในผู้ที่มีผลงานโดดเด่น ลูกจะได้รับการยอมรับว่าเป็น เมล็ดพันธุ์กลไก และจะได้รับการสนับสนุนจากนครเซียนอย่างเต็มที่ เรื่องนี้สำคัญต่อลูกยิ่งนัก เพราะลูกขาดเบื้องหลังสนับสนุนเหมือนผู้อื่น และยิ่งต้องการทรัพยากรของนครเซียนแห่งนี้”

“ห้ามฝึกฝนเคล็ดวิชาของตระกูลหนิงจนถึงระดับก่อตั้งรากฐานเป็นอันขาด! มารดาของลูกแม้จะเป็นเมล็ดพันธุ์กลไกในระดับก่อตั้งรากฐาน แต่เพราะจุดวิถีของแม่ถูกกำหนดไว้แล้ว ไม่สามารถเปลี่ยนเคล็ดวิชาได้ แม่จึงไม่อาจบ่มเพาะเคล็ดวิชาที่เหล่าปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่สามสำนักทิ้งไว้ได้ การทดสอบในตำหนักเซียนลาวาจึงยากลำบากขึ้นเป็นเท่าทวี สุดท้ายแม่จึงต้องหยุดอยู่เพียงเท่านี้”

“แค่กๆ!”

หนิงโจววัยสองขวบร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว “ท่านแม่ อย่าได้พูดแล้ว! ท่านกำลังไอเป็นเลือด!”

มารดาของเขายื่นมือมาลูบศีรษะเล็กๆด้วยแววตาเต็มไปด้วยความอาลัยและห่วงใย “โจวเอ๋อร์… แม่ขอโทษ แม่ปกป้องเจ้าไม่ได้ เจ้าไม่มีทั้งบิดาและมารดาอีกต่อไป จากนี้ไป เจ้าต้องพึ่งพาตนเองแล้ว”

“อย่าภักดีต่อตระกูลมากเกินไป บิดาของเจ้าก็ผิดพลาดในเรื่องนี้!”

“ก่อนตาย บิดาของเจ้าฝากฝังให้หนิงเซียวเหริน นายน้อยตระกูลหนิงดูแลเจ้า แต่แม่มองเห็นธาตุแท้ของเขาแล้ว เขาเป็นคนสองหน้า ไม่ควรพึ่งพา”

“ส่วนลุงและป้าของเจ้า ลุงของเจ้านั้นเห็นแก่หน้าตาเกินไป ส่วนป้านั้นตระหนี่ถี่เหนียว ทั้งสองล้วนไม่ใช่คนใจกว้าง เจ้าต้องระวัง”

“บางครั้ง คนใกล้ตัว ไม่ว่าจะญาติหรือเพื่อน ก็อาจอันตรายยิ่งกว่าศัตรู!”

“อย่าทำตัวโดดเด่นเกินไป เมื่อไม่มีบิดามารดาแล้ว ไม่มีผู้ใดที่เจ้าจะพึ่งพาได้อย่างแท้จริง จงซ่อนตัวเองให้ดี อย่าทำตัวแย่เกินไป หรือดีเลิศเกินไป จงอยู่ในระดับปานกลาง ใช้ชีวิตเรียบง่าย สะสมกำลังโดยลับ ไม่ดึงดูดความสนใจ”

“แม่เห็นมาแล้วมากมาย ยอดอัจฉริยะที่จบชีวิตลงก่อนวัยอันควรนั้นมีไม่น้อย…”

“แม่จะมอบ ชุดเกราะเหล็กนภา ไว้ปกป้องเจ้า มันมีพลังระดับก่อตั้งรากฐาน”

“และนี่คือ สมบัติวิถี – ตราประทับพุทธะมาร! สมบัตินี้แม่ได้มาโดยบังเอิญจากตำหนักเซียนลาวา เจ้าอย่าได้เปิดเผยให้ผู้ใดล่วงรู้เป็นอันขาด”

มารดาของหนิงโจวเอ่ยคำเหล่านี้ด้วยเสียงที่อ่อนล้าจนแทบไม่ได้ยิน

น้ำตาของนางร่วงหล่นไม่หยุด ขณะที่นางจ้องมองหนิงโจววัยสองขวบด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักและความอาวรณ์ นางต้องการมองหน้าเขาต่อไป แต่ภาพในสายตากลับค่อยๆ เลือนรางลง

ในช่วงสุดท้ายของชีวิต นางตกอยู่ในความลังเล “แม่เองก็ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่สอนเจ้ามานั้นถูกต้องหรือไม่”

“โจวเอ๋อร์ เจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดี หากไม่ไหวจริงๆ ก็ละทิ้งเรื่องตำหนักเซียนลาวาเสียเถิด”

“ชีวิตสำคัญที่สุด แม่อยากให้เจ้าอยู่รอด มีชีวิตต่อไปอย่างดี!”

“ตราบใดที่เจ้ามีชีวิตอยู่ แม่ก็มีความสุขแล้ว”

หนิงโจววัยสองขวบจับเสื้อเปื้อนเลือดของมารดาแน่นพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น “ท่านแม่! ท่านแม่! อย่าพูดอีกเลย! ข้าไม่อยากให้ท่านตาย! ท่านอย่าตาย!”

มารดาของเขายิ้มอ่อน แม้กำลังสิ้นลม “ลูกที่ดีของแม่ อย่ากลัวเลย อย่ากลัว…แม่จะอยู่เคียงข้างเจ้า…แม่จะปกป้องเจ้า แม้จากใต้หล้า…”

จากนั้น หัวใจของมารดาก็หยุดเต้น มือที่ลูบศีรษะของหนิงโจวร่วงหล่นอย่างช้าๆ

ร่างของหนิงโจววัยสองขวบสั่นสะท้านราวถูกสายฟ้าฟาด เขาเงยหน้าขึ้นทันใด—กลับเป็นใบหน้าของเด็กหนุ่มวัยสิบหกปี

ใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยน้ำตาและความอ่อนแอในวัยเยาว์ ตอนนี้ถูกแทนที่ด้วยแววตาแน่วแน่และเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นของชายหนุ่ม

เขาเติบโตขึ้น พร้อมแบกรับคำสั่งเสียและความหวังของมารดา

“ท่านแม่…สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว!”

“เจ้าเมืองพร้อมกับตระกูลโจวและตระกูลเจิ้งได้ร่วมมือกันกวาดล้างอสูรอัคคีแดงในถ้ำลาวาอสูรอัคคีแดง ทำให้แรงกดดันต่อการป้องกันตำหนักเซียนลาวาลดลงอย่างมาก ความเสียหายก็ลดลงเช่นกัน เมื่อไม่มีแรงกดดันจากภายนอก ตำหนักเซียนจึงไม่ได้ลดมาตรฐานการคัดเลือกอีกต่อไป”

“ปีนี้ ตระกูลหนิงเองก็พบความลับของตำหนักเซียนลาวา หากพวกเขาเข้าร่วมในการป้องกันด้วย ข้าจะต้องรออีกนานเท่าใดกว่ามาตรฐานจะลดลงอีกครั้ง?”

“หรือบางที ข้าอาจไม่มีโอกาสในชีวิตนี้!”

“ขุมกำลังใหญ่ในเมืองเซียนเพลิงมะเดื่อ ล้วนพยายามปกปิดตำหนักเซียนลาวา หวังจะเก็บโอกาสนี้ไว้ให้พวกเขาเพียงผู้เดียว เช่นนี้ได้อย่างไรกัน?”

“ดังนั้น ข้าจำต้องลงมือด้วยตนเอง!”

“ตอนนี้ ข้าได้สะสมไฟวิญญาณจนเพียงพอแล้ว มันมากพอที่จะระเบิดสร้างความเสียหายต่อตำหนักเซียนจนทำให้มาตรฐานลดลง”

“ขาดก็เพียงแค่ วานรเพลิงระเบิด เท่านั้น”

(January 12th: นิยายของ กู่เจินเหริน(蛊真人) มีรายะเอียดเยอะมาก ดูจากเรื่องฟางหยวนเลยก็รู้ ฉะนั้นชื่อของสิ่งของต่างๆหรือผู้คน ต้องจำให้แม่น และส่วนมากจะบันทึกแต่ละอันไว้ เลยทำให้การแปลเรื่องนี้ไม่ได้เยอะต่อวัน)

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด