015-016
บทที่ 15 ของขวัญที่ล้ำค่าเกินไป
จะใช่เธอไหมนะ?
โจวรุ่ยเลื่อนกล่องโทรศัพท์ที่ยังไม่ได้แกะเข้าไปในลิ้นชัก พลางเหลือบมองใบหน้าของ "ผู้ต้องสงสัย" หานจื่ออินตลอดทาง
สายตานั้นทำให้หานจื่ออินหน้าแดงก่ำจนเธอต้องก้มหน้าลงอย่างไม่รู้ตัว
จ้องขนาดนี้ทำไมกันนะ…
พอหานจื่ออินนั่งลงข้างๆ โจวรุ่ยก็ยังจับพิรุธอะไรไม่ได้ เขาจึงลองถามหยั่งเชิงว่า
"เธอมีของขวัญให้ฉันเหรอ?"
หานจื่ออินรู้สึกเหมือนสมองกำลังลุกเป็นไฟ เขารู้ได้ยังไง! หรือว่าเราสื่อใจกันได้?
เมื่อถูกจับได้ต่อหน้า เธอจึงหน้าแดงกว่าเดิม หยิบกล่องช็อกโกแลตสติ๊กเกอร์หนึ่งกล่องออกมาจากกระเป๋า แล้วรีบยัดเข้าไปในลิ้นชักโต๊ะของโจวรุ่ย
เมื่อวานเธอเห็นโจวรุ่ยกินช็อกโกแลตสติ๊กเกอร์ระหว่างพัก
ในฐานะผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเธอไว้ เธอรู้สึกว่าต้องตอบแทนเขาอยู่แล้ว แต่ด้วยความที่ไม่ค่อยสนิทกับผู้ชาย เธอจึงไม่รู้จะให้อะไรดี แม้ว่าช็อกโกแลตกล่องนี้จะไม่แพง แต่ก็ต้องใช้ความกล้าอย่างมากในการหยิบมันออกมา
ตอนแรกเธอคิดว่าจะเก็บมันไว้ในกระเป๋าทั้งวัน และเตรียมใจไว้แล้วว่าอาจจะไม่กล้าส่งให้เขา แต่กลับโดนจับได้ตั้งแต่เช้า
นอกจากจะสื่อใจกันได้แล้ว หานจื่ออินก็คิดเหตุผลอื่นไม่ออกเลย
โจวรุ่ยชะงักไป มีของขวัญจริงๆ ด้วย? แต่ไม่ใช่โทรศัพท์เหรอ?
เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของโจวรุ่ย หานจื่ออินก็รู้สึกเศร้าในใจ มันแปลกขนาดนั้นเลยเหรอ? เขาช่วยชีวิตเราแท้ๆ แต่เรากลับให้แค่ช็อกโกแลตกล่องเดียว หานจื่ออินเธอนี่มันโง่จริงๆ!
เห็นท่าทางของเธอเริ่มจะไม่ดี โจวรุ่ยรีบหัวเราะกลบเกลื่อน "ได้เลยๆ ฉันชอบมากนะ ช่วงนี้มีเสบียงกินแล้ว ขอบใจมากนะ"
หานจื่ออินพยักหน้าเบาๆ
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอให้ของขวัญผู้ชาย
แม้ว่าทั้งกระบวนการและผลลัพธ์จะไม่เป็นไปตามที่เธอคิดไว้เลย แต่หัวใจก็ยังเต้นแรงไม่หยุด
พอดีเมื่อวานโจวรุ่ยนอนดึก วันนี้เลยยังมึนๆ อยู่ เขาจึงหยิบช็อกโกแลตออกมากินทันทีระหว่างที่ยังไม่เข้าเรียน
ครั้งหน้าต้องหากาแฟมาตุนไว้บ้าง ถึงจะเป็นแบบสำเร็จรูปก็ยังดี
ในชาติก่อนโจวรุ่ยเป็นมนุษย์เงินเดือนที่ต้องพึ่งพากาแฟอยู่ทุกวัน บวกกับที่เมืองเซี่ยงไฮ้มีวัฒนธรรมกาแฟ เขาจึงนับเป็นสายกาแฟคนหนึ่ง แต่ในตอนนี้ด้วยสภาพกระเป๋าตังค์ที่แห้งกว่าหน้าคน และในเมืองเล็กๆ อย่างชิงเหอ การจะหากาแฟดื่มมันยุ่งยากเหลือเกิน อย่างน้อยๆ ร้านค้าก็ไม่มีขาย
เรื่องที่มาของโทรศัพท์ยังคงเป็นปริศนา แต่โจวรุ่ยตัดสินใจโฟกัสไปที่การเก็บเลเวลก่อน!
สองคาบเรียนในช่วงเช้า โจวรุ่ยยังคงตั้งใจฟังอย่างจริงจัง และในที่สุด หนึ่งในภารกิงของเขาก็เริ่มมีความคืบหน้า
"คำภารกิจ: มุ่งมั่น ค่าประสบการณ์ +1 ตอนนี้ความคืบหน้า (54/100)"
"คำภารกิจ: ผู้มีวินัยในตัวเอง ค่าประสบการณ์ +1 ตอนนี้ความคืบหน้า (38/100)"
"คำภารกิจ: แรงบันดาลใจ ค่าประสบการณ์ +1 ตอนนี้ความคืบหน้า (20/100)"
หากยังคงรักษาความเร็วนี้ไว้ได้ อีก 2-3 วันเขาน่าจะได้คำสำคัญใหม่ [มุ่งมั่น] ซึ่งจะเป็นคำแรกที่เขาได้มาด้วยตัวเองผ่านภารกิจ
ถึงตอนนั้น เขาเชื่อว่าทุกอย่างที่เขาทำจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังสามารถปลดล็อกภารกิจใหม่ได้อีกเรื่อยๆ
สำหรับหานจื่ออิน ดูเหมือนเธอยังไม่ค่อยเปิดหนังสือเท่าไหร่ โจวรุ่ยสงสัยหนักว่าเธอน่าจะเป็นสายเรียนอ่อน และการย้ายจากเซี่ยงไฮ้มาที่ชิงเหอ อาจเป็นเพราะครอบครัวมีเส้นสาย และที่นี่ก็เหมาะกับการ "จัดการ" อะไรบางอย่างมากกว่า
แต่เขาไม่ได้ถือเป็นเรื่องผิดปกติอะไร เพราะเขาเองก็ไม่ใช่คนที่มีความยุติธรรมสูงนัก ด้วยจิตวิญญาณของผู้ใหญ่ที่มาเกิดใหม่ เขาจึงแค่คาดเดาถึงเบื้องหลังของเธอ
ช่วงบ่ายยังคงปกติ แต่โจวรุ่ยยังไม่ได้แกะกล่องโทรศัพท์ในลิ้นชัก
เหตุผลแรกคือกล่องโทรศัพท์ใหม่ค่อนข้างใหญ่ ข้างในมีอุปกรณ์เสริมเยอะแยะ แกะออกมาต้องสะดุดตาคนอื่นแน่ๆ
เหตุผลที่สองคือเขายังไม่รู้ว่าใครเป็นคนให้มันมา หรืออาจเป็นไปได้ว่าจะมีคนวางผิดที่ก็ได้
และเหตุผลที่สาม แม้จะเป็นไปได้ยาก แต่เขาก็อดคิดไม่ได้ว่ามันอาจเป็นแผนให้ร้าย เช่น ถ้าเขาแกะออกมาแล้วโดนหาว่าขโมย?
เช่นตอนที่เขาหันไปมองกัวเซิ่ง
แต่คนคนนี้ดูจนเกินไป น่าจะไม่มีปัญญาทำเรื่องแบบนี้ และทุกคนก็เป็นแค่นักเรียนมัธยมปลาย ไม่น่าจะมีใครทำตัวเหมือนในหนังสายลับแบบนั้นหรอก
จนกระทั่งเลิกเรียน ก็ยังไม่มีใครมาแสดงตัวเป็นเจ้าของ "ของขวัญ" ชิ้นนี้เลย
ก่อนจะรู้ที่มาของมัน โจวรุ่ยจึงเลือกที่จะไม่แกะ และคงสถานการณ์ไว้ก่อน
โจวรุ่ยบอกกับหานจื่ออิน "งั้นฉันไปละนะ พรุ่งนี้เจอกัน"
หานจื่ออินพยักหน้า ดูเหมือนเธอจะกลับบ้านช้ากว่าคนอื่นทุกวัน แต่โจวรุ่ยก็ไม่ได้สนใจอะไร
หลังสะพายกระเป๋า เขาออกจากห้องเรียนไป วันนี้เขาต้องไปส่งหลี่เหวินเชี่ยนและแวะร้านปริ๊นต์เพื่อสแกนโน้ตเพลงที่เขาเขียนด้วยมือ แล้วส่งอีเมลจดลิขสิทธิ์
เวลาตรงเป๊ะ เขาได้ “ลูบหัว” เห็ดน้อยอันนุ่มลื่นพร้อมพูดว่า “ไป กลับบ้านกัน!”
หลี่เหวินเชี่ยนพยักหน้าและเดินตามหลังโจวรุ่ยอย่างเป็นธรรมชาติ
โจวรุ่ยคืนโทรศัพท์ของเธอให้พร้อมถามว่า "ขอบคุณสำหรับโทรศัพท์นะ อึดอัดรึเปล่าที่ไม่มีมัน?"
หลี่เหวินเชี่ยนส่ายหน้าพร้อมพูด "ไม่เลย แต่วันนี้ฉันคิดถึงเรื่องของนายทั้งวัน นายแต่งเพลงเป็นด้วยเหรอ? เหลือเชื่อสุดๆเลย"
ในสายตาเธอ มันเหมือนโจวรุ่ยจะบอกเธอว่า “ฉันเป็นทหารพิเศษในเมือง และตอนนี้คือการกลับมาของราชามังกร” แบบนั้นแหละ
จนทำให้ทั้งวันเธอไม่มีสมาธิเรียนเลย เอาแต่คิดถึงโจวรุ่ย
โจวรุ่ยยิ้ม “มีอะไรต้องตกใจด้วยล่ะ แต่งเพลงไม่ได้ยากขนาดนั้น บางทีเธออาจจะเรียนรู้ได้เหมือนกันนะ”
โจวรุ่ยพูดด้วยความปวดหัวเล็กน้อย "ตอนนี้ฉันไม่มีเงิน ไม่มีอุปกรณ์ และไม่มีคอนเนกชันอะไรเลย เพลงทะเลแห่งดวงดาว นี่คุณภาพดีมากก็จริง แต่ถ้าคิดจะทำเงินจากมัน มันมีเรื่องให้ต้องจัดการเยอะมากเลยล่ะ"
ขณะที่ทั้งสองกำลังครุ่นคิดอยู่ จู่ๆ ก็มีเสียงที่สามดังมาจากด้านหลัง
"เอ่อ... ถ้าเป็นเรื่องคอมพิวเตอร์ล่ะก็... ฉันมีนะ"
เสียงนั้นทำเอาโจวรุ่ยสะดุ้งโหยง เฮ้ย! มีคนที่สามโผล่มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย!?
หลี่เหวินเชี่ยนเองก็สะดุ้งเฮือก เธอคว้าเสื้อโจวรุ่ยไว้แน่นเหมือนกลัวว่าจะถูกลักพาตัว
โจวรุ่ยหันไปมอง เห็นเด็กชายตัวเตี้ยท้วมคนหนึ่งยืนอยู่ข้างหลังพวกเขาอย่างลังเล
ที่แท้เป็นเพื่อนร่วมห้อง ซ่งปิน!
ซ่งปินสูงไม่ถึง 170 เซนติเมตร แต่น้ำหนักน่าจะเกิน 170 ไปแล้ว ความที่เขาถูกกลั่นแกล้งมาตลอดทำให้เขาดูมีบรรยากาศหม่นๆ และไม่มั่นใจในตัวเอง
"นายมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?"
ซ่งปินก้มหน้า พร้อมกล่าวขอโทษซ้ำๆ "ขอโทษ ขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังนะ พอดีว่าทางกลับบ้านเราเป็นทางเดียวกัน เมื่อกี้ฉันอยู่ข้างหลังมาตลอด ได้ยินแค่บางคำ ขอโทษจริงๆ!"
โจวรุ่ยนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาหยิบโทรศัพท์ N97 จากในกระเป๋าออกมาแล้วถามว่า "นี่นายเป็นคนเอามาใส่ในโต๊ะฉันเหรอ?"
ซ่งปินบิดนิ้วไปมา น้ำเสียงเบาลงเรื่อยๆ "เอ่อ... เมื่อวานฉันก็อยู่ข้างหลังพวกนาย ฉันไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังนะ แต่พอได้ยินโจวรุ่ยบอกว่าต้องการโทรศัพท์ ฉันก็เลยตัดสินใจเอง ขอโทษนะ! ครั้งหน้าฉันจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว!"
ทั้งที่เขาเป็นคนให้ของขวัญ แต่ตอนนี้กลับต้องมาขอโทษ
โจวรุ่ยตบบ่าซ่งปินเบาๆ "ฉันไม่ได้อยากให้นายขอโทษนะ แต่แค่รู้สึกว่ามันดูมีราคามากเกินไปหน่อย"
ซ่งปินรีบพูด "เอ่อ... ฉันแค่อยากให้เพื่อนร่วมชั้นโจวรุ่ย... ขอบคุณที่เมื่อวานนายช่วยฉัน เอ๊ะ! ฉันไม่ได้หมายความว่าเพราะนายช่วยฉันเมื่อวาน ฉันถึงให้ เอ่อ... ฉันหมายถึง..."
เห็นซ่งปินพูดจาวกวน โจวรุ่ยเลยถอนหายใจพลางโบกมือ "โอเค ฉันรับของขวัญไว้ก่อนละกัน ตอนนี้ฉันก็ต้องการโทรศัพท์จริงๆ ไว้วันหลังฉันจะหาของที่ดีกว่านี้มาให้นายตอบแทน ส่วนเรื่องเรียกชื่อ นายไม่ต้องเรียกฉันว่าเพื่อนร่วมชั้นโจวรุ่ยอะไรแบบนั้นหรอก เรียกแค่โจวรุ่ยก็พอ"
หลังจากใช้เวลาอีกไม่กี่นาที ซ่งปินก็เริ่มพูดคล่องขึ้น และไม่ตะกุกตะกักเหมือนตอนแรก
ในโรงเรียนนี้เขาอยู่ในกลุ่มที่ถูกมองว่าอยู่ "ล่างสุด" แทบไม่มีเพื่อนเลย และก็ไม่เคยมีใครยื่นมือเข้ามาช่วยเขา แต่เมื่อวาน มีเพียงโจวรุ่ยที่ยืนขึ้นมาปกป้อง แม้ว่าแรงจูงใจของโจวรุ่ยอาจไม่ใช่อย่างที่ซ่งปินคิด (ที่จริงแล้ว โจวรุ่ยแค่กลัวปัญหาจากปากกาหมึกซึม)
แต่สำหรับซ่งปิน แค่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้เขารู้สึกซาบซึ้งใจแล้ว
…………………………………………………………………………………………………………………………….
บทที่ 16 เป็นแสงสว่างในความทรงจำของใครสักคน
โจวรุ่ยบอกให้ซ่งปินเดินตามมา ขณะเดินเขาก็ถามไปด้วย
"นายบอกว่านายมีคอมพิวเตอร์เหรอ? แบบไหนล่ะ?"
ซ่งปินอยากช่วยโจวรุ่ยมาก เขาจึงพูดอย่างกระตือรือร้นทันที
"ฉันมีทั้งคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะแล้วก็โน้ตบุ๊ก สเปกก็ดีทั้งคู่เลย โจวรุ่ย นายจะใช้เขียนเพลงแล้วก็เรียบเรียงใช่ไหม? นายเก่งมากเลย! เมื่อไม่นานมานี้ฉันไปดูในฟอรั่มมา เห็นเขาพูดกันว่าใช้ซอฟต์แวร์ทำเพลง ชื่ออะไรสักอย่างว่า Cubase ฉันช่วยนายโหลดมาให้ก็ได้ บ้านฉันอินเทอร์เน็ตเร็วมาก!"
แม้ซ่งปินจะเป็นเด็กที่เงียบๆ และมักโดนกลั่นแกล้งในห้อง แต่ดูเหมือนเขาจะมีฝีมือด้านคอมพิวเตอร์มากทีเดียว
นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะคนที่รู้สึกอึดอัดในโรงเรียน มักหาที่ระบายหรือหาความสุขในสิ่งอื่น บางคนอาจมองว่าซ่งปินกำลังหนีความจริง หรือเรียกเขาว่าเด็กติดบ้านก็ได้ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในยุคนี้ เขาเป็นคนที่ "เล่นคอมพิวเตอร์" เก่งกว่าเพื่อนวัยเดียวกันหลายคน
ไม่ใช่แค่เล่นเกม ซ่งปินยังเขียนโปรแกรมง่ายๆ ได้อีกด้วย
จากคำพูดเล็กๆ น้อยๆ พอจะเดาได้ว่าบ้านซ่งปินน่าจะฐานะดีอยู่ไม่น้อย เพราะการสนับสนุนเรื่องแบบนี้ต้องใช้เงินพอสมควร
ในชีวิตก่อน จวรุ่ยไม่ได้สนิทกับซ่งปิน หลังเรียนจบเด็กชายที่เคยถูกกลั่นแกล้งคนนี้ก็หายไปจากสายตาของเพื่อนร่วมชั้น ไม่มีแม้แต่จะมาร่วมงานเลี้ยงรุ่นครั้งไหนเลย ดังนั้นโจวรุ่ยจึงไม่รู้เรื่องครอบครัวของเขาเท่าไหร่
แต่ก็ช่างเถอะ ตอนนี้เขาสนใจเพียงแค่คอมพิวเตอร์ของซ่งปิน ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาต้องการมาก
โจวรุ่ยพูดว่า "วันนี้ฉันต้องทำเรื่องสแกนเอกสารก่อน หลังจากนั้นอาจต้องยืมคอมของนายสักหน่อยนะ"
ซ่งปินรีบเสนอ "งั้นนายไปที่บ้านฉันเลยดีไหม? ในห้องทำงานพ่อฉันมีเครื่องสแกนด้วย แถมพ่อฉันไม่ค่อยกลับบ้าน"
โจวรุ่ยคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้า "วันนี้ดึกแล้ว ไปร้านปริ๊นต์เอาดีกว่า ไว้วันเสาร์ค่อยว่ากันอีกที"
ทั้งสามเดินมาด้วยกันสองช่วงถนน ก่อนซ่งปินจะแยกตัวเลี้ยวไปอีกเส้นทาง
หลังจากนั้นโจวรุ่ยก็พาหลี่เหวินเชี่ยนไปที่ร้านปริ๊นต์ เขาสแกนเอกสารบัตรประชาชน โน้ตเพลง และอื่นๆ จากนั้นก็แกะกล่องโทรศัพท์ N97 เพื่อใส่ซิมของหลี่เหวินเชี่ยน แล้วเข้าเว็บไซต์ลงทะเบียนลิขสิทธิ์ ส่งคำร้องพร้อมกับอีเมล
ในยุคนี้การใช้งานอินเทอร์เน็ตไม่เหมือนยุคหลัง ทุกอย่างยังคงหมุนรอบการใช้อีเมลมากกว่าหมายเลขโทรศัพท์ ตั้งแต่เรื่องงานของบริษัท การพูดคุยทั่วไปของชาวเน็ต ไปจนถึงการสมัครบัญชีต่างๆ อีเมลคือสิ่งที่ขาดไม่ได้
ก่อนหน้านี้โจวรุ่ยเองก็สมัครอีเมลฟรีไว้ ตอนนี้มันได้ใช้งานแล้ว
ค่าลงทะเบียนลิขสิทธิ์แพงถึง 200 หยวน นั่นทำให้เงินในบัญชีธนาคารของโจวรุ่ยหมดเกลี้ยง
นั่นคือเงินที่เขาเก็บมาจากเงินแต๊ะเอียทุกปีตั้งแต่เด็ก ตอนนี้เขากลายเป็นคนถังแตกอย่างแท้จริง
ขณะที่เขาส่งอีเมล หลี่เหวินเชี่ยนยังดูเหมือนไม่เชื่อสายตาตัวเอง
เธอมองโจวรุ่ยปิดฝาด้านข้างของ N97 พร้อมเสียงดัง "แกร๊ก" อย่างเท่ แล้วพูดพึมพำ "เพลงนี้ถูกส่งไปแล้วเหรอ? ฉันยังไม่เคยได้ยินนายร้องเลย"
สาวน้อยคนนี้ยืนยันซ้ำไปซ้ำมาเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ฝัน
โจวรุ่ยตอบ "ไม่ได้ส่งไปหรอก แต่ลงทะเบียนลิขสิทธิ์แล้วต่างหาก"
"โจวรุ่ย งั้นนายร้องให้ฉันฟังหน่อยได้ไหม!"
โจวรุ่ยส่ายหัวระหว่างเดิน "กลางถนนแบบนี้? จะให้ฉันร้องสดเหรอ? อายตายเลย!"
อายตายเลย!
"นะๆ ขอร้องล่ะ! ร้องให้ฉันฟังหน่อย ไม่งั้นคืนนี้ฉันนอนไม่หลับแน่!"
หลี่เหวินเชี่ยนจับแขนเสื้อของโจวรุ่ยเขย่าไปมา เสียงของเธออ้อนจนเหมือนเด็ก
โจวรุ่ยจนใจจนต้องเอามือปิดหน้า "โอเคๆ กลัวเธอแล้ว!"
เขามองไปรอบๆ เห็นว่าไม่มีคนอยู่แถวนั้นพอดี จากนั้นก็เคลียร์คอเบาๆ แล้วเริ่มร้องเพลง
"ฉันอยากเป็นดาวฤกษ์~"
โจวรุ่ยร้องเบาๆ ออกมาแค่ประโยคแรก
เสียงของเขาไม่ได้มีเอกลักษณ์อะไรโดดเด่นนัก ออกจะติดสำเนียงเด็กหนุ่มอยู่บ้าง แต่ด้วยคำสำคัญ [สัมผัสทางดนตรีขั้นสูง] ทำให้จุดเด่นของการร้องสดคือความแม่นยำ
ทุกอย่างแม่นยำสุดขีด ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมลมหายใจ การออกเสียง และโน้ตเสียง ไม่มีจุดบกพร่องในท่วงทำนองเลยแม้แต่น้อย แม้เทคนิคจะยังดูไม่ชำนาญนัก
เพียงแค่ประโยคเดียว หลี่เหวินเชี่ยนก็นิ่งไป
เพราะมาก...
ไม่กี่ประโยคประโยคสั้นๆ หลังจากนั้น เมื่อเข้าสู่ท่อนฮุก หลี่เหวินเชี่ยนถึงได้เข้าใจว่าทำไมเพลงนี้ถึงชื่อ ทะเลแห่งดวงดาว
"ฝ่าผู้คนมากมาย~ อย่าหยุดยั้ง จงใช้เวลานี้ที่ยังมีความหวัง
ความรักของเรา~ จะถูกพัดไปสู่มหาสมุทร
และไม่มีวันย้อนกลับ ทุกครั้งที่เธอเดินมาหา
บอกฉันสิถึงดวงดาวและมหาสมุทร~"
หลังร้องท่อนฮุกจบ โจวรุ่ยหยุดร้องทันที เพราะคุณลุงคนหนึ่งที่ขี่รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าผ่านไป หันกลับมามองเขาตลอดทางจนเขาเกือบหลุดขำ
การร้องเพลงสดกลางถนนแบบนี้ ไม่ได้ทดสอบเทคนิค แต่เป็นการทดสอบ "ความกล้า" ล้วนๆ
เพลงของโจวรุ่ยหยุดลงทันที
ดวงตาของหลี่เหวินเชี่ยนเริ่มมีประกายดาวระยิบระยับ!
"โจวรุ่ย! นายเป็นอัจฉริยะ! อนาคตนายต้องกลายเป็นซุปเปอร์สตาร์แน่ๆ! นายจะเป็นนักร้องนักแต่งเพลงแบบเจย์โจวได้เลยนะ!"
โจวรุ่ยรู้สึกว่าหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา "ใจเย็นๆ ฉันไม่คู่ควรไปเทียบกับเขาหรอก"
หลี่เหวินเชี่ยนตื่นเต้นจนตัวสั่นไปทั้งร่าง
การที่คนที่เธอสนิทด้วยทุกวันกลับแต่งเพลงได้ และยังเป็นเพลงที่ไพเราะขนาดนี้ ทำให้การกระทำของโจวรุ่ยเปิดประตูบานหนึ่งในใจของเธอ
ประตูบานนั้นคือ ดนตรี
เธอเริ่มรู้สึกสนใจในเสียงเพลงแล้ว!
ในชีวิตก่อนหลี่เหวินเชี่ยนได้ค้นพบพรสวรรค์ของตัวเองจากการเข้าร่วมการประกวด 10 นักร้องยอดเยี่ยมในโรงเรียน โดยบังเอิญ แต่ในชีวิตนี้โจวรุ่ยเป็นคนเปิดประตูบานนี้ให้เธอเอง
หลังประตูบานหนักหน่วงนั้น คือสาวน้อยที่เปล่งประกายเหมือนอัญมณี และมีพรสวรรค์ที่น่าทึ่ง
โจวรุ่ยมองดูหลี่เหวินเชี่ยนที่กระโดดโลดเต้นด้วยความตื่นเต้นแบบห้ามตัวเองไม่ได้ เขาอดยิ้มไม่ได้ ความอายที่ต้องร้องเพลงสดกลางถนนค่อยๆ จางหายไป
ในชีวิตก่อน เขาพลาดอะไรไปหลายอย่าง หนึ่งในสิ่งที่ทำให้เขาเสียดายที่สุดคือสายสัมพันธ์ที่ยาวนานกับหลี่เหวินเชี่ยน
ในความทรงจำของเขา ดูเหมือนเขาไม่เคยทำให้สาวน้อยคนนี้ตื่นเต้นหรือดีใจได้ขนาดนี้มาก่อนเลย
เขาไม่แปลกใจ
แม้ว่าในอดีตพวกเขาจะเติบโตมาด้วยกันแบบเรียบง่าย มันก็เป็นช่วงเวลาที่อบอุ่น แต่ตัวเขาในชีวิตก่อนกลับไม่เคยทิ้งร่องรอยอะไรที่โดดเด่นในชีวิตของหลี่เหวินเชี่ยนเลย
ถ้าตัวเองไม่เปล่งประกาย ไม่สามารถกลายเป็นแสงสว่างในความทรงจำของอีกคน แล้วจะมีเหตุผลอะไรที่ทำให้อีกฝ่ายจดจำเราไปตลอดได้?
ในตอนนี้โจวรุ่ยคือแสงสว่างที่เปล่งประกายในสายตาของหลี่เหวินเชี่ยน
โจวรุ่ยยื่นมือไป "ลูบ" เห็ดน้อยบนหัวของหลี่เหวินเชี่ยนอีกครั้ง แล้วเลิกผมหน้าม้าหนาเตอะของเธอขึ้น
เผยให้เห็นใบหน้าที่งดงาม และดวงตาคู่สวยที่ส่องประกาย
สาวน้อยคนนี้ ชัดเจนว่ามีความงามที่ไม่แพ้ใครเลย แต่กลับถูกซ่อนไว้ใต้ทรงผมทรงหัวเห็ด
การปิดผนึกนี้ดีแล้ว... เอาปิดไว้แบบนี้ก่อนแล้วกัน
อย่างน้อยตอนนี้ มีแค่เราที่รู้ก็พอแล้ว
หลี่เหวินเชี่ยนที่ชินกับการถูก "ลูบหัว" โดยโจวรุ่ย ยังคงตกอยู่ในความตื่นเต้นไม่หาย จนกระทั่งได้ยินเขาพูดว่า
"เพลงนี้เหมาะกับเสียงผู้หญิงมากกว่า ไว้ฉันจะหาทางให้เธอช่วยอัดเดโม หรือก็คือตัวอย่างเพลงให้หน่อยนะ"
หลี่เหวินเชี่ยนรีบแสดงความกังวลขึ้นมา "ฉันจะทำได้เหรอ?"
โจวรุ่ยปลอบเธอ "เธอทำได้แน่นอน เพลงนี้ไม่ได้ยากอะไรเลย เนื้อร้องก็ซ้ำเยอะ สิ่งสำคัญแค่ตอนร้องต้องใส่อารมณ์ให้เหมาะสม... และสิ่งสำคัญที่สุดคือ ฉันเชื่อมั่นในตัวเธอ!"
หลี่เหวินเชี่ยนพูดด้วยความไม่แน่ใจ "ทำไมนายถึงเชื่อมั่นในตัวฉันล่ะ?"
โจวรุ่ยแตะจมูกเล็กๆ ของเธอเบาๆ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง "เพราะฉันคือคนที่ได้ฟังนายร้องเพลงมากที่สุดในโลกนี้จนถึงตอนนี้เหรอ"
สายตาของเขาที่เต็มไปด้วยความเอ็นดู พร้อมรอยยิ้มเล็กๆ บนใบหน้า ทำให้หลี่เหวินเชี่ยนรู้สึกเหมือนกำลังล่องลอย
โจวรุ่ยโบกมือเรียกให้เธอเดินตามเข้าไปในแสงไฟถนน ราวกับเขากำลังก้าวเข้าสู่เวทีที่มีไฟสปอตไลต์ส่องถึง
"ไปกันเถอะ แม่เธอคงเริ่มกังวลแล้ว"
หลี่เหวินเชี่ยนรีบก้าวขาตามหลังเขาไป "มาแล้วๆ รอฉันด้วย!"
ฝ่าผู้คนมากมาย อย่าหยุดยั้ง
จงใช้เวลานี้ที่ยังมีความหวัง
จงกลายเป็นแสงสว่างในความทรงจำของใครสักคน
(จบบท)