ตอนที่แล้ว011-012
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป015-016

013-014


บทที่ 13 เพลงแรกเอาเป็น “เพลงแดง” ดีไหม

โจวรุ่ยถือมือถือของสาวน้อยหลี่เหวินเชี่ยนเดินกลับมาบ้านอย่างสบายใจ

แม่ของเขากำลังวุ่นวายอยู่ในครัว พอได้ยินเสียงที่หน้าประตู ก็รีบตะโกนบอกทันที

"อาหารใกล้เสร็จแล้ว ไปล้างมือก่อน!"

"ได้เลยครับ!"

หลังจากล้างมือเสร็จเขาก็นั่งลงที่โต๊ะอาหาร โจวรุ่ยรู้สึกได้เลยว่าอารมณ์ของแม่ดีมาก บนโต๊ะยังมีซี่โครงหมูจานใหญ่ที่นาน ๆ ทีจะได้เห็น โจวรุ่ยอดไม่ได้ที่จะถาม

"วันนี้มีเรื่องอะไรดี ๆ เกิดขึ้นหรือเปล่าครับ?"

เหยาเพ่ยลี่แม่ของเขาสะบัดผมเล็กน้อยอย่างอารมณ์ดี ทำเป็นพูดแบบไม่ใส่ใจ

"ไม่มีเรื่องดี ๆ จะกินของดี ๆ ไม่ได้หรือไง?"

แต่เพียงไม่กี่วินาที แม่ของเขาก็เก็บอารมณ์ไม่อยู่ กระซิบเบา ๆ บอกลูกชาย

"เมื่อวานแม่ไม่ใช่โทรหาลุงใหญ่ของลูกเหรอ? วันนี้เขาไปถามคนรู้จักมา แล้วก็มีเรื่องรื้อถอนจริง ๆ ด้วยนะ ที่สำคัญคือคนข้างบนยังไม่ค่อยมีใครรู้เลย ตอนที่ลุงลูกไปถาม คนที่นั่นยังสงสัยกันว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวอีก"

โจวรุ่ยแอบยิ้มมุมปาก คิดในใจ คนที่ปล่อยข่าวมันก็ต้องเป็นคนเกิดใหม่น่ะสิ

เหยาเพ่ยลี่ยังพูดต่อ

"เขาบอกว่าช่วงปลายปีนี้หรือไม่ก็ต้นปีหน้าข่าวจะถูกประกาศออกมา โจวรุ่ย ครั้งนี้ลูกช่วยไว้เยอะเลยนะ กลับไปลูกต้องขอบคุณเพื่อนคนนั้นนะ จำชื่อได้ไหม? จางเฉวียนตันอะไรนั่นใช่ไหม?"

โจวรุ่ยรีบตอบ

"ขอบคุณอะไรล่ะครับ ผมไม่ค่อยสนิทกับเขาหรอก แค่บังเอิญได้ยินเฉย ๆ อีกอย่างแม่ก็บอกแล้วว่าเรื่องนี้ยังเป็นความลับอยู่ ถ้าผมไปขอบคุณเขาตอนนี้ มันจะไม่เป็นการทำให้เขาเดือดร้อนเหรอ โดยเฉพาะกับพ่อแม่เขา"

เหยาเพ่ยลี่คิดตามแล้วพยักหน้า

"ก็จริงนะ ลุงลูกก็ย้ำเหมือนกันว่าเรื่องนี้ก่อนที่ทางการจะประกาศ อย่าไปพูดให้ใครฟัง โดยเฉพาะคนในละแวกนี้ ไม่งั้นจะทำให้การรื้อถอนยุ่งยากขึ้นเยอะ"

เหยาเพ่ยลี่เป็นข้าราชการ เธอเองไม่ค่อยเดือดร้อนอะไรมากจะได้เท่าไหร่ก็ยอมรับ ขอแค่รอเวลาอย่างสงบ แต่คนอื่นไม่ใช่แบบนั้น บางคนก็ต่อรองราคาที่ดินจนพุ่งสูงลิ่ว บางคนเรียกเงินชดเชยหลักหลายสิบล้าน หรือแม้แต่หลักร้อยล้านก็มีให้เห็นทั่วไป

ยิ่งไปกว่านั้นคนที่อยากสร้างความวุ่นวายก็จะดึงคนที่แต่เดิมไม่อยากยุ่งเกี่ยวมาเข้าร่วมด้วยเพื่อเพิ่มแรงต่อรอง

เพราะเหตุนี้ ข่าวเกี่ยวกับการรื้อถอนมักถูกเก็บเป็นความลับสุดยอด ก่อนจะประกาศอย่างรวดเร็ว และดำเนินการให้จบอย่างรวดเร็วที่สุด ลุงของโจวรุ่ยตอนที่ไปสอบถาม คนในสำนักงานก่อสร้างยังตกใจ คิดว่าใครปล่อยข่าวออกมา

เขาเตือนอย่างหนักแน่นว่าห้ามแพร่งพรายเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นแผนการอาจถูกยกเลิกไปเลย

แต่ถึงพวกเขาจะฉลาดมากแค่ไหน ก็คงไม่มีทางเดาได้ว่าคนปล่อยข่าวคือคนเกิดใหม่

สรุปแล้วบ้านเขากำลังเจอเรื่องดีๆ เป็นเรื่องดีที่ต้องเก็บเงียบไว้ ทำให้เหยาเพ่ยลี่อารมณ์ดีมาก เลยทำอาหารดี ๆ สองสามอย่างมาเสริมบำรุงให้ลูกชายด้วย

โจวรุ่ยกินซี่โครงหมูไปพลาง คิดเรื่องหาเงินก้อนโตไปพลาง ในเมื่อแม่ยืนยันแล้วว่าข่าวเป็นความจริง การซื้อบ้านอีกหลังหนึ่งน่าจะได้รับการสนับสนุน

เงื่อนไขคือต้องมีเงินก่อน

ตอนนี้ดูเหมือนการเริ่มจากดนตรีจะเป็นวิธีที่น่าเชื่อถือที่สุด ด้วยความสามารถ "สัมผัสทางดนตรีขั้นสูง" ของเขา ขอแค่เสริมความรู้พื้นฐานเรื่องดนตรี เช่น โน้ตห้าเส้นในสมอง ก็สามารถสร้างเพลงที่เคยได้ยินในอดีตออกมาได้

ถึงจะไม่เหมือนเป๊ะทุกโน้ต แต่ให้เหมือน 95% ทำได้แน่นอน

อย่างไรก็ตาม เพราะอดีตเขาไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับวงการนี้มาก่อน เลยไม่รู้ว่าต้องดำเนินการอย่างไรถึงจะเปลี่ยนเพลงเป็นเงินได้จริง

การเขียนเพลงในหัวออกมาเป็นโน้ตเพลงได้ แค่ก้าวแรกเท่านั้น กว่าจะได้เงินตอบแทนที่สมเหตุสมผล ยังมีขั้นตอนซับซ้อนอีกมากมาย

เขารู้วิธีที่คนส่วนใหญ่ทำกันคือเขียนเพลงออกมาแล้วจดลิขสิทธิ์ จากนั้นก็ส่งเพลงไปตามบริษัทต่าง ๆ คล้ายการยื่นใบสมัครงาน แล้วรอให้มีคนเลือก

แต่วิธีนี้ในสายตาเขาโคตรจะไร้ประโยชน์ ต่อให้เพลงดีแค่ไหนก็ไม่ใช่ว่าจะมีคนเลือกแน่นอน และต่อให้มีคนเลือก ก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้เงินดี

เขาไม่มีทั้งเส้นสายในวงการเพลงและไม่มีเอเจนซี ถ้าจะหาเงินก้อนแรกให้ได้ ต้องวางแผนดี ๆ

หลังจากกินข้าวเสร็จ โจวรุ่ยกลับเข้าห้องตัวเอง วันนี้เขายังไม่ได้เริ่มทำการบ้าน แต่หยิบมือถือของหลี่เหวินเชี่ยนที่เต็มไปด้วยสติ๊กเกอร์วิบวับขึ้นมาแทน

ก่อนเลิกเรียนเขานัดกับหลี่เหวินเชี่ยนไว้แล้วว่าพรุ่งนี้เช้าจะลอกการบ้านเธอ ดังนั้นคืนนี้โจวรุ่ยเลยเตรียมใช้มือถือเครื่องนี้วางแผนหาเงินก้อนแรกให้เต็มที่

กลิ่นหอมอ่อน ๆ ลอยมาจากมือถือ โจวรุ่ยยกขึ้นมาดมอย่างสงสัย ในฐานะผู้ชายแล้ว เขาไม่เข้าใจว่ามือถือทำไมถึงมีกลิ่นหอมแบบนี้

หรือจะต้องฉีดน้ำหอมไว้?

สิ่งแรกที่เขาทำคือเปิดหน้าเว็บไซต์ข่าวของยุคนี้ ทั้ง "ซินหลาง" และ "หวังอี้" เพื่ออ่านข่าวต่าง ๆ ในปี 2009 สำรวจสถานการณ์ปัจจุบัน แล้วลองดูว่าจะมีอะไรจุดประกายความคิดเขาได้บ้าง

ยุคนี้อินเทอร์เน็ตบนมือถือเพิ่งเริ่มต้น แต่สมรภูมิหลักของอินเทอร์เน็ตยังอยู่ที่หน้าเว็บ PC โดยเฉพาะเว็บไซต์ข่าวที่มีบทบาทสำคัญในโลกออนไลน์ บริษัทพอร์ทัลต่าง ๆ ลงทุนทรัพยากรอย่างมากเพื่อชิงพื้นที่ในตลาดนี้

เมื่อเทียบกับยุคหลังที่เต็มไปด้วย “ข่าวเรียกยอดวิว” เช่นพาดหัว “ช็อกโลก” หรือ “หญิงสาวคนหนึ่ง XXX” อะไรแบบนั้น ในช่วงเวลานี้ข่าวบนเว็บไซต์ยังคงเน้นความจริงจัง และมีคุณภาพน่าเชื่อถือมากกว่า

ข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตในยุคนี้มีเยอะมาก แต่มือถือช้า เว็บโหลดค้าง แถมยังไม่มี Wi-Fi 3G เองก็ยังไม่แพร่หลาย บางครั้งการเปิดเว็บหน้าเดียวต้องรอนานถึงสิบกว่าวินาที แถมบางทีอ่านข่าวจนจบแล้ว แต่รูปภาพยังโหลดมาเป็นชั้น ๆ เหมือนเกม Tetris ไม่มีผิด

ข่าวที่ปรากฏมากที่สุดในช่วงนี้คือวิกฤตเศรษฐกิจปีที่แล้ว ข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้มีอยู่เต็มไปหมด เพราะมันส่งผลกระทบต่อทุกวงการ

ตั้งแต่วิกฤตซับไพรม์ในสหรัฐปี 2007 ที่ลุกลามไปทั่วโลกในปี 2008 และจนถึงปี 2009 วิกฤตครั้งนี้ก็ยังทรงพลังอยู่

ตามคำกล่าวที่ว่า “คนอื่นล้มละลาย อเมริกาคว้าผลประโยชน์ แต่ถ้าอเมริกาล้มละลาย ก็โบ้ยความผิดไปทั่วโลก”

ในเวลานี้ GDP ของจีนยังไม่แซงญี่ปุ่น ยังไม่มีความมั่นใจในฐานะมหาอำนาจอันดับสองของโลก จีนยังอยู่ในช่วงแสวงหาการยอมรับจากเวทีนานาชาติ คนส่วนใหญ่ยังมองไม่เห็นเบื้องหลังของ "จริยธรรมจอมปลอม" และ "มาตรฐานสองหน้า" ของชาติตะวันตก

ประเทศยังคงพยายามหาตัวตนและพิสูจน์ตัวเอง เช่นการจัดโอลิมปิกปักกิ่งในปีที่แล้ว และงาน World Expo ที่เซี่ยงไฮ้ในปีหน้า ซึ่งตั้งใจจัดอย่างยิ่งใหญ่เพื่อปรับปรุงภาพลักษณ์ระหว่างประเทศ

ในเรื่องแบบนี้ คนจีนมักจัดได้ยิ่งใหญ่และจริงจังที่สุด

ในด้านอื่น ๆ อุตสาหกรรมยานยนต์ยังคงถูกครอบงำโดยแบรนด์ต่างประเทศ แม้จะร่วมทุนมาหลายปี แต่จีนก็ไม่ได้เรียนรู้เทคโนโลยีขั้นสูงได้มากนัก ชาวต่างชาติโกยเงินไปมากมาย แต่กลับปฏิเสธที่จะแบ่งปันเทคโนโลยี แนวคิดเรื่อง "แลกตลาดเพื่อเทคโนโลยี" เริ่มถูกตระหนักว่าเป็นความล้มเหลว

ในด้านอวกาศ แม้ว่าจีนจะเริ่มต้นอย่างช้า ๆ แต่ก็เริ่มมีพัฒนาการ เช่นการส่งยานฉางเอ๋อ 1 ไปดวงจันทร์ แต่เทคโนโลยีในตอนนั้นยังไม่สมบูรณ์ การเดินทางเป็นแบบเที่ยวเดียว

บนอินเทอร์เน็ต มีแต่กระแสเชิดชูญี่ปุ่น อเมริกา เยอรมนี และเกาหลี เนื้อหาเหล่านี้มักกระตุ้นให้คนจีนตั้งคำถามกับตัวเอง ไม่ว่าจะทำอะไรก็ดูเหมือนจะผิดพลาดไปหมด

ในตอนนั้น คำว่า "ปัญญาชน" ยังถือเป็นคำชม

โจวรุ่ยนั่งพิจารณายุคสมัยนี้ด้วยความรู้สึกหลากหลาย เขารู้สึกว่าประเทศพัฒนาไปเร็วมาก เมื่อย้อนคิดถึงตอนที่เขาเพิ่งเริ่มเรียนประถม วัสดุยังขาดแคลน ฤดูหนาวไม่มีผัก ฤดูร้อนไม่มีเงินซื้อผลไม้ หลายคนมีเงินเดือนแค่ร้อยสองร้อยหยวน ไม่พอแม้แต่จะกินข้าวนอกบ้าน

แต่พอถึงช่วงมัธยม ประเทศก็หลุดพ้นจากความขาดแคลนทางวัตถุอย่างชัดเจน โดยเฉพาะภูมิภาคตะวันออกที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว ผักและผลไม้ไม่ใช่ของหายากอีกต่อไป น้ำอัดลม น้ำผลไม้ นม โยเกิร์ต กลายเป็นของที่เด็ก ๆ กินเป็นประจำ

จนกระทั่งเขาอายุสามสิบกว่า จีนกลายเป็นมหาอำนาจอันดับสองของโลก และใกล้จะแซงหน้าอันดับหนึ่งในหลายด้าน

แม้ในช่วงสามสิบปีนี้จะมีช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนเพิ่มขึ้น และบางคนก็ล้มเหลวหรือจมอยู่ในความยากลำบาก แต่ยุคนี้ก็ถือว่าเป็นยุคที่พัฒนาอย่างรวดเร็วและน่าตื่นเต้น

น่าเสียดาย ที่ในปี 2009 ความมั่นใจและความภาคภูมิใจในชาติยังไม่ใช่แนวคิดหลัก คนส่วนใหญ่ยังเชื่อว่า “การเรียนต่อต่างประเทศคือสิ่งที่ดีที่สุด” หรือ “การออกไปต่างประเทศคือทางรอดที่ดีที่สุด” แม้แต่การไปล้างจานก็ยังถูกมองว่าเป็นสิ่งที่มีค่า

ระหว่างที่โจวรุ่ยเลื่อนดูข่าว เขาก็พบสิ่งหนึ่งที่แตกต่างออกไป

“ปีนี้เป็นปีครบรอบ 60 ปีการก่อตั้งประเทศ ทางกระทรวงวัฒนธรรมได้เชิญชวนจากทุกภาคส่วนเพื่อเข้าร่วมกิจกรรม ‘ร้องเพลง 60 ปีแห่งชาติ’ และส่งผลงานเพลงเข้าประกวด”

ข่าวนี้ดูธรรมดาและเป็นทางการมาก ด้านล่างมีเพียงอีเมลสำหรับติดต่อแต่กลับอยู่ในตำแหน่งที่เด่นบนหน้าเว็บไซต์

โจวรุ่ยมองข่าวนี้พร้อมคิดในใจ

“นี่มันประกวด ‘เพลงแดง’ นี่นา?”

เขาอดขำไม่ได้ คิดว่าในปี 2009 ที่เพลงป๊อปกำลังครองตลาด การประกวดเพลงแดงแบบนี้คงมีแค่คนจัดงานที่ตื่นเต้นกันเอง

แต่พอเขากำลังจะเลื่อนผ่าน ก็พลันนึกถึงเพลงหนึ่งขึ้นมา

มันเป็นเพลงที่มีความเป็น “แดง” อย่างแท้จริง และในขณะเดียวกันก็กลายเป็นเพลงป๊อปยอดฮิตในยุคถัดไป

ทำนองเพลงหนึ่งลอยขึ้นมาในใจของโจวรุ่ย

“ฝ่าฝูงชนไป อย่าหยุดเดินต่อ”

“รีบคว้าเอาความหวังที่ยังคงมี”

…………………………………………………………………………………………………………………………….

บทที่ 14 ทะเลแห่งดวงดาว

ยิ่งโจวรุ่ยคิดเขายิ่งรู้สึกว่าเพลงนี้เหมาะสมมาก

ทำนองที่ไพเราะและเร้าอารมณ์ โดยเฉพาะเมโลดี้ที่ติดหูสุด ๆ แม้กระทั่งในยุคของวิดีโอสั้นที่เพลงถูกนำมาใช้เพียงเศษเสี้ยว เพลงนี้ยังคงโดดเด่นและได้รับความนิยม

เพลงนั้นก็คือ 《ทะเลแห่งดวงดาว》

หลายคนได้ฟังเพลงนี้ครั้งแรกจากคลิปวิดีโอสั้น และเข้าใจว่าเป็นเพลงรัก แต่ความจริงแล้วเพลงนี้หลังจากถูกปล่อยออกมาไม่ได้ดังเปรี้ยงในทันที แต่กลับได้รับความสนใจหลังจากถูกใช้ในงานเฉลิมฉลองเส้นทางร้อยปีของประเทศ

ยิ่งไปกว่านั้นมันยังถูกเลือกเป็นเพลงประกอบซีรีส์สารคดีเกี่ยวกับโครงการสำรวจดวงจันทร์อีกด้วย

นี่คือผลงานที่ผสมผสานระหว่างดนตรีป๊อปและคุณค่าในแบบกระแสหลักได้อย่างลงตัว

ในชาติก่อน หลังจากที่โจวรุ่ยได้รู้เรื่องราวเบื้องหลังเพลงนี้ เขาถึงกับไปหาฟังทั้งสองเวอร์ชันของเพลง โดยเฉพาะเนื้อเพลงที่เขาใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง เสียงร้องใส ๆ ของนักร้องหญิงสะท้อนถึงความยิ่งใหญ่ของยุคสมัยที่เปลี่ยนผ่าน

เมโลดี้ของ 《ทะเลแห่งดวงดาว》 เริ่มดังขึ้นในหัวของโจวรุ่ย หากไม่นับเรื่องที่เขาเกิดใหม่ ชาติก่อนใน “สัปดาห์ที่แล้ว” เขายังเปิดเพลงนี้วนไปมาอยู่เลย

ด้วยความสามารถ “สัมผัสทางดนตรีขั้นสูง” ที่เขามี รายละเอียดของเพลง เช่น เสียงประกอบพื้นหลัง เครื่องดนตรีในท่อนหลัก คอร์ดที่เปลี่ยนในท่อนฮุค หรือแม้กระทั่งเทคนิคการร้อง ล้วนลอยขึ้นมาในสมองอย่างชัดเจน

เพลงนี้ไม่ได้มีการเรียบเรียงที่ซับซ้อนนัก แค่ใช้เปียโนกับเบสก็เพียงพอ ความยากในการร้องมีบ้าง แต่สิ่งสำคัญคือการถ่ายทอดอารมณ์เสียงที่นุ่มนวลและทรงพลัง

เมื่อมีโครงร่างในใจแล้ว โจวรุ่ยไม่ลังเลอีกต่อไป เขารีบเริ่มเรียนรู้การใช้โน้ตห้าเส้นทันที

ใช่แล้ว ในตอนนี้เขาคือ “อัจฉริยะด้านดนตรีที่อ่านโน้ตเพลงไม่ออก

การจะแปลงเมโลดี้ในหัวให้กลายเป็นโน้ตเพลงเพื่อจดลิขสิทธิ์ เขาคงทำแค่ฮัมออกมาแล้วส่งไปไม่ได้แน่นอน เขาต้องเขียนออกมาให้เป็นไปตามกฎระเบียบ และแม้จะเคยเรียนเกี่ยวกับบรรทัดห้าเส้นแบบคร่าว ๆ ในวิชาดนตรีตอนมัธยมต้น เขาก็แทบลืมไปหมดแล้ว

โน้ตห้าเส้น ไม่ได้ยากเกินไป คนมักพูดกันว่าการเข้าใจกฎพื้นฐานของมันใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมง เพราะมันแค่ระบุตำแหน่งของโน้ตตามเส้นเท่านั้น แต่ถ้าจะให้ใช้งานคล่อง หรือแค่เหลือบมองแล้วเล่นได้เลย ต้องใช้เวลาเรียนรู้เป็นปี

โชคดีที่โจวรุ่ยไม่ต้องการถึงระดับนั้น ตอนนี้เขาแค่ต้องการเขียนเมโลดี้ในหัวออกมาให้ได้ในรูปแบบที่ถูกต้อง

เหมือนเขาที่ได้สูตรคณิตศาสตร์มาแล้ว ตอนนี้แค่ใส่ตัวเลขลงไปเท่านั้น

แม้จะต้องใช้เวลาทั้งคืน แค่เขาเขียนเพลงให้เสร็จตามกฎได้ก็พอ แม้ว่าอ่านกลับเองแล้วยังติดขัด แต่ก็ไม่เป็นไร

เพลงนี้มีสองเวอร์ชัน คือเวอร์ชันป๊อปและเวอร์ชันร้อยปี ซึ่งโจวรุ่ยเคยฟังทั้งสอง แต่รู้สึกว่าเนื้อร้องของเวอร์ชันร้อยปีนั้นตรงเกินไป ทำให้ไม่ดึงดูดเท่าเวอร์ชันดั้งเดิมที่ใช้การเปรียบเปรย ดังนั้นเขาจึงเลือกใช้เนื้อเพลงเวอร์ชันต้นฉบับ

ยิ่งเป็นการเปรียบเปรย ก็ยิ่งดูจริงใจ

เมื่อโจวรุ่ยเขียนเพลงเสร็จ เขามองดูโน้ตเพลงที่เขียนบนกระดาษโน้ตที่ขีดเส้นเองด้วยไม้บรรทัดอย่างพอใจ

คงไม่มีใครเขียนโน้ตเพลงแบบนี้อีกแล้วแน่ ๆ!

เขาใช้มือถือของหลี่เหวินเชี่ยนถ่ายรูปโน้ตเพลงไว้ และเมื่อมองนาฬิกา ก็พบว่ามันเลยมาตีสองแล้ว

เขารีบไปล้างหน้าและเข้านอน

ก่อนนอนเขาแอบย่องไปหยิบบัตรประชาชนของตัวเองจากใต้ตู้ทีวีที่แม่ซ่อนไว้

แม่เขาเก็บไว้เพื่อไม่ให้เขาแอบไปเล่นร้านอินเทอร์เน็ต แต่โจวรุ่ยรู้นานแล้วว่ามันซ่อนอยู่ตรงไหน

พรุ่งนี้เขาต้องหาวิธีสแกนโน้ตเพลงเพื่อดำเนินการจดลิขสิทธิ์ และบัตรประชาชนเป็นสิ่งจำเป็น

“แค่วันเดียว คงไม่โดนจับได้หรอกมั้ง”

โจวรุ่ยยังมีบัตรATMที่เคยขอแม่ทำให้ตอนอายุ 12 เพราะอยากแสดงให้แม่เห็นว่าเขา “โตแล้ว” เอาไว้เก็บเงินอั่งเปา

แต่ความจริงคือเขาแทบไม่ได้ใช้ เพราะญาติของเขาน้อยมาก แถมก่อนที่อั่งเปาจะได้เข้าสู่กระบวนการฝากเงิน แม่ของเขาก็ยึดไปหมดด้วยข้ออ้างต่าง ๆ

เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว โจวรุ่ยก็ล้มตัวลงนอน

เขาเข้านอนดึกขึ้นเรื่อย ๆ ต้องรักษาเส้นผมตัวเองไว้บ้าง

เช้าวันรุ่งขึ้น

โจวรุ่ยไปรับหลี่เหวินเชี่ยนเหมือนเดิม

"มือถืออาจต้องใช้ต่ออีกหน่อย ให้ฉันช่วยเก็บให้อีกวันดีไหม?"

หลี่เหวินเชี่ยนทำจมูกย่นเล็กน้อยแสดงอารมณ์น้อยใจ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ เพราะขนมผลไม้ในมือของโจวรุ่ยที่อยู่หน้าเธอนั้นล่อตาล่อใจเกินไป

"เอาเถอะ ให้ใช้ก็ได้ ใครใช้ให้นายเอาไปส่งมอบให้แม่ตัวเองล่ะ ป้าเหยาต้องหัวเราะลั่นแน่เลย!"

โจวรุ่ยยิ้มแหย ๆ "อย่าพูดเลย แค่ตอนนี้หน้าก็เจ็บพอแล้ว"

"ว่าแต่นายทำอะไรอยู่กันแน่ล่ะ? ดูลึกลับเชียว"

หลี่เหวินเชี่ยนนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานเธอยังไม่ได้ถามโจวรุ่ยเลยว่าเขาจะเอามือถือไปทำอะไร

นี่เธอเชื่อฟังเกินไปหรือเปล่า? ขอปุ๊บก็ให้เลย ขนมแค่ชิ้นเดียวก็หลอกเธอไปทั้งคืน!

โจวรุ่ยไม่ได้คิดจะปิดบังหลี่เหวินเชี่ยน เพราะแผนต่อไปของเขายังไงก็ต้องพึ่งเธออยู่ดี เพลง 《ทะเลแห่งดวงดาว》 จะต้องอัดเดโม และนักร้องที่เขาคิดไว้ก็คือว่าที่ราชินีเพลงในอนาคตคนนี้นี่แหละ!

"เขียนเพลงน่ะ"

โจวรุ่ยตอบออกมาตรง ๆ

หลี่เหวินเชี่ยนถึงกับชะงัก คิดว่าตัวเองหูฝาด

"เขียนเพลง? นายเนี่ยนะ? จริงเหรอ?"

ไม่ใช่ว่าเธอไม่เชื่อในตัวโจวรุ่ย แต่ตั้งแต่เด็กมา ทั้งเธอและเขาไม่เคยได้รับการฝึกด้านดนตรีใด ๆ เลย

โจวรุ่ยหยิบมือถือของหลี่เหวินเชี่ยนมาเปิดรูปโน้ตเพลงที่เขาเขียนเมื่อคืนให้ดู

"ดูนี่ ผลงานของฉันเอง ใช้เวลาทั้งคืนเขียนจริง ๆ ไม่ได้โม้!"

หลี่เหวินเชี่ยนเบิกตากว้าง

"นี่มันโน้ตห้าเส้น! แล้วนายไปหัดเขียนแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?"

ว่าที่ราชินีเพลงในอนาคต ตอนนี้ยังอ่านโน้ตห้าเส้นไม่ออกเลยด้วยซ้ำ แต่เธอกลับมองโจวรุ่ยในตอนนี้แล้วรู้สึกว่าเขากำลังเปล่งประกาย

โจวรุ่ยยิ้ม ก่อนจะยื่นมือไปลูบผมบ๊อบทรงเห็ดของเธอเบา ๆ

บอกเลยว่าผมนุ่มมาก เป็นความนุ่มที่มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ แม้ทรงผมจะดูเชยไปหน่อย แต่หลี่เหวินเชี่ยนเองก็ไม่ได้เป็นสาวที่ปล่อยตัว

"วีธีเขียนโน้ตห้าเส้นมันไม่ซับซ้อน ฉันใช้เวลาศึกษานิดหน่อยเอง ไม่ต้องตาโตขนาดนั้น ตาเธอก็โตอยู่แล้วนะ อีกอย่าง ถ้าฉันจดลิขสิทธิ์เสร็จ เธอต้องช่วยฉันอัดเดโมด้วยล่ะนะ"

หลี่เหวินเชี่ยนส่ายหน้าไปมา

"ฉันเหรอ? ไม่ไหวหรอก! ฉันอ่านโน้ตก็ไม่ออก แถมยังไม่ค่อยได้ร้องเพลงอีก"

เธอยังไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองมีพรสวรรค์แค่ไหน แต่โจวรุ่ยรู้ดี และไม่มีใครมั่นใจในตัวเธอมากเท่าเขาอีกแล้ว

ไม่จำเป็นต้องอ่านโน้ตเพลงด้วยซ้ำ โจวรุ่ยสามารถสอนเธอร้องทีละประโยคได้

เสียงของหลี่เหวินเชี่ยนเหมาะกับเพลง 《ทะเลแห่งดวงดาว》 อย่างมาก แม้ว่าเธอยังไม่ได้รับการฝึกฝนใด ๆ แต่เสียงธรรมชาติของเธอก็ยังเหนือกว่านักร้องมืออาชีพหลายคน

พรสวรรค์จากฟ้าจะปล่อยให้เสียของได้ยังไง?

ระหว่างที่ทั้งสองเดินไปด้วยกัน หลี่เหวินเชี่ยนก็พูดขึ้นมา

"จริงสิ ฉันได้ยินมาว่าห้องนายมีเด็กใหม่ย้ายเข้ามา เป็นเด็กที่ย้ายมาเพราะสอบเข้ามหาวิทยาลัยเหรอ?"

โจวรุ่ยตอบอย่างตรงไปตรงมา

"ใช่ เพิ่งมาเมื่อวานตอนบ่ายเอง"

หลี่เหวินเชี่ยนพยักหน้าเล็กน้อย แต่ไม่ได้ถามอะไรต่อ

เธอยังไม่รู้เลยว่าเด็กสาวคนนี้ ซึ่งลือกันว่าอาจจะคว้าตำแหน่งดาวโรงเรียนไปครองนั่งข้างโจวรุ่ย

แถมยังมีความสัมพันธ์แนบแน่นถึงขั้นเคยช่วยชีวิตกันมา

และเธอยังไม่รู้ว่ามือถือของตัวเองกำลังถูกใช้ทำเรื่องสำคัญมากแค่ไหน

เมื่อถึงหน้าโรงเรียน ทั้งสองแยกย้ายกันไปที่ห้องเรียนของตัวเอง

เมื่อโจวรุ่ยเดินเข้ามาในห้องเรียน เก้าอี้ข้าง ๆ ยังว่างอยู่เพราะหานจื่ออิ่นยังไม่มา เขาวางกระเป๋าลงและเตรียมจัดของในโต๊ะเรียน

แต่ทันใดนั้น มือเขาก็สัมผัสเข้ากับวัตถุแข็ง ๆ

เมื่อหยิบขึ้นมาดู เขาก็แทบอุทานออกมา

"เวรเอ๊ย! มือถือเครื่องใหม่!"

กล่องแข็งสีขาวสะอาดที่ดูมีระดับ ด้านบนพิมพ์โลโก้ Nokia และมีภาพของมือถือแบบสไลด์ที่มีทั้งหน้าจอสัมผัสและคีย์บอร์ดครบครัน

นี่คือ Nokia N97 มือถือรุ่นสุดท้ายก่อนที่ Nokia จะตกจากบัลลังก์

ถ้าจำไม่ผิด รุ่นนี้ยังไม่วางขายในจีนด้วยซ้ำ แต่ด้วยดีไซน์ล้ำยุคและสเปกที่ดีที่สุดในยุคนั้น มันถูกขนานนามว่า "ราชาแห่งมือถือยุคแรก"

เขาจำได้ว่าในชาติที่แล้ว ตอนปี 1 มีเพื่อนร่วมชั้นที่เป็นลูกคนรวยคนหนึ่งใช้มือถือรุ่นนี้ ตอนนั้น Nokia ยังเป็นเจ้าแห่งมือถือ การถือเครื่องนี้เป็นสัญลักษณ์ของฐานะ

ในปี 2009 มือถือรุ่นนี้ราคาสูงถึง 6,000 กว่าหยวน

แต่ตอนนี้มันกลับโผล่มาอยู่ในโต๊ะเรียนของโจวรุ่ย

เขาหันมองไปรอบ ๆ แต่ไม่สามารถเดาได้เลยว่าใครเป็นคนเอามาวางไว้

นี่มันอะไรกัน? ของขวัญเหรอ? หรือใครสักคนวางผิดที่?

ราคามือถือแบบนี้ แพงเกินไปสำหรับนักเรียนมัธยมปลายแน่นอน

ขณะที่เขากำลังคิดอยู่นั้น เขาก็เห็นหานจื่ออิ่นเดินเข้ามาในห้องเรียนอย่างสง่างาม

คอระหงของเธอเชิดขึ้นเล็กน้อย สายตาไม่แม้แต่จะมองไปรอบ ๆ

แต่เมื่อสายตาของเธอประสานกับโจวรุ่ย เธอกลับหลบตาอย่างรวดเร็ว ราวกับรู้สึกเขินอาย

โจวรุ่ยคิดในใจ: "หรือจะเป็นเธอ?"

(จบบท)

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด