ตอนที่ 15 ระฆังถ่ายทอดวิถี
ตอนที่ 15 ระฆังถ่ายทอดวิถี
ตำหนักเซียนลาวาค่อยๆลอยสูงขึ้นจากทะเลสาบลาวา เสาสีทองอร่ามและอิฐสีแดงสด สร้างความรู้สึกยิ่งใหญ่อลังการจนผู้พบเห็นตะลึงงัน
เปลวไฟสว่างเจิดจ้า ทำให้ตำหนักทั้งหลังดูราวกับ วิมานเทพเจ้า
ภูเขาไฟมะเดื่อแดงทั้งลูกสั่นสะเทือน เสียงคำรามดังกึกก้องจนชวนหวาดหวั่น
พลังธรณีมหาศาลพุ่งพล่าน ลาวาเดือดพล่านพลุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าสูงหลายจั้ง!
เหล่าผู้บ่มเพาะและผู้คนต่างวิ่งหนีเอาชีวิตรอด ดุจมดปลวกที่ไร้ทางสู้ท่ามกลางมหันตภัยแห่งฟ้าดินนี้
เจ้าเมืองปัจจุบันแห่งเมืองเซียนเพลิงมะเดื่อปรากฏตัว เขาแสดงสีหน้าขึงขังจริงจัง ก่อนเปิดใช้งานค่ายกลที่ผนึกปากปล่องภูเขาไฟไว้
พลังวิถีในขอบเขตวิญญาณแรกกำเนิดของเขาถูกอัดฉีดเข้าสู่ค่ายกลอย่างเต็มกำลัง
แสงสีเขียวอมฟ้าเปล่งประกายในอากาศ สร้างเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ที่มีลักษณะเหมือนตาข่ายคลุมลาวายักษ์ที่กำลังจะพุ่งออกมาจากปากปล่อง
สองพลังปะทะกันอย่างรุนแรง เกิดการยื้อยุดจนดูเหมือนจะไม่มีผู้ชนะ
แผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่น!
ชาวเมืองเซียนเพลิงมะเดื่อทั่วทั้งเมืองตกตื่นตระหนก ต่างวิ่งออกมาจากบ้านเรือนที่พังทลายหรือโยกคลอนจนใกล้จะล้มลง
ควันดำจากการปะทุของภูเขาไฟพุ่งขึ้นฟ้าเป็นกลุ่มก้อนหนาทึบ ราวกับมหันตภัยมารที่หวังกลืนกินฟ้าและดิน
ควันดำพวยพุ่งสู่ท้องฟ้าอย่างต่อเนื่อง แต่แสงสีเขียวอมฟ้าของค่ายกลยังคงส่องประกาย รักษาความมั่นคงของค่ายกลที่ป้องกันหายนะไม่ให้ลุกลามจนถึงขั้นทำลายล้าง
เมื่อแผ่นดินเริ่มสงบลงและแรงสั่นสะเทือนค่อยๆลดลงจนหมดสิ้น ตำหนักเซียนลาวา ก็ตั้งตระหง่านอยู่ในปากปล่องภูเขาไฟ
ตำหนักนั้นดูราวกับยักษ์ใหญ่นอนขวางปากปล่องไว้ ด้านบนถูกปกคลุมด้วยควันดำที่หมุนวนหนาทึบ ด้านล่างคือทะเลลาวาที่เดือดพล่านตลอดเวลา
เสาทองอิฐแดง ของตำหนักเซียนลาวา รองรับอาคารที่มีทั้งหอสูงที่ตั้งตระหง่าน มหาวิหารที่งามสง่า และตำหนักเล็กที่ออกแบบอย่างประณีต
ตำหนักแห่งนี้ผสมผสานคุณสมบัติของ ธาตุไฟที่รุนแรง ธาตุทองที่แข็งแกร่ง และ ธาตุดินที่มั่นคงไว้อย่างลงตัว
สายตานับไม่ถ้วนที่เปี่ยมด้วยความสงสัย ความอยากรู้อยากเห็น หรือแม้แต่ความโลภ ต่างจับจ้องไปยังตำหนักเซียนลาวาที่ปรากฏขึ้นอย่างไม่อาจละสายตาได้
แต่ในชั่วขณะถัดมา เจ้าเมืองที่ยืนอยู่บนท้องฟ้าสีหน้าซีดขาว ค่อยๆบินลงมาสู่พื้นดินอย่างเชื่องช้า
เขาสะบัดแขนเสื้อ ก่อนเปิดใช้งานค่ายกลอันทรงพลัง แสงและเงาเปลี่ยนแปลงไปมา ปกคลุมตำหนักเซียนลาวาไว้จนไม่สามารถมองเห็นรูปลักษณ์ของมันได้อีก
เหล่าผู้บ่มเพาะที่อยู่บริเวณปากปล่องภูเขาไฟต่างได้รับบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ส่วนคนที่ยังอยู่ภายในภูเขาไฟนั้นล้วนไร้ซึ่งร่องรอยของชีวิต
เจิ้งซวงโกวนำพาผู้บ่มเพาะที่เหลือรอดจากตระกูลหนิง ขี่เมฆลอยไปยังเบื้องหน้าของเจ้าเมือง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ท่านเจ้าเมือง”
จากนั้นเขารายงานเหตุการณ์ทั้งหมดผ่านการสื่อสารด้วยจิตสำนึกอย่างรวดเร็ว
เมื่อเจ้าเมืองได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด ใบหน้าของเขาแสดงถึงความเคร่งขรึม ดวงตาเยียบเย็นจนดูน่าหวาดหวั่น
“สืบ! สืบให้ถึงที่สุด! เจ้าผู้บ่มเพาะสายปีศาจเงาดำต้องชดใช้ด้วยชีวิต!”
จากนั้นเขาเหลือบมองไปยังผู้บ่มเพาะตระกูลหนิงที่เหลือรอดอยู่เบื้องหลังเจิ้งซวงโกว พร้อมออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“จับตัวคนเหล่านี้ไว้ทุกคน ผู้รอดชีวิตทั้งหมดต้องถูกควบคุมตัวและสอบสวนอย่างเข้มงวด!”
“รวบรวมข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับผู้บ่มเพาะสายปีศาจเงาดำ หากพบว่ามีผู้สมรู้ร่วมคิด ให้ลงโทษอย่างเด็ดขาด!”
เจ้าเมืองแห่งเมืองเซียนเพลิงมะเดื่อ ซึ่งเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตวิญญาณแรกกำเนิดเพียงคนเดียวในเมืองนั้น กำลังตกอยู่ในอารมณ์อันเลวร้าย
ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่ง เขาค้นพบตำหนักเซียนลาวา
แต่แทนที่จะรายงานการค้นพบนี้ขึ้นไปยังเบื้องบน เขาเลือกที่จะปกปิดความลับนี้ไว้ หวังจะพัฒนาตำหนักเซียนลาวาอย่างลับๆ ภายในกลุ่มของตนเอง เพื่อให้ตำหนักตกเป็นของเขาอย่างสมบูรณ์ในท้ายที่สุด
แต่สิ่งที่เขาวางแผนไว้กลับไม่ได้เป็นไปตามคาด
ตระกูลโจวและตระกูลเจิ้งต่างก็ล่วงรู้ความลับนี้ในเวลาต่อมา
เจ้าเมืองจึงจำต้องประนีประนอมและทำข้อตกลงลับกับพวกเขาทั้งสองตระกูล และในปีนี้ ตระกูลหนิงก็ได้ค้นพบความลับนี้เช่นกัน
เนื่องจากตระกูลหนิงเองก็มีผู้บ่มเพาะขอบเขตแก่นทองคำ และเป็นตระกูลผู้บ่มเพาะใหญ่แห่งเมืองเซียนเพลิงมะเดื่อเช่นเดียวกัน เจ้าเมืองจึงเตรียมที่จะเปิดรับพวกเขาเข้าสู่แผนการ
แผนการของเขาคือให้สี่อำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองร่วมมือกันพัฒนาตำหนักเซียนลาวา และป้องกันไม่ให้ผู้คนจากภายนอกเข้ามาแทรกแซง
แต่ตอนนี้ สถานการณ์ที่เขาพยายามรักษากลับพังทลายเกือบหมดสิ้น!
“ผู้บ่มเพาะสายปีศาจเงาดำ! เจ้าผู้ต่ำช้าเงาดำผู้นี้!!”
เพียงนึกถึงตัวการ เจ้าเมืองก็รู้สึกถึงความโกรธแค้นที่พลุ่งพล่านขึ้นมาในใจ
[จะทำอย่างไรดี?]
เจ้าเมืองพยายามระงับโทสะและครุ่นคิดหาทางจัดการกับสถานการณ์
เขาเป็นเพียงเจ้าเมืองที่ถูกส่งมาจากราชสำนักแห่งราชวงศ์หนานโต้ว อำนาจของเขาไม่อาจครอบคลุมได้ทุกสิ่ง
“น่าชังนัก! หากข่าวนี้รั่วไหลไปถึงเมืองหลวง ข้าคงไม่มีสิทธิ์ควบคุมสถานการณ์อีกต่อไป!”
แม้เขาจะเป็นข้าราชการระดับสูงในราชวงศ์หนานโต้ว และถึงแม้เขาจะเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตวิญญาณแรกกำเนิด แต่เมื่อเทียบกับทั้งแคว้น เขาก็เป็นเพียงคนที่ไร้เรี่ยวแรงเท่านั้น
“เฮ้อ…ตราบใดที่ยังปิดบังได้ ก็ต้องปิดบังต่อไป”
“โชคยังดีที่ตำหนักเซียนลาวายังไม่ได้ปรากฏออกมาทั้งหมด มันยังคงอยู่ในปากปล่องภูเขาไฟ หากข้าสามารถซ่อมแซมค่ายกล เพิ่มม่านเมฆบดบัง และออกคำสั่งห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าใกล้ ข้าก็อาจ…”
“ก้อง! ก้อง! ก้อง!”
ทันใดนั้น เสียงระฆังดังก้องมาจากส่วนลึกของภูเขาไฟ
เสียงระฆังยาวนานและก้องกังวาน สั่นสะเทือนทั้งฟ้าดิน
ทุกคนที่ได้ยินเสียงระฆัง ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ความคิดในหัวของพวกเขาเริ่มปรากฏ คัมภีร์เคล็ดวิชาบ่มเพาะ ทีละบททีละตอน
เจ้าเมืองสะท้านใจอย่างรุนแรง สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นซีดเซียวก่อนจะอุทานออกมา “ระฆังถ่ายทอดวิถี?!”
ยามค่ำคืนมืดสนิท
เมืองเซียนเพลิงมะเดื่อยังคงเต็มไปด้วยความวุ่นวาย บ้านเรือนหลายหลังพังถล่ม ชาวเมืองแตกตื่นออกมาถกเถียงกันด้วยความตกใจ
สิ่งที่เจ้าเมืองกระทำเมื่อครู่ รวมถึงความโกลาหลบนยอดภูเขาไฟ ทำให้ทุกคนตระหนักว่า “บนยอดเขาต้องมีเหตุการณ์สำคัญบางอย่างเกิดขึ้นแน่นอน!”
ในขณะนั้นเอง เสียงระฆังที่ลึกซึ้งและกึกก้อง ดังขึ้นมาอีกครั้ง!
“ก้อง! ก้อง! ก้อง!”
เสียงระฆังดังสะเทือนเมฆหมอก ทะลุผ่านอากาศจนดังก้องไปทั่ว
เสียงนั้นสั่นสะเทือนกำแพงรอบนอกของเมืองเซียนเพลิงมะเดื่อ และสะท้อนก้องไปในตรอกซอกซอยนับไม่ถ้วน
เสียงระฆังดังครอบคลุมทั่วทั้งปราสาทชั้นสูง แผ่ขยายไปถึงบ้านเรือนของสามัญชน และกวนกระแสลมในอากาศทุกอณู ราวกับเสียงนั้นโอบล้อมเมืองทั้งเมือง
เสียงระฆังแทรกซึมลึกลงในหัวใจของสิ่งมีชีวิตผู้มีปัญญาทุกคน สั่นสะเทือนจิตใจอย่างถึงแก่น
ชาวเมืองส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ แต่ในชั่วขณะถัดมา พวกเขากลับถูกดึงดูดด้วยบทคัมภีร์บ่มเพาะที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในจิตสำนึกของพวกเขาเอง
ณ จวนเจ้าเมือง
เด็กหนุ่มร่างกำยำผู้หนึ่งนอนหลับสนิทอยู่บนพื้น ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยเสียงระฆัง เขาลืมตาขึ้นในทันใด
“ว้าก!” เขาร้องเสียงดัง ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วด้วยสองแขน ส่งผลให้เกิดลมแรงวูบหนึ่ง
“มีศัตรูงั้นหรือ?!” เด็กหนุ่มร่างกำยำกล่าวด้วยสีหน้าตื่นตัวเต็มที่
ในตอนนั้นเอง เจ้าเมืองเซียนเพลิงมะเดื่อส่งเสียงผ่านจิตสำนึกมา “เมิ่งชง หลานของข้า เร่งรีบทำความเข้าใจเสียงระฆังนี่เสียเถิด นี่คือเสียงระฆังถ่ายทอดวิถี มันคือกุญแจสำคัญสำหรับการครอบครองตำหนักเซียนลาวา!”
“ระฆังถ่ายทอดวิถี?” เมิ่งชงได้ยินเช่นนั้นก็รีบยืนตัวตรงไม่ขยับเขยื้อน ดุจดั่งหอกที่ตั้งตรง ดวงตาเบิกกว้าง แต่ไร้จดจ่อ ขณะตั้งใจจดจำและทำความเข้าใจบทคัมภีร์ที่ปรากฏขึ้นในจิตใจ
ณ ตระกูลโจว
เหล่าผู้บ่มเพาะหนุ่มอย่าง โจวเจ๋อเซิน และ โจวจู้ กำลังศึกษาภาพแผนผังกลไกด้วยกัน
ทั้งสองคน หนึ่งสูงหนึ่งเตี้ย หนึ่งแข็งแรงหนึ่งบอบบาง
ทันใดนั้น การเคลื่อนไหวและสีหน้าของพวกเขาก็ชะงักไป
หลังเสียงระฆังดังเพียงไม่กี่ครั้ง โจวเจ๋อเซินก็อุทานด้วยความตระหนก “เร็วเข้า! นี่เหมือนจะเป็นระฆังถ่ายทอดวิถี เสียงระฆังนี้แฝงด้วยเคล็ดวิชาบ่มเพาะ รีบทำความเข้าใจ!”
โจวจู้ ผู้ซึ่งไม่ค่อยพูดและมักพึ่งพาความคิดของโจวเจ๋อเซินเสมอ รีบเข้าสมาธิทันที เขานั่งขัดสมาธิและหลับตาลง
ณ ตระกูลเจิ้ง
เจิ้งเจี้ยน กำลังตรวจสอบบัญชีของตระกูลอย่างเข้มงวด
เขาเป็นผู้บ่มเพาะหนุ่มที่มีหัวคาดอยู่บนศีรษะ ตรงกลางหัวคาดประดับด้วยอัญมณีรูปดวงตา
ตรงหน้าเขา ผู้ดูแลการเงินของตระกูลกำลังยืนตัวสั่น ใบหน้าซีดเผือด
เจิ้งเจี้ยน แค่นเสียงเย็นชาและเหวี่ยงสมุดบัญชีลงกับพื้น “เจ้าคิดว่าปลอมบัญชีแล้วจะหลอกข้าได้หรือ?”
ผู้ดูแลถึงกับสะดุ้งเฮือกและล้มลงไปกองกับพื้น
ในขณะนั้น เสียงระฆังดังขึ้น
เจิ้งเจี้ยน ฟังเพียงไม่กี่ครั้งก็หน้าถอดสี ก่อนจะโบกมือไล่ผู้ดูแลออกไป “ไว้ค่อยสอบสวนเจ้าทีหลัง ออกไปให้พ้น!”
ณ ตระกูลหนิง
หนิงเสี่ยวฮุ่ย ผู้ได้รับการยอมรับว่าเป็นยอดอัจฉริยะของตระกูล กำลังหลับสนิทหลังจากเหนื่อยล้าจากการสร้างยันต์จำนวนมากในตอนกลางวัน แม้เสียงระฆังจะดังขึ้น แต่นางยังคงขมวดคิ้วและหลับต่อไปโดยไม่รู้ตัว
หนิงจี้ ผู้ซึ่งกำลังบ่มเพาะ ถูกเสียงระฆังสะเทือนจนหลุดจากสมาธิ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความงุนงง “เสียงบ้าอะไรนี่?”
ณ ปากปล่องภูเขาไฟ
เจิ้งซวงโกวยังคงยืนอยู่บนเมฆเหนือพื้นดิน
เหล่าผู้บ่มเพาะจากตระกูลหนิงที่ยังมีชีวิตรอด ต่างนอนเกลื่อนกลาดหรือเอนตัวพิงด้วยความอ่อนล้า
ไม่เพียงแต่พวกเขาเท่านั้น ผู้บ่มเพาะจากกลุ่มอื่นๆ ส่วนใหญ่ก็อยู่ในสภาพเดียวกัน
“โอกาส! นี่คือโอกาสแห่งโชคชะตา!” ผู้บ่มเพาะหลายคนต่างเปี่ยมไปด้วยความยินดี พยายามตั้งสมาธิและจดจำสิ่งที่ปรากฏในจิตใจ
หนิงเฉินนั่งขัดสมาธิ หลับตาแน่น คิ้วขมวดเข้าหากันอย่างหนักแน่น ใช้สมาธิทั้งหมดเพื่อจดจำ
หนิงหย่งกดศีรษะของตนไว้แน่น ร้องลั่น “อ๊าก! จำไว้ให้ได้นะสมองของข้า! ข้าขอให้เจ้าจดจำมันไว้ให้หมด!”
หนิงโจว ในใจก็เต็มไปด้วยความตกตะลึงและความยินดี
[ข้าทำสำเร็จ! ข้าได้เปลี่ยนเกณฑ์การคัดเลือกของตำหนักเซียนลาวา!
แต่การคัดเลือกกลับเปลี่ยนรูปแบบไป มันปลดปล่อยเคล็ดวิชาบ่มเพาะในระดับหลอมรวมออกมาโดยตรง]
นี่เป็นสิ่งที่หนิงโจวไม่ได้คาดคิดมาก่อน
เช่นเดียวกับผู้บ่มเพาะคนอื่นๆ หนิงโจวยืนนิ่งฟังเสียงระฆังอย่างตั้งใจ
เสียงระฆังค่อยๆเปลี่ยนเป็น “เคล็ดวิถีห้าธาตุ”
[ด้วยเคล็ดวิชานี้ ข้าจะเป็นอิสระจากคัมภีร์ยันต์น้ำแข็งแห่งตระกูลหนิงได้เสียที]
ในขณะนั้น ความรู้สึกปลดปล่อยจากการวางแผนมายาวนาน การเผชิญอันตรายด้วยตนเอง และความสำเร็จที่เหนือความคาดหมายหลั่งไหลเข้าสู่จิตใจของเขา
ตรงกับความว่า:
กลไกวานรเพลิงระเบิดทะยานลาวา
เกราะเหล็กนภาท้าหมอกหนาว
พุทธะมารซ่อนลึกลายจิต
ตำหนักเซียนสั่นไหวทอแสงฟ้า
ระฆังวิถีกึกก้องเผยคัมภีร์
วิถีห้าธาตุแนบธรรมชาติ
ฝึกจบสิ้นคืนรากสู่ว่างเปล่า
ทลายพันธนาการสู่อิสรา!