ตอนที่ 2 หนิงโจว
ตอนที่ 2 หนิงโจว
ณ พื้นที่ของตระกูลหนิง
วันนี้เป็นวันสำคัญของตระกูลหนิง เพราะเป็นวันที่ผลการสอบใหญ่ของปีถูกประกาศ
หนิงเจ๋อและภรรยา หวังหลาน นั่งอยู่ในห้องโถงกลางตั้งแต่เช้าตรู่ รอคอยผลการสอบของเหล่าผู้เยาว์ในตระกูล
ตั้งแต่เด็กๆบุตรหลานของตระกูลหนิงจะต้องผ่านการตรวจสอบพรสวรรค์ตั้งแต่เกิด โดยจะมีการทดสอบทุกปีจนถึงอายุประมาณสิบสองหรือสิบสามปี
หากพบว่ามีพรสวรรค์ในการบ่มเพาะ เด็กเหล่านั้นจะถูกส่งเข้าสำนักศึกษาของตระกูล ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเต็มที่เพื่อเรียนรู้และฝึกฝนจนถึงอายุประมาณสิบหกหรือสิบเจ็ดปี และต้องผ่านการสอบใหญ่ก่อนจบ
การสอบใหญ่ประจำปีนั้นสำคัญยิ่งนัก เพราะเป็นตัวกำหนดชะตาชีวิตของเหล่าผู้เยาว์
ผู้ที่ติดอันดับสามสิบอันดับแรก จะมีสิทธิ์เข้าทำงานในกิจการหลักของตระกูล ซึ่งหมายถึงอนาคตที่กว้างไกลกว่า
หวังหลาน แม้จะนั่งดื่มชาอยู่ แต่สายตาของนางกลับมองออกไปทางประตูใหญ่เป็นระยะ สีหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวังและตื่นเต้นปิดไม่มิด
ในขณะที่หนิงเจ๋อกลับมีสายตาเลื่อนลอย สภาพจิตใจตกต่ำและหดหู่
เขารอคอยมาตลอดจนกระทั่งรุ่งสาง แต่ยังไม่เห็น สามภูตผีแห่งตระกูลหวง กลับมารายงานข่าว
“พวกมันล้มเหลวแล้ว!”
“ไม่คิดเลยว่า แขกผู้เยาว์ผู้ลึกลับ จะเหี้ยมโหดและร้ายกาจถึงเพียงนี้”
“ไม่เป็นไร…ไม่เป็นไร…”
“ตอนที่ข้าติดต่อกับสามภูตผีแห่งตระกูลหวง ข้าไม่ได้เปิดเผยตัวตน แขกผู้เยาว์ผู้ลึกลับย่อมไม่มีทางรู้ว่าเป็นข้า”
“สามภูตผีแห่งตระกูลหวงมันก็แค่ชื่อเสียเกินจริง มีทั้งยันต์สยบเทพและสัตว์วิญญาณ ตั๊กแตนใบมีดเขียว แต่ยังพ่ายแพ้แม้จะสามรุมหนึ่ง ข้าคิดผิดที่ไว้วางใจพวกมัน”
“เฮ้อ…แขกผู้เยาว์ผู้ลึกลับ…ต่อจากนี้ ข้าจะทำเช่นไรดี?”
หนิงเจ๋อซึ่งตัดสินใจเสี่ยงเดิมพันครั้งใหญ่ แต่กลับพ่ายแพ้อย่างย่อยยับจนไม่อาจแก้ตัวได้ ตอนนี้เขารู้สึกเครียดจัด ไม่รู้ว่าจะอธิบายเรื่องนี้ต่อนายน้อยตระกูลหนิงอย่างไรดี
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าสอบติดแล้ว! ข้าติดในสามสิบอันดับแรก!” ทันใดนั้น เด็กหนุ่มคนหนึ่งวิ่งพรวดเข้ามาในห้อง พลางตะโกนด้วยความตื่นเต้น
“จริงหรือ? จี้เอ๋อร์ เจ้าทำได้จริงๆหรือ?” หวังหลานลุกขึ้นยืนทันที สีหน้าเต็มไปด้วยความดีใจ
เด็กหนุ่มนาม หนิงจี้ กล่าวด้วยน้ำเสียงดังลั่น “แน่นอนสิ! ท่านแม่ ท่านไม่เชื่อใจลูกชายแท้ๆของท่านหรืออย่างไร?”
“โอ้?” หนิงเจ๋อเงยหน้าขึ้นมอง เห็นบุตรชายของตนยิ้มกว้างอย่างภาคภูมิใจ
โดยปกติแล้ว หนิงจี้มักอยู่ในลำดับที่ประมาณสี่สิบ แต่ไม่คาดคิดว่าการสอบใหญ่ครั้งนี้เขาจะทำผลงานได้เกินคาด
ข่าวดีที่ไม่คาดคิดนี้ช่วยผ่อนคลายความทุกข์ในใจของหนิงเจ๋อไปได้บ้าง
หนิงจี้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิ “ท่านพ่อ ท่านแม่ ครั้งนี้ลูกได้สร้างชื่อเสียงให้พวกท่านแล้ว ข้าบอกแล้วว่าข้ารู้ตัวดี คะแนนของข้าในวันปกติไม่ดีนักเพราะข้าไม่ได้ทุ่มเทเต็มที่เท่านั้น”
“ไม่เหมือนกับบางคน!”
“ปกติแล้วทำคะแนนได้ดี คงที่อยู่ในสามสิบอันดับแรก แต่ในการสอบใหญ่ครั้งนี้กลับเผยจุดอ่อน สุดท้ายได้เพียงอันดับที่สามสิบเอ็ด! ฮึ หลุดอันดับไปเสียแล้ว!”
ขณะพูด หนิงจี้หันกลับไปมองเด็กหนุ่มในชุดขาวที่เดินตามเข้ามาด้านหลัง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
เด็กหนุ่มชุดขาวนั้นแต่งกายเรียบง่าย ดวงตาใสดุจน้ำใส ทว่ากลับเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและเสียใจ
“ท่านลุง ท่านป้า” เด็กหนุ่มชุดขาว หนิงโจว กล่าวพลางค้อมตัวคารวะ
หวังหลานหันไปมองเด็กหนุ่มก่อนกล่าวด้วยเสียงแหลมสูง “อะไรนะ? เสี่ยวโจว เจ้าสอบตกหรือ?”
หนิงเจ๋อสีหน้ามืดครึ้ม ยื่นมือออกไปกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “เอาผลสอบมาให้ข้าดู”
หนิงโจวหยิบผลสอบออกมาส่งให้หนิงเจ๋อ
หนิงเจ๋อก้มมองผลสอบเพียงครู่เดียว สีหน้าของเขากลับยิ่งขรึมลง น้ำเสียงเย็นชาแฝงไปด้วยความผิดหวัง
ทันใดนั้น หนิงเจ๋อสะบัดกระดาษในมือพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเจือความผิดหวัง “เสี่ยวโจว เจ้าคราวนี้ผิดพลาดไปได้อย่างไรถึงเพียงนี้?”
“ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยสร้างผลงานในศาสตร์กลไกไม่น้อย”
“ครั้งก่อน เจ้าทำหุ่นกลนกแก้วที่ได้รับคำชมจากผู้อาวุโสของตระกูล”
“ศาสตร์กลไกเป็นจุดเด่นของเจ้าแท้ๆ ไฉนครั้งนี้ถึงได้ผลสอบในระดับต่ำสุด?”
“เฮ้อ หากไม่มีผลสอบระดับต่ำเช่นนี้ เจ้าคงติดในสามสิบอันดับแรกไปแล้ว!”
หวังหลาน ป้าของเขามองด้วยสายตาคมกริบก่อนเอ่ยเสียงแหลม “เสี่ยวโจว เจ้าว่ามา! ระยะนี้เจ้าไปทำงานรับจ้างในโรงกลไกอีกหรือไม่?”
ไม่ทันให้หนิงโจวตอบ หวังหลานก็ตบเข่าพลางถอนหายใจยาว “ข้าบอกเจ้ามากี่ครั้งแล้ว ว่าอย่าโลภหลงในทรัพย์สินเงินทอง เจ้าควรใช้ช่วงวัยนี้มุ่งมั่นในการศึกษาเล่าเรียน!”
“เจ้ามัวแต่ทุ่มเทเวลาไปกับการหาเงิน นี่มันเหมือนเก็บงาข้างทางแล้วทิ้งแตงโมทั้งลูกไปเสีย!”
“ดูเจ้าในตอนนี้สิ เป็นอย่างไรเล่า? หลุดอันดับไปเสียแล้ว!”
“เจ้าจึงหมดโอกาสเข้าสู่กิจการของตระกูล!”
หนิงโจวเมื่อได้ยินดังนั้นก็รวบรวมความกล้ากล่าวขึ้นว่า “ท่านป้า ข้าได้ยินจากเพื่อนๆว่า… หากใช้เส้นสาย…”
ยังไม่ทันพูดจบ หวังหลานก็ขัดขึ้นด้วยเสียงดัง “ใช้เส้นสาย? เจ้ารู้หรือไม่ว่าต้องใช้ศิลาวิญญาณมากมายเพียงใด? เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ากับลุงของเจ้าต้องวิ่งวุ่นหาคนมากเท่าใด?”
“เจ้าสอบได้ไม่ดีแทนที่จะตั้งใจแก้ไข กลับพูดอย่างง่ายดายว่าให้ข้ากับลุงของเจ้าวิ่งเต้นเพื่อเจ้า?”
“เจ้าช่างกล้าพูดออกมาเสียจริง!”
“หากเจ้ารู้อย่างนี้ เหตุใดจึงไม่ตั้งใจตั้งแต่แรก?”
“ข้าบอกเจ้าแล้วให้ตั้งใจฝึกฝน อย่าไปรับงานเล็กน้อยเช่นนั้นเพื่อแลกกับศิลาวิญญาณเพียงน้อยนิด”
“มันมีประโยชน์อันใด?”
“หากเจ้าสอบติดสามสิบอันดับแรก เข้าไปทำงานในกิจการของตระกูล เงินที่เจ้าได้จะมากมายยิ่งกว่า อีกทั้งงานก็เบา มีเวลาให้เจ้าฝึกฝนต่อไปอีกมาก!”
หนิงโจวเงยหน้าขึ้นทันที ใบหน้าขึ้นสีแดงด้วยความอับอายและโกรธ เขากัดฟันกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ท่านลุง ท่านป้า หนิงโจวผู้นี้ขอรับผิดชอบเพียงผู้เดียว!”
“ในเมื่อข้าทำได้เพียงอันดับที่สามสิบเอ็ด เช่นนั้นก็ถือว่าแล้วไป”
“หลายปีมานี้ ข้าได้รับความกรุณาจากท่านทั้งสอง ข้ารู้ซึ้งในใจ ผลสอบในครั้งนี้เป็นผลกรรมที่ข้าก่อขึ้นมาเอง ข้าสมควรได้รับ”
“ข้าทำสิ่งใด ข้าขอรับผิดชอบเอง!”
“ข้าไม่เชื่อว่าหากข้าออกไป ข้าจะไม่สามารถหาหนทางเลี้ยงดูตนเองได้”
เมื่อกล่าวจบ หนิงโจวก็คำนับลา “ท่านลุง ท่านป้า เพื่อนข้ารอข้าไปงานเลี้ยงอยู่ หากไม่มีเรื่องอื่น ข้าขอลาก่อน”
หนิงเจ๋อจ้องมองหนิงโจวโดยไม่พูดสิ่งใด
หวังหลานโบกมือไล่พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงรำคาญ “ไปเถอะ ไป! เจ้าช่างมีจิตใจกว้างขวางเสียจริง สอบได้แย่เช่นนี้ยังมีใจไปงานเลี้ยงอีก!”
หนิงโจวหันหลังเดินจากไปด้วยความขุ่นเคือง
ในขณะเดียวกัน หนิงจี้ พี่ชายของเขาก็เอนกายลงนั่งด้วยท่าทีสบายใจ
หวังหลานหันมาทางหนิงจี้ ใบหน้าที่เดิมเต็มไปด้วยความโกรธกลับเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มราวกับเป็นคนละคน “ลูกของข้าช่างยอดเยี่ยมจริงๆ!”
นางดันจานขนมที่วางอยู่บนโต๊ะไปทางเขาพลางกล่าว “ลองชิมดูสิ นี่คือ ขนมไหมทองหยาดหยก จาก หออาหารทองคำ กินแล้วจะช่วยเสริมสร้างฐานจิตวิญญาณ เพิ่มพูนพลังจิตสำนึก ช่วยเจ้าในเรื่องการฝึกฝน และส่งเสริมพลังบ่มเพาะขอบเขตก่อตั้งรากฐานในอนาคต”
หนิงจี้ตาเป็นประกาย รีบหยิบขนมชิ้นหนึ่งใส่ปากทันที
ขนมไหมทองหยาดหยกมีรสสัมผัสที่แปลกไม่เหมือนใคร เนื้อขนมเนียนนุ่ม รสไหมทองกรอบละเอียด ด้านในยังมีไส้ที่ไหลลื่นคล้ายของเหลว
หนิงจี้เคี้ยวเพียงสามคำก่อนกลืนลงไป รู้สึกถึงพลังสดชื่นที่แผ่ขึ้นจากท้องสู่อวัยวะทั่วร่างกาย ทำให้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่า
เขาเอ่ยชมด้วยความยินดี “อร่อยมาก! อร่อยจริงๆ!”
หวังหลานยิ้มพลางกล่าว “ถ้าอร่อยก็ทานให้หมดเลย ทั้งหมดนี้เป็นของเจ้า”
หนิงจี้รีบหยิบขนมชิ้นที่เหลืออีกสามชิ้นเข้าปากจนหมด ก่อนเลียริมฝีปากด้วยความเสียดาย “ไม่ผิดหวังที่เป็นขนมจาก หออาหารทองคำ ช่างอร่อยจริงๆ! ทำไมถึงมีแค่สี่ชิ้น? ยังมีอีกไหม?”
หนิงเจ๋อแค่นเสียงเย็นชา “เจ้ารู้หรือไม่ ขนมแต่ละชิ้นนี้มีมูลค่า 20 ศิลาวิญญาณ เจ้ากินไปเมื่อครู่รวมกันเกือบร้อยศิลาวิญญาณ แล้วเจ้าจะเอาอีกหรือ?”
“ถ้าเจ้าอยากได้อีก เจ้าต้องพยายามให้มากขึ้น อย่าได้เกียจคร้าน! ทำผลงานในตระกูลให้ดี หาเลี้ยงตนเองให้ได้ด้วยน้ำมือของเจ้าเอง แล้วเจ้าจึงจะมีสิทธิ์ได้กินสิ่งดีๆเช่นนี้อีก!”
หนิงจี้โพล่งขึ้นทันที “ท่านพ่อ ลูกชายคนนี้ทำให้ท่านได้หน้าแล้วนะ! ลองคิดดูสิ ถ้าคะแนนสอบของข้ายังเหมือนเดิม ท่านคงต้องวิ่งเต้นหาคนส่งของขวัญ และเปิดทางให้ข้าเข้ากิจการของตระกูลแน่ ครั้งนี้ข้าสอบได้ยอดเยี่ยม ท่านก็ประหยัดศิลาวิญญาณไปหลายร้อยก้อนแล้ว ข้ากินขนมจากหออาหารทองคำไปบ้าง จะเป็นไรไป?”
“อีกอย่าง ข้ากินขนมเหล่านี้ก็เพื่อเสริมสร้างพลังจิตของข้า ให้ข้าฝึกฝนและพยายามได้ดียิ่งขึ้นมิใช่หรือ?”
“หากข้าได้รับทรัพยากรระดับนี้ตั้งแต่แรก ข้าคงได้คะแนนยอดเยี่ยมกว่านี้ไปแล้ว!”
หนิงเจ๋อเห็นลูกชายเถียงกลับก็จ้องเขม็ง กำลังจะกล่าวตำหนิ
แต่หวังหลานรีบห้าม “พอเถอะๆ อย่าพูดอะไรกันมากไปกว่านี้เลย”
นางหันไปจ้องสามีพลางกล่าว “ลูกชายของเราสอบได้ดี เช่นนี้ควรได้รับคำชม ไม่ใช่หรือ? พูดไม่กี่คำ เจ้าก็จะดุด่าเขาอีกแล้ว”
“อย่าดูถูกลูกชายของเราว่าชอบเล่นเพลินไปวันๆ ถึงคราวสำคัญเขาก็พึ่งพาได้”
“ไม่เหมือนหนิงโจว คะแนนสอบของเขาทำให้เราชะล่าใจ แต่ท้ายที่สุด กลับเป็นเขาที่ทำให้ปวดหัวที่สุด!”
“ดูสิ พอถูกตำหนิไปเพียงไม่กี่คำ เขาก็หนีหัวซุกหัวซุนออกไปเสียแล้ว ไม่รับฟังคำสอนสักนิด! ข้าพูดผิดตรงไหนหรือ?”
“ฮึ ยังจะวิ่งออกไปกินข้าวได้อีก เขาช่างมีอารมณ์ดีจริงๆ!”
หนิงจี้หัวเราะเย้ย “เขาทำตัวหยิ่งทะนงเกินไป คิดว่าตนเองเก่งทุกอย่าง คำสั่งสอนของท่านพ่อและท่านแม่ เขากลับไม่เคยสนใจเลย”
“ว่าแต่… บ้านเราคงไม่ต้องไปวิ่งเต้นเพื่อเปิดทางให้เขาใช่ไหม?”
หนิงเจ๋อแค่นเสียงเย็นชา “เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าควรใส่ใจ”
หนิงจี้เห็นบิดาเริ่มแสดงความไม่พอใจก็หดคอเล็กน้อย แต่เมื่อคิดถึงผลสอบครั้งนี้ เขาก็กล่าวเสียงดังอีกครั้ง “ท่านแม่ หนิงโจวออกไปกินข้าวได้ ข้าก็อยากไปกินข้าวร้านดีๆบ้าง ท่านให้เงินข้าหน่อย ท่านไม่รู้หรือว่าข้าทุ่มเทเพียงใดกับการสอบใหญ่ครั้งนี้!”
“ได้ๆ” หวังหลานหัวเราะพลางหยิบถุงศิลาวิญญาณส่งให้หนิงจี้
หนิงจี้รับถุงเงิน แล้วลุกขึ้นเดินออกจากบ้านทันที
เมื่อออกจากคฤหาสน์ตระกูลหนิง เขาเดินไปตามถนน แต่ไม่ได้รีบไปยังร้านอาหารที่ตนชอบ กลับเดินทอดน่องไปมา
เขาคิดจะลองตามดูว่า หนิงโจว กำลังกินข้าวอยู่ที่ใด
ปกติไม่มีโอกาสแบบนี้ ครั้งนี้เขาจึงตั้งใจจะหาเรื่องเยาะเย้ยหนิงโจวเพื่อความสนุก
แต่ไม่ว่าจะหาทางซ้ายหรือทางขวา ก็ไม่พบตัวหนิงโจว
เขาถามพนักงานร้านอาหารหลายแห่ง และได้รับการยืนยันว่า หนิงโจวไม่ได้มาที่นี่เลยแม้แต่แห่งเดียว
หนิงจี้ตบหน้าผากตัวเองพลางพูดขึ้นว่า “เจ้าหนิงโจวนั่นทำเป็นสำออย มีงานเลี้ยงที่ไหนกัน? ข้าว่าตอนนี้ เขาคงนั่งร้องไห้อยู่ในกระท่อมเก่าที่มารดาเขาเสียชีวิตนั่นล่ะ!”
“ช่างเขาเถอะ ข้าควรไปกินอาหารอร่อยๆก่อนดีกว่า”
อาหารวิญญาณไม่เพียงแต่มีรสชาติอร่อย ยังช่วยเพิ่มพูนพลังบ่มเพาะได้อีกด้วย ทำให้หนิงจี้ตั้งหน้าตั้งตารอ
อย่างไรก็ตาม การคาดเดาของเขาก็ถูกต้องเพียงบางส่วน
หนิงโจวได้กลับมาถึงบ้านของตนเองแล้ว
เมื่อเทียบกับที่พักของลุงและป้า บ้านของหนิงโจวนั้นทั้งเรียบง่ายและทรุดโทรม
เขาปิดประตูรั้วเบาๆ เดินข้ามลานเล็กๆ เข้าไปยังเรือนหลัก และมุ่งหน้าเข้าสู่ห้องส่วนตัว
ที่นี่คือทั้งห้องนอนและห้องทำงานของเขา แม้เครื่องเรือนจะเก่าและธรรมดา แต่ทุกสิ่งถูกจัดเก็บอย่างเรียบร้อยและสะอาดสะอ้าน
หนิงโจวลูบคลำหินถ่วงกระดาษรูปสิงโตบนโต๊ะเขียนหนังสือ
หินสิงโตส่องแสงจางๆ บ่งบอกว่าระหว่างที่เขาไม่อยู่ ไม่มีใครเข้ามาที่นี่
จากนั้นเขาหันหลัง เดินไปที่ข้างเตียง พลางบิดราวไม้ข้างเตียงเบาๆ เสียงกลไกดังกึกก้องขึ้นทันที
เตียงเลื่อนออกด้านข้าง เผยให้เห็นทางลับใต้ดิน
เขาก้าวลงบันไดไม้ทีละขั้น จนกระทั่งถึงพื้นห้องใต้ดิน จากนั้นจึงหมุนกลไกเปิด-ปิดบนผนังเพื่อเลื่อนเตียงกลับสู่ตำแหน่งเดิม
แม้ด้านบนจะมืดสนิทไร้แสงส่องลงมา แต่ผนังรอบๆห้องใต้ดินกลับส่องแสงจากอักขระเรืองรอง ทำให้พื้นที่เล็กๆนี้สว่างไสว
เมื่อถึงจุดนี้ สีหน้าของหนิงโจวที่แฝงความเศร้าและความอัดอั้นใจได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย ถูกแทนที่ด้วยความสงบนิ่ง
เขานั่งลงที่โต๊ะทำงานซึ่งเต็มไปด้วยชิ้นส่วนของกลไก
จากนั้นหนิงโจวเปิดลิ้นชักด้านขวามือ เผยให้เห็นขนมมากมายในลิ้นชัก แต่ละชิ้นถูกห่อด้วยกระดาษที่มีตราสัญลักษณ์ของ หออาหารทองคำ
เขาหยิบขนมออกมาห้าถึงหกชิ้น ก่อนใช้พลังวิถีเผากระดาษห่อทิ้งโดยไม่ให้ขนมด้านในได้รับความเสียหายเลย
ดูเหมือนว่าเขาจะทำเช่นนี้บ่อยครั้งจนชำนาญ
หนิงโจวค่อยๆเคี้ยวขนมพลางทอดสายตาเหม่อลอย ในใจเขากำลังย้อนคิดทบทวนการกระทำของตัวเองในวันนี้
นิสัยที่ดีนี้เป็นสิ่งที่เขาปฏิบัติมาเกินสิบปีแล้ว
“ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”
“เพียงแต่นึกไม่ถึงเลยว่าการสอบใหญ่ครั้งนี้ ผู้คนส่วนใหญ่จะทำคะแนนผิดพลาดกันมากจนไม่สามารถแสดงความสามารถที่แท้จริงออกมาได้”
“ตอนแรกที่ดูผลสอบ ข้านึกว่าแผนการควบคุมคะแนนของข้าจะล้มเหลวเสียแล้ว เกือบติดสามสิบอันดับแรกไปจริงๆ”