ตอนที่แล้วตอนที่ 9 คนธรรมดาถูกลวง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 11 พวกเขายังเป็นเพียงเด็กหนุ่ม

ตอนที่ 10 ถ้ำใต้ภูเขาไฟ


ตอนที่ 10 ถ้ำใต้ภูเขาไฟ

ทะเลสาบลาวาเบื้องล่างดูราวกับแก้วผลึกสีทองอร่าม ส่องแสงงดงามเจิดจรัสอยู่กลางแผ่นหินกลมสีแดงเข้ม ราวกับอัญมณีล้ำค่าที่ฝังไว้ในถาดหินยักษ์

ลาวาสีส้มแดงและทองไหลวนพลิ้วอย่างเชื่องช้า บางครั้งก็พลุ่งขึ้นเป็นฟองอากาศขนาดใหญ่ที่แตกดังพรึบพรับ

คลื่นไอร้อนแผ่กระจายออกจากศูนย์กลางของทะเลสาบลาวา โถมกระหน่ำออกไปทุกทิศทาง ก่อนถูกผนังภูเขาสกัดไว้และพุ่งสูงขึ้นฟ้า

หนิงโจวและหนิงหย่งยืนอยู่บนขอบผนังภูเขา ร่างกายทั้งสองโอนเอนอย่างรุนแรงเพราะแรงปะทะของไอร้อนที่พุ่งกลับขึ้นมา แม้หนิงโจวจะรวบรวมพลังวิถีป้องกันจมูกปากของตนเอง แต่ความร้อนก็ยังทำให้ปลายเส้นผมของเขาหงิกงอไป

หนิงจ้านจีกวาดตามองบรรดาผู้มาใหม่ที่ดูอ่อนประสบการณ์ด้วยท่าทีเฉยชา ก่อนกล่าวคำสั่งเบาๆ แต่เด็ดขาดว่า “ให้พวกเขาทุกคนสวมชุดวิถี”

บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาของเขารีบนำชุดวิถีสำรองโยนส่งให้หนิงโจวและหนิงหย่ง

หนิงโจวรับมาอย่างระมัดระวัง พบว่าชุดวิถีนั้นประกอบด้วยอุปกรณ์ครบชุด ตั้งแต่หมวกคลุมศีรษะ เสื้อคลุม กางเกงชั้นใน เสื้อเกราะชั้นนอก ยันรองเท้าบูท

บนชุดวิถีแต่ละชิ้นมีอักขระยันต์จำนวนมากถูกจารึกไว้ โดยส่วนใหญ่เป็นอักขระน้ำแข็ง

“สมบัติยันต์” หนิงโจวนึกคำตอบได้ทันทีในใจ

สมบัติยันต์นั้นต่างจากอาวุธวิเศษทั่วไป ตรงที่มันเป็นสิ่งที่มีอายุการใช้งานจำกัด หากใช้บ่อยครั้ง พลังยันต์ในอักขระจะเสื่อมสลายไปเอง นับว่าเป็นของสิ้นเปลือง

ข้อดีของสมบัติยันต์คือราคาต้นทุนต่ำ เพียงนำวัสดุพื้นฐานมาจารึกอักขระลงไป มันก็กลายเป็นของมีค่าในทันที

ก่อนหน้านี้หนิงโจวเคยสร้างค้อนไม้เล็กๆในห้องใต้ดิน ซึ่งนั่นก็คือสมบัติยันต์ หนิงโจวใช้มันเพื่อจัดการคราบน้ำมันและสิ่งสกปรกได้อย่างง่ายดาย

ส่วนชุดวิถีเหล่านี้ น่าจะเป็นสิ่งที่ตระกูลหนิงออกแบบมาเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ใน ตำหนักเซียนลาวา โดยเฉพาะ

เมื่อหนิงโจวและคนอื่นๆสวมใส่ชุดวิถีจนครบทุกชิ้น พวกเขารู้สึกได้ทันทีว่าความร้อนที่แผ่ซ่านรอบตัวหายไป อุณหภูมิกลับคืนสู่ความปกติ อีกทั้งกลิ่นกำมะถันที่เคยฉุนแสบจมูกก็เลือนหายไปสิ้น

บริเวณผนังภูเขา มีแท่นลอยแขวนอยู่หลายแห่ง แต่ละแท่นมีทหารเมืองประจำการ ทั้งเพื่อป้องกันอันตรายและเพื่อเก็บค่าธรรมเนียม

หนิงจ้านจีนำพาผู้คนทั้งหมด เลือกแท่นลอยแห่งหนึ่ง ก่อนเริ่มก้าวเข้าสู่บริเวณพื้นลุ่มของปากปล่องภูเขาไฟ

หนิงหย่งย่ำเท้าด้วยความตื่นเต้น มองสำรวจรอบด้านอย่างอยากรู้อยากเห็น ขณะที่หนิงโจวเองก็เผยความตื่นเต้นปนระมัดระวังออกมาบนสีหน้า

หนิงจ้านจีมุ่งเป้าตรงไปยังใจกลางที่ตั้งของ ทะเลสาบลาวา

ขบวนผู้บ่มเพาะกว่า 50 คนที่เคลื่อนพลพร้อมกัน ดึงดูดสายตาผู้คนในบริเวณนั้น

พื้นที่ปากปล่องภูเขาไฟไม่ได้มีเพียงกลุ่มของหนิงโจว ยังมีกลุ่มต่างๆ หรือแม้แต่ผู้บ่มเพาะที่มาคนเดียวกระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณนี้

นอกจากนี้ ยังมีผู้คนที่ค่อยๆเดินลงมาจากผนังภูเขา

บางคนใช้บริการแท่นลอยของทางการ แต่ส่วนใหญ่เลือกวิธีโรยตัวลงมาด้วยเชือกที่พวกเขาจัดเตรียมเองจากยอดผนังภูเขา ทว่าความร้อนและกระแสลมที่พุ่งขึ้นไม่ขาดสาย ทำให้การโรยตัวลงนั้นยากลำบากยิ่งนัก

ผู้บ่มเพาะที่โรยตัวลงมาเอง สามารถประหยัดค่าธรรมเนียมของแท่นลอยได้

เหล่าทหารเมืองที่เห็นผู้บ่มเพาะเหล่านี้กลับเพียงมองอย่างเย็นชา ราวกับปิดตาข้างหนึ่งไม่สนใจพวกเขา

หนิงโจวค่อยๆเข้าใกล้ทะเลสาบลาวา

เมื่อระยะห่างแคบลง เขาก็เริ่มสังเกตเห็นสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวอยู่ในทะเลสาบลาวา

ทุกครั้งที่ฟองลาวาขนาดใหญ่ระเบิดขึ้น หนูขนแดงตัวหนึ่งจะอาศัยกระแสความร้อนพุ่งขึ้นสู่เบื้องบน ทะยานเข้าสู่ควันขาวที่ลอยเหนือปากปล่องเพื่อล่าเหยื่อ

หากล่าสำเร็จ หนูขนแดงเหล่านี้จะคาบนกควันสีขาวกลับลงมา จากนั้นร่างของมันจะถูกไอร้อนใต้ปากปล่องลดแรงกระแทกขณะร่วงลงสู่พื้นหิน ทำให้มันสามารถตกลงมาได้อย่างปลอดภัยทุกครั้ง

มีผู้บ่มเพาะบางกลุ่มรอจังหวะที่หนูขนแดงตกลงพื้นหินหลังล่าเหยื่อเสร็จ แล้วรีบเข้าใช้เครื่องมือพิเศษจับตัวมันทันที

ในขณะนั้นเอง หนิงโจวรู้สึกว่ามณีจิตในทะเลสาบแห่งจิตของเขาเปล่งแสงระยิบระยับ…

[หนูไฟสำลี มันมีความต้านทานต่อพลังธาตุไฟสูงยิ่ง จนสามารถว่ายน้ำในลาวาได้

มันดำรงชีพด้วยการล่านกเป็นอาหาร

ส่วนที่มีค่าที่สุดในตัวหนูไฟสำลีก็คือขนของมัน หากรวบรวมขนได้จำนวนหลายร้อยเส้น นำมาผ่านการเย็บปักและหลอมรวม จะสามารถสร้างเสื้อคลุมขนหนูป้องกันไฟ ซึ่งมีคุณสมบัติยอดเยี่ยมยิ่ง]

ขณะที่หนิงโจวกำลังคิดในใจนั้น ทันใดนั้นเอง หนิงจ้านจีผู้นำขบวนก็หยุดยืน

ตรงหน้าของเขาคือทางเข้าของโพรงถ้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งดูไม่มีอะไรโดดเด่นไปกว่าทางเข้าของโพรงอื่นๆรอบด้าน แต่หนิงจ้านจีมั่นใจเต็มเปี่ยม พลางเอ่ยเสียงเข้มว่า “ที่นี่แหละ เตรียมตัวเข้าไปได้”

เหล่าผู้บ่มเพาะต่างเชื่อฟังคำสั่งโดยพร้อมเพรียง

ผู้บ่มเพาะคนหนึ่งก้าวออกมา ขยับนิ้วร่ายวิชา ก่อนจะผลักฝ่ามือออกไปเบื้องหน้า ปลดปล่อยหมอกหิมะสีขาวเย็นยะเยือกออกมาปกคลุม

หมอกหิมะหลั่งไหลเข้าสู่โพรงถ้ำ ไม่นานขอบปากถ้ำก็ถูกปกคลุมด้วยชั้นน้ำแข็งบางๆ ความเย็นแผ่ซ่านลงไปในโพรงจนเกิดเสียงคำรามลั่น

เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ และในชั่วพริบตา โคลนจำนวนมากก็ถูกพ่นออกจากโพรงถ้ำ

โคลนเหล่านี้พุ่งขึ้นสู่ฟ้า ลุกไหม้เป็นเปลวเพลิงกลางอากาศ ราวกับดอกไม้ไฟที่ระเบิดตัว

หนิงโจวสังเกตเห็นว่าโคลนที่ลุกไหม้นี้คือ โคลนน้ำมัน

เมื่อโคลนถูกพ่นออกมาจนหมด หนิงจ้านจีก็เป็นคนแรกที่กระโจนเข้าสู่โพรงถ้ำ

เหล่าผู้บ่มเพาะที่เหลือก็ตามติดไปอย่างรวดเร็ว เคลื่อนตัวเข้าสู่ปากถ้ำอย่างเป็นระเบียบ

ส่วนกลุ่มผู้มาใหม่ เช่น หนิงเฉิน หนิงหย่ง และหนิงโจว ถูกจับคู่กับสมาชิกอาวุโสที่นำพวกเขาทีละคนเข้าสู่โพรงถ้ำ

เมื่อหนิงโจวกระโดดลงไปในโพรง เขารู้สึกถึงความเย็นยะเยือกที่พัดผ่านจนทำให้ร่างกายสะท้านเล็กน้อย

ระหว่างที่ไถลลงไปในทางลาด อุณหภูมิก็ค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อมาถึงครึ่งหลังของทางลาด หนิงโจวสังเกตเห็นว่าผนังถ้ำรอบด้านซึ่งเคยถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งเริ่มเปลี่ยนแปลง น้ำแข็งที่เคยเกาะอยู่ได้ละลายจนหมดสิ้น เผยให้เห็นเนื้อผนังถ้ำซึ่งร้อนระอุอย่างชัดเจน

เมื่อหนิงโจวลงแตะพื้น รู้สึกถึงความมั่นคงใต้ฝ่าเท้า เขาเงยหน้าขึ้นมองและพบว่าตนเองได้เข้าสู่โลกใต้ดินที่เต็มไปด้วยเปลวไฟและหินผา

พื้นหินใต้เท้าดูเหมือนมั่นคงแต่กลับให้สัมผัสอ่อนนุ่มเล็กน้อย ผนังหินโดยรอบโปร่งแสงเป็นสีส้มเหลือง เปล่งประกายร้อนแรงอยู่ตลอดเวลา

หนิงหย่งที่ยืนอยู่ข้างๆ เอื้อมมือด้วยความอยากรู้อยากเห็น ลองสัมผัสผนังหิน แต่ทันทีที่มือแตะลง อักขระบนถุงมือของเขาสลายไปถึงหนึ่งในสาม ทำให้เขาสะดุ้งเฮือกรีบชักมือกลับด้วยความตกใจ

โชคดีที่ผู้บ่มเพาะจากตระกูลหนิงหยิบขวดหยกออกมา และปล่อยหมอกน้ำเย็นล่องลอยออกมา หมอกนั้นก่อตัวเป็นสายริ้วสีน้ำเงินสลับขาว ลอยวนรอบกลุ่มผู้บ่มเพาะ ช่วยลดความร้อนอันแผ่ซ่านรอบด้าน

หลังจากนั้น หนิงจ้านจีจัดให้หนิงโจวและผู้มาใหม่เดินอยู่กลางขบวน ก่อนนำพาคนทั้งหมดเดินหน้าต่อ

เมื่อความตื่นตาตื่นใจในตอนแรกจางหายไป ทิวทัศน์ของถ้ำลาวาอสูรอัคคีแดง ก็ดูซ้ำซาก

หนิงหย่งเริ่มบ่นว่า “เมื่อไหร่จะเจอพวกอสูรสักที”

หนิงเฉินเองก็คลายความระมัดระวังลง สีหน้าที่เคยเคร่งเครียดดูผ่อนคลายมากขึ้น

ส่วนหนิงโจวกลับตกตะลึงในใจต่อความเข้มข้นของพลังวิญญาณในที่แห่งนี้

[ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งหลายคนถึงเลือกอยู่อย่างสันโดษในสถานที่อันตรายเช่นนี้]

แต่เขาก็ต้องคิดด้วยความเสียดายว่า

[น่าเสียดายที่พลังวิถีของข้าเป็นธาตุน้ำแข็ง ในขณะที่พลังวิญญาณในที่นี้กลับเอนเอียงไปทางธาตุไฟอย่างหนัก อีกทั้งยังปนเปื้อนไปด้วยพิษไฟจำนวนมาก ทำให้ข้าไม่สามารถใช้ประโยชน์จากมันได้เลย”

เส้นทางใต้ดินนั้นบางครั้งก็เปิดกว้าง บางครั้งก็แคบลงอย่างเห็นได้ชัด โดยมีทิศทางลาดลงสู่เบื้องล่าง

ทางเดินไม่ได้มีเพียงเส้นเดียว หนิงโจวมักเห็นทางแยกอยู่เป็นระยะ แต่ดูเหมือนว่าผู้บ่มเพาะจากตระกูลหนิงจะคุ้นเคยกับเส้นทางนี้ดี ทุกครั้งที่ถึงทางแยก พวกเขาจะเลือกเส้นทางได้โดยไม่ลังเล

ระหว่างทาง หนิงโจวพบเห็นพืชวิญญาณมากมาย เช่น

• หญ้าไฟผลึก ซึ่งหยั่งรากลึกในหิน ใบโปร่งแสงราวอัญมณี แผ่แสงเรืองรอง ดูดซับความร้อนและเปลวไฟตลอดเวลา

• ดอกเงาเพลิง ซึ่งดูดซับลาวาและพิษไฟ ลำต้นเป็นสีม่วงดำ ใบบางดุจปีกจักจั่น ร่างจริงนิ่งสงบแต่เงาของมันสั่นไหวเหมือนเปลวไฟ

• โสมธรณี ที่ดูดซับพลังแห่งแผ่นดิน หากบ่มเพาะครบ 130 ปีจะเกิดการเปลี่ยนแปลงสำคัญ โสมชนิดนี้มีรากที่ยาวเรียวและสามารถแทรกตัวในดินได้เอง

เมื่อเดินผ่านพืชวิญญาณเหล่านี้ ผู้บ่มเพาะจากตระกูลหนิงมักแยกตัวออกไปเพื่อเก็บเกี่ยว

หนิงจ้านจีลอบมองหนิงโจวแวบหนึ่ง ก่อนเรียกเขาและเหล่าผู้มาใหม่ทั้งหมดเข้ามา พร้อมถามด้วยน้ำเสียงทดสอบว่า “พวกเจ้ารู้หรือไม่ เหตุใดเราจึงต้องเก็บพืชวิญญาณเหล่านี้?”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด