ตอนที่ 11 พวกเขายังเป็นเพียงเด็กหนุ่ม
ตอนที่ 11 ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาก็ยังเป็นเพียงเด็กหนุ่ม
เมื่อหนิงจ้านจีเอ่ยคำถามขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว ผู้คนที่เหลือต่างหันมองหน้ากันด้วยความงุนงง
หนิงโจวเอ่ยคำตอบออกมาอย่างครุ่นคิดว่า “พืชวิญญาณเหล่านี้ยังอ่อนวัยนัก และมีมูลค่าต่ำ การเก็บเกี่ยวคงไม่ใช่เพื่อพืชเหล่านี้โดยตรง ข้าคิดว่าน่าจะเป็นการบำรุงรักษาเส้นทางนี้โดยเฉพาะ หากปล่อยให้พืชเหล่านี้เจริญเติบโต มันจะดึงดูดอสูรวิญญาณและอสูรปีศาจ หากตระกูลเราจะใช้เส้นทางนี้ในระยะยาว ย่อมต้องตัดไฟเสียแต่ต้นลม”
“ถูกต้อง” หนิงจ้านจีพยักหน้า “การฝึกสอนในสำนักศึกษาของตระกูลเรา นับว่ายังได้ผลอยู่”
“เลือกพืชวิญญาณสักต้นหนึ่ง ถือเป็นรางวัลสำหรับคำตอบที่ถูกต้อง”
“แต่จะเลือกต้นไหน ก็ขึ้นอยู่กับสายตาของเจ้าแล้ว”
หนิงโจวไม่ลังเล ยื่นมือเลือก หญ้าไฟผลึก ออกมาหนึ่งต้น พร้อมกล่าวขอบคุณ “ขอบพระคุณท่านหนิงจ้านจี! ข้ามีความรู้เรื่องตลาดสมุนไพรอยู่บ้าง ในบรรดาพืชวิญญาณเหล่านี้ หญ้าไฟผลึกมีลักษณะงดงามที่สุด ราคาในตลาดย่อมสูงที่สุดแน่นอน”
หนิงจ้านจีพยักหน้า ก่อนส่ายหัวเล็กน้อย “การที่เจ้ามองเห็นราคาตลาด ก็ถือว่าไม่เลว”
“แต่ถ้าข้าเป็นเจ้า ข้าจะเลือกโสมธรณี”
“เพราะในฐานะผู้บ่มเพาะจากตระกูลหนิง พวกเราบ่มเพาะด้วยเคล็ดวิชาเยือกแข็ง หญ้าไฟผลึกไม่เหมาะสมกับธาตุร่างกายของเรา แต่โสมธรณีสามารถบำรุงร่างกายของเราได้”
“พวกเจ้ายังเยาว์วัย อย่าให้ความคิดหมกมุ่นอยู่แต่กับเงินตรา ควรรู้ไว้ว่าการลงทุนในตัวเอง คือหนทางที่ดีที่สุดสู่ความสำเร็จ”
“เมื่อใดที่พวกเจ้าบรรลุถึงขอบเขตก่อตั้งรากฐาน ชีวิตก็จะเหมือนกับการก้าวเข้าสู่โลกอีกใบหนึ่ง”
หนิงโจวได้ยินดังนั้น ก็เผยสีหน้าเคารพนอบน้อม ยอมรับคำสอนด้วยใจ
หนิงจ้านจีฉวยโอกาสกล่าวเสริม “ผู้บ่มเพาะที่โดดเด่น ล้วนกล้าที่จะเสี่ยง แต่ต้องประเมินความเสี่ยงและผลตอบแทนอย่างรอบคอบ หากพวกเจ้าร่วมกับหน่วยรบของตระกูล และได้รับมอบหมายให้ดูแลที่นี่ ทุกวันพวกเจ้าจะได้เก็บเกี่ยวพืชวิญญาณหลายต้น อีกทั้งยังมีค่ายพักชั่วคราวที่ปลอดภัย นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยาก”
“หลายครั้ง การปฏิเสธความเสี่ยง ก็คือการปฏิเสธโอกาส”
หนิงโจวเผยแววสนใจให้เห็นชัด
สีหน้าที่เปลี่ยนไปนี้ หนิงจ้านจีจับสังเกตได้อย่างแจ่มชัด เขาลอบหัวเราะในใจ
[ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาก็ยังเป็นเพียงเด็กหนุ่ม…]
“ท่านขอรับ ข้าต้องการประจำการที่นี่!” หนิงหย่งร้องออกมาอย่างฮึกเหิม
หนิงจ้านจีหัวเราะเบาๆ “เจ้าหน้าใหม่ ไปผ่านการฝึกพิเศษให้ได้เสียก่อนเถิด ค่อยว่ากัน”
คณะผู้บ่มเพาะแห่งตระกูลหนิงเดินทางเข้าสู่โถงใต้ดินแห่งหนึ่ง
ที่แห่งนี้ชัดเจนว่าเป็นฐานที่มั่นแนวหน้าที่ตระกูลหนิงตั้งใจสร้างขึ้นโดยเฉพาะ
ภายในโถง มีผู้บ่มเพาะที่ประจำการอยู่สองคน ซึ่งรีบออกมาต้อนรับขบวนอย่างรวดเร็ว
หนิงจ้านจีสั่งให้ทุกคนพักผ่อนชั่วคราว ส่วนตัวเขาก้าวมายืนกลางโถงใต้ดิน ก่อนปลดปล่อยพลังวิถีและร่ายวิชาด้วยมือ
ทันใดนั้น ผนังด้านบนของโถงก็ปรากฏลวดลายอักขระซับซ้อนมากมาย
ตรงกลางลวดลายเหล่านั้น ปรากฏแผ่นค่ายกลกลมขนาดเท่าหินโม่ ซึ่งค่อยๆเลื่อนลงมาจากเพดาน จนหยุดอยู่เบื้องหน้าหนิงจ้านจี
เขาใช้สองมือสัมผัสกับแผ่นค่ายกล เชื่อมจิตสัมผัสของตนเข้าสู่แผ่นค่ายกล และตรวจสอบข้อมูลที่บันทึกไว้ในนั้น ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ เขาก็ล่วงรู้ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในฐานที่มั่นแนวหน้านี้
หลังเสร็จสิ้นกระบวนการ เขาหยิบศิลาวิญญาณจากถุงเงิน นำมาเปลี่ยนแทนศิลาวิญญาณที่ถูกใช้จนกลายเป็นก้อนหินธรรมดาหรือที่พลังเลือนลาง
หลังจากการพักผ่อนระยะสั้น ขบวนผู้บ่มเพาะแห่งตระกูลหนิงก็เดินหน้าต่อ
ระหว่างทาง หนิงโจวผ่านฐานที่มั่นอีกสามแห่ง บางแห่งใช้สำหรับพักฟื้นกำลัง บางแห่งเพียงเดินผ่าน
เมื่อพวกเขายิ่งลึกเข้าไปในใต้ภูเขาไฟ ภัยคุกคามก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้น
ร่องรอยของอสูรปีศาจเริ่มปรากฏมากขึ้นเรื่อยๆ
มีตั้งแต่หนูไฟสำลีขนาดเท่าฝ่ามือ หัวหินสีแดงที่สามารถลอยในอากาศได้ซึ่งเรียกว่า “อสูรหินแดง” และ “ซาลาแมนเดอร์เปลวเพลิง”
“หยุด!” หนิงจ้านจีที่เดินนำขบวนตลอดทาง ยกมือขึ้นพร้อมออกคำสั่งให้หยุดเดิน
เหล่าผู้บ่มเพาะหยุดนิ่งในทันที การเคลื่อนไหวเปลี่ยนเป็นความสงบ สะท้อนให้เห็นถึงระเบียบวินัยและทักษะการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม
หนิงจ้านจีก้มลงมองร่องลึกเล็กๆ ที่อยู่ตรงหน้าอย่างละเอียด ก่อนใช้ปลายนิ้วแตะลงบนพื้นผิวของร่องนั้น
พื้นผิวลื่นไหลและเปล่งประกายแวววาวราวกับแก้วผลึก
“นี่คือร่องที่เกิดจากการเลื้อยของอสรพิษเพลิงอายุเกินร้อยปี ซึ่งมันเป็นอสูรปีศาจระดับก่อตั้งรากฐาน” หนิงจ้านจีกล่าวอธิบาย ก่อนสั่งการให้ทุกคนเตรียมพร้อมเข้าสู่การต่อสู้
หนิงหย่งหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ แสดงท่าทีตื่นเต้นว่า “ในที่สุดก็เจอจนได้! มีท่านหนิงจ้านจีอยู่ด้วย จะต้องกลัวอสูรตัวเล็กๆ พวกนี้ไปไย?”
หนิงเฉินกล่าววิเคราะห์ว่า “นอกจากพวกเราเหล่ามือใหม่แล้ว ในขบวนนี้มีผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อตั้งรากฐานถึงหกคน ส่วนคนอื่นล้วนเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตหลอมรวมขั้นสูง”
“อสูรปีศาจระดับก่อตั้งรากฐานเพียงตัวเดียว ไม่มีอะไรต้องกลัว”
แต่หนิงโจวกลับรู้สึกตื่นตัวและระแวดระวังในใจ
เขารู้ดีว่า ร่างกายของอสูรมักมีพรสวรรค์เหนือมนุษย์ผู้บ่มเพาะมากมาย อีกทั้งที่นี่คือถ้ำลาวาอสูรอัคคีแดง หากเกิดการต่อสู้ยืดเยื้อ อาจดึงดูดอสูรตัวอื่นมารุมโจมตีเราได้
ขบวนผู้บ่มเพาะแห่งตระกูลหนิงเดินหน้าต่อไป
ทว่าคราวนี้ความเร็วของพวกเขาช้าลงอย่างเห็นได้ชัด บรรยากาศในขบวนก็เปลี่ยนไปเป็นเคร่งขรึม
ไม่นานนัก พวกเขาก็พบกับ อสรพิษเพลิงพุ่ง
อสรพิษเพลิงพุ่งมีลำตัวยาวเรียวทั่วทั้งตัวเปล่งแสงไฟเจิดจ้า ร่างของมันเหมือนเปลวไฟที่ลุกโชนอย่างรุนแรง
แท้จริงแล้ว อสรพิษตัวนี้คือ ไฟที่มีจิตวิญญาณ ไม่ใช่สัตว์อสูรที่มีเลือดเนื้ออย่างที่เข้าใจกันทั่วไป
อสรพิษเพลิงพุ่งดุร้ายและเคลื่อนที่รวดเร็ว มันสามารถเลื้อยไปในหิน และเผาพื้นหินจนหลอมละลายเป็นทาง
ก่อนหน้านี้ หนิงจ้านจีตรวจพบ รอยทางของอสรพิษเพลิง และใช้ความกว้าง ความลึก และพื้นผิวที่ถูกเผาไหม้เป็นเกณฑ์ตัดสิน
เมื่อได้พบตัวจริง ก็เป็นที่ยืนยันว่าการคาดการณ์ของเขาไม่มีข้อผิดพลาด อสรพิษเพลิงตัวนี้คือ อสูรระดับก่อตั้งรากฐาน
เหล่าผู้บ่มเพาะแห่งตระกูลหนิงเริ่มการต่อสู้ทันที
ผู้บ่มเพาะคนหนึ่งโยนแผ่นค่ายกลกางเขตค่ายกลแบบชั่วคราวขึ้นมา เพื่อลดการแพร่กระจายของพลังและเก็บซ่อนกลิ่นอายของทุกคน
จากนั้น ผู้บ่มเพาะจำนวนมากเริ่มร่ายวิชาเตรียมโจมตี
ไม่นานนัก ลูกศรน้ำจำนวนมากก็พุ่งเข้าใส่อสรพิษเพลิง
อสรพิษเพลิงพุ่งถูกโจมตีอย่างต่อเนื่อง แสงไฟที่เคยสว่างไสวของมันเริ่มอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่มันจะตอบสนอง
เมื่อมันตั้งตัวได้ อสรพิษเพลิงพุ่งก็พุ่งโจมตีเข้าใส่ขบวนของตระกูลหนิงด้วยท่าทางดุร้าย
ผู้บ่มเพาะร่างใหญ่สองคนที่เสริมพลังด้วยวิชาหลายชั้นพุ่งออกมาขวางทางอสรพิษเพลิงไว้ ใช้พลังมหาศาลต่อสู้กับมันเพื่อถ่วงเวลา
ในขณะที่คนอื่นๆ ร่ายวิชาต่อเนื่อง บางคนใช้วิชาเพื่อเสริมพลังให้ผู้ที่ต่อสู้ระยะประชิด บางคนมุ่งโจมตีอสรพิษเพลิงอย่างหนักหน่วงเพื่อสังหารมันโดยเร็วที่สุด
อสรพิษเพลิงพุ่งถูกจู่โจมด้วยวิชาธาตุน้ำและน้ำแข็งอย่างต่อเนื่อง ร่างกายของมันหดเล็กลงไปถึงหนึ่งในสาม
เมื่อรู้ว่าตนไม่อาจต้านทานได้ อสรพิษเพลิงพุ่งพยายามหลบหนี
หนิงจ้านจีเคลื่อนไหวรวดเร็วปานสายฟ้า เข้าขวางทางหลบหนีของอสรพิษเพลิงพุ่ง เขาประสานมือทั้งสองก่อนปลดปล่อย ฝ่ามือเยือกแข็ง สองครั้ง
ฝ่ามือเยือกแข็งพุ่งทะยานกลางอากาศ ปลดปล่อยความหนาวเย็นออกมาเป็นวงกว้าง อสรพิษเพลิงพุ่งที่ถูกพลังเย็นนี้ครอบคลุมเคลื่อนไหวได้ช้าลง
ปัง! ปัง!
เสียงระเบิดดังขึ้นสองครั้ง ฝ่ามือเยือกแข็งกระแทกร่างของอสรพิษเพลิงพุ่งจนดับดิ้นไปในที่สุด
นี่เป็นการต่อสู้ที่จบลงอย่างงดงามและรวดเร็ว!
หนิงหย่งเบิกตากว้างด้วยความตื่นเต้น ร้องออกมา “นี่แหละท่านหนิงจ้านจี!”
ในน้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความชื่นชมและศรัทธา
หนิงโจวเองก็พยักหน้าต่อเนื่อง แสดงท่าทีคล้ายหนิงหย่ง ทว่าภายในกลับครุ่นคิด
[ที่นี่เป็นภูเขาไฟซึ่งเต็มไปด้วยพลังวิญญาณธาตุไฟ การใช้วิชาน้ำแข็งควรเป็นสิ่งที่ลำบากและเปลืองพลัง เหตุใดพวกเขาถึงเลือกใช้?]
จนกระทั่งหลังจากผ่านการต่อสู้กับอสูรปีศาจอีกหลายครั้ง หนิงโจวเริ่มเข้าใจ
ที่แท้ หนิงจ้านจีกำลังฝึกฝนกองกำลัง
เมื่อเจอกับอสูรที่ไม่แข็งแกร่งมาก พวกเขาจะใช้วิชาเพื่อฝึกซ้อมการประสานงานในหมู่ผู้บ่มเพาะ
แต่หากเจอกับอสูรที่ทรงพลัง พวกเขาจะใช้อาวุธวิเศษเข้าช่วย โดยหนิงจ้านจีจะเป็นผู้โจมตีหลัก
ด้วยความระมัดระวังไม่ให้การต่อสู้ยืดเยื้อ ขบวนตระกูลหนิงจึงมุ่งเน้นการโจมตีอย่างรวดเร็ว จบการต่อสู้ในเวลาสั้นที่สุด
“ด้านหน้า มีวานรอสูรเพลิง!” ทันใดนั้น ผู้บ่มเพาะผู้รับหน้าที่สอดแนมร้องเตือนด้วยเสียงดัง
ทั้งขบวนหยุดชะงักในทันที
วานรอสูรเพลิงเมื่อโตเต็มวัย ถือเป็นอสูรที่ยากต่อกรอย่างยิ่ง อสูรเพียงตัวเดียวสามารถต่อสู้กับผู้บ่มเพาะระดับก่อตั้งรากฐานได้ถึงสิบคน
เห็นได้ชัดว่า วานรอสูรเพลิงที่มาถึงจุดนี้ ไม่น่าจะเป็นเพียงตัวอ่อน
แม้แต่หนิงจ้านจียังต้องขมวดคิ้ว
“รอก่อน วานรอสูรเพลิงตัวนี้ดูท่าทีแปลกๆ” ผู้บ่มเพาะสอดแนมเอ่ยพลางหลับตา ปล่อยจิตสัมผัสตรวจสอบ ขณะเดียวกันที่คาดศีรษะของเขาเปล่งแสงเรืองรอง
“ดูเหมือน…จะตายแล้ว?” ผู้บ่มเพาะสอดแนมลืมตาขึ้น พร้อมเผยสีหน้าตกใจอย่างเหลือเชื่อ