003-004
บทที่ 3 ผู้ใหญ่ไม่มีสิทธิ์เรียนมัธยมปลาย... ถ้าไม่มีตัวช่วย!
หลังจากปรับอารมณ์ให้พร้อมแล้วและพาหลี่เหวินเชี่ยนที่เหมือนหางติดตัวไปด้วย โจวรุ่ยก็มุ่งหน้ามายังประตูโรงเรียนที่ทั้งคุ้นเคยและแปลกใหม่ด้วยความหวังเต็มเปี่ยม
มองไปยังร้านค้าที่เรียงรายกันแบบไม่เป็นระเบียบ แต่ก็ดูเหมือนจะมีระบบในความวุ่นวายนั้น บนกำแพงมีโปสเตอร์เกม “Club Audition” แปะอยู่ รวมถึงแผ่นซีรีส์ละคร “เซียนกระบี่พิชิตมาร” แบบเถื่อนแขวนขายอยู่ด้วยเหมือนกัน
ตรงหน้าประตูโรงเรียน ครูฝ่ายปกครองทำหน้าดุคอยตรวจความเรียบร้อยของนักเรียน ทั้งทรงผมและเครื่องแบบ พร้อมกับมองนาฬิกาทุกๆ ห้าวินาที เพื่อดูว่าอีกนานแค่ไหนจะมีนักเรียนโชคร้ายมาสาย
ที่มุมหนึ่ง มีนักเรียนหลายคนเพิ่งเริ่มจัดเสื้อผ้าก่อนเข้าประตูโรงเรียน บางคนปลดชุดนักเรียนที่พันรอบเอวออกมา เพื่อปรับลุคที่คิดว่าดูเท่ตามแฟชั่นของตัวเอง
และที่เหลือก็เป็นนักเรียนธรรมดาๆ ที่แม้จะดูง่วงนอน แต่ก็ยังเต็มไปด้วยความสดใสแบบวัยรุ่น
โจวรุ่ยสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะค่อยๆ พ่นลมหายใจออกมา เหมือนจะปลดปล่อยความเหนื่อยล้าที่สะสมมานับสิบปีออกจากปอดเพื่อเตรียมพร้อมเผชิญชีวิตใหม่
หลี่เหวินเชี่ยนยังคงมีอารมณ์น้อยใจเรื่องอาหารเช้า เธอเหลือบมองโจวรุ่ยด้วยสายตาไม่พอใจ ก่อนจะเร่งฝีเท้าเข้าไปในประตูโรงเรียน
แม้ว่าทั้งคู่จะเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก แต่ในโรงเรียน พวกเขาก็ไม่อยากทำตัวติดกันตลอดเวลา เพราะกลัวว่าจะโดนลือว่าเป็นแฟนกัน
ทุกครั้งที่เดินมาใกล้ประตูโรงเรียน ทั้งสองคนมักจะแยกกันเดินอย่างรู้ใจ โจวรุ่ยในชีวิตก่อนเองก็ยืนยันที่จะทำแบบนี้ เพราะกลัวคนพูดไปต่างๆ นานา แต่ตอนนี้โจวรุ่ยกลับรู้สึกขำ
"ยัยเด็กขี้อาย ตามใจเธอแล้วกัน"
ทั้งคู่ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกัน โจวรุ่ยพอจำได้ลางๆ ว่าเขาอยู่ห้องเจ็ด ส่วนหลี่เหวินเชี่ยนน่าจะอยู่ห้องห้าหรือห้องหก
ตอนเดินผ่านห้องน้ำ โจวรุ่ยเอียงตัวไปมองกระจก เขาย้อนกลับมาเกิดใหม่ระหว่างทางไปโรงเรียน และอยากเห็นว่าตอนนี้ตัวเองหน้าตาเป็นยังไง
"สะอาด สดใส สูง 179 เซนติเมตร" ดูเป็นนักเรียนมัธยมปลายธรรมดาๆ แต่เพราะดวงตาที่ดูมีเสน่ห์ จึงพอจัดให้อยู่ในกลุ่มคนหน้าตาดีได้
ถึงอย่างนั้น ชุดนักเรียนที่หลวมโพรก กับทรงผมที่เริ่มเสียทรงไปหน่อย ก็ทำให้ดูเด็กไปนิด
"ไม่เป็นไร ความเด็กก็แปลว่าอ่อนเยาว์ นั่นหมาถึงโอกาสที่ไร้ขีดจำกัด"
เมื่อเดินมาถึงห้องเรียนตามความทรงจำ โจวรุ่ยมาถึงช้ากว่าคนอื่นเพราะมัวเสียเวลาในตอนเช้า ห้องเรียนจึงเกือบเต็มแล้ว
นักเรียนในห้องแต่ละคนดูคุ้นหน้ากันหมด แต่โจวรุ่ยกลับจำชื่อได้ไม่กี่คน
ปัญหาที่ใหญ่กว่าคือเขาไม่รู้ว่าตัวเองนั่งตรงไหน จำได้แค่ว่าน่าจะอยู่แถวหลังๆ
"ซวยแล้ว จะให้ถามคนอื่นว่าเรานั่งตรงไหนก็ไม่ใช่เรื่อง..."
ระหว่างที่กำลังลำบากใจ จู่ๆ เขาก็รู้สึกเหมือนมีอะไรแข็งๆ ดันเข้าที่หลังเอว
พอหันไปมอง ก็เห็นว่าเป็นหนังสือที่ม้วนไว้ คนที่ถือมันคืออาจารย์ประจำชั้น หวังเต๋อเว่ย อีกฝ่ายทำหน้าดุใส่พร้อมพูดว่า
"อีกแล้วเหรอ มาสายจนถึงเส้นตายอีกแล้วใช่ไหม?"
โจวรุ่ยเผลอเรียกอีกฝ่ายตามที่เคยเรียกในชีวิตก่อน "เฮ้ย! เฒ่าหวัง!"
หวังเต๋อเว่ยสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะคิดว่านี่คงเป็นชื่อเล่นที่นักเรียนตั้งให้ เขาเลยไม่สนใจอะไร แล้วเดินขึ้นไปที่หน้าชั้น
"วันนี้จะเปลี่ยนที่นั่ง ทุกคนยืนขึ้น!"
เสียงเก้าอี้ลั่นไปทั่ว นักเรียนทั้งหมดกลับไปที่เดิมแล้วยืนขึ้นตามคำสั่ง
หวังเต๋อเว่ยชี้ไปทางที่หนึ่งก่อนพูดว่า "โจวรุ่ย! ยังไม่กลับไปที่ของตัวเองอีก?"
โจวรุ่ยมองตามนิ้วไป เห็นว่ามีที่นั่งว่างอยู่พอดี ถึงได้จำได้ว่าสมัยมัธยมปลายจะมีการเปลี่ยนที่นั่งทุกเดือน เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กชายหญิงนั่งใกล้กันนานๆ พัฒนาความสัมพันธ์เกินเพื่อน
การจัดที่นั่งนั้นถูกกำหนดไว้แล้วโดยครูประจำชั้น คนที่เรียนเก่งจะถูกจับคู่กัน คนที่อยากเรียนแต่ไม่เก่งจะถูกจับคู่กับคนเก่ง ส่วนคนที่ทั้งเกรดแย่และไม่อยากเรียน ก็จะถูกโยนไปอยู่หลังห้อง
แต่เงื่อนไขหลักคือเรื่องส่วนสูง ถ้าสูงเกิน 190 ยังไงก็ไม่ได้นั่งแถวหน้า
โจวรุ่ยที่ถือว่าสูงในตอนแรกควรนั่งหลังห้อง แต่เพราะพยายามเรียนมากขึ้นในช่วงปีสุดท้าย หวังเต๋อเว่ยเลยจัดเขาไว้แถวกลางๆ
เมื่อเดินไปนั่งที่แล้วเปิดหนังสือ ก็พบว่านี่คือของตัวเองจริงๆ
เพื่อนที่นั่งข้างๆ เป็นผู้ชาย ท่าทางไม่สนใจอะไร โจวรุ่ยพอจำได้ว่าคนนี้แซ่เฉา แต่ชื่อเต็มเขาเองก็จำไม่ได้ เพราะในชีวิตก่อนทั้งคู่ไม่ได้สนิทกัน
การกลับมาเรียนอีกครั้งทำให้โจวรุ่ยรู้สึกว่าทุกอย่างแปลกใหม่จนเผลอยิ้มออกมา
หวังเต๋อเว่ยพูดต่อ "ฉันจะเรียกชื่อตามลำดับ ทุกคนฟังดีๆ อย่าชักช้าจะเสียเวลาเรียน อ้ายปั๋ว! หวังอวี้เหมย! จางจิ้ง!... โจวรุ่ย, เฉาหยาง, หวังจื่อข่าย!"
โจวรุ่ยไม่คาดคิดว่าตัวเองจะถูกจัดให้นั่งในแถวแรกสุด เขารีบรวบของบนโต๊ะมากอดไว้ แล้วเดินไปยังตำแหน่งใหม่
ที่นั่งใหม่นั้นไม่เลวเลย มันอยู่แถวหลังติดหน้าต่าง มุมที่เรียกได้ว่าเป็น "บ้านเกิดของราชา" รับแสงได้เต็มที่ และยังมองเห็นสนามกีฬาได้ชัดเจน
ข้อเสียอย่างเดียวคือในช่วงฤดูร้อน ที่นั่งนี้จะเปลี่ยนเป็นเตาย่างทันที
สำหรับโจวรุ่ยแบ้ว ทุกคนรอบข้างดูไม่คุ้นเคย แต่คนอื่นกลับดูคุ้นเคยกับเขา ไม่มีใครสนใจเป็นพิเศษ
แต่พอมาถึงแถวที่สอง กลับมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น หวังเต๋อเว่ยพูดขึ้นว่า
"ข้างๆ โจวรุ่ยเว้นไว้ก่อน อีกสองวันจะมีนักเรียนย้ายเข้ามา จะได้ไม่ต้องปรับที่นั่งอีก"
โจวรุ่ยนิ่งไปครู่หนึ่ง "นักเรียนย้ายเข้าเหรอ?"
ทำไมเขาไม่จำได้เลย? ในความทรงจำตอนนั้นมีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ?
"ย้ายโรงเรียนก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัยแค่สองเดือนเนี่ยนะ?" เรื่องนี้ทำให้เขานึกถึงคำหนึ่งขึ้นมา
"นักเรียนอพยพ!"
การอาศัยความแตกต่างของคะแนนในแต่ละพื้นที่เพื่อสร้างความได้เปรียบ เป็นสิ่งที่คนบางกลุ่มที่มีเงินหรือมีเส้นสายใช้กัน
แต่ว่าทำไมเขาถึงจำอะไรไม่ได้เลยล่ะ? ตอนนั้นมีคนย้ายมาแบบนี้จริงๆ เหรอ?
โจวรุ่ยได้แต่เก็บความสงสัยไว้
สุดท้ายแล้ว มันก็ผ่านมาเป็นสิบปี อีกทั้งตอนนี้ก็เป็นสองเดือนสุดท้ายของมัธยมปลาย ทุกคนต่างมุ่งมั่นกับการเรียนจนความกดดันล้นพ้น เขาอาจจะลืมไปจริงๆ ก็ได้
"ช่างเถอะ ไม่สำคัญหรอก รีบเก็บประสบการณ์แล้วปลดล็อก【คำสำคัญ】จะดีกว่า!"
หวังเต๋อเว่ยที่เป็นครูฟิสิกส์ หลังจากจัดการเรื่องเปลี่ยนที่นั่งเสร็จก็เริ่มสอนต่ออย่างไม่ติดขัด
ฟิสิกส์มัธยมปลาย!
โจวรุ่ยเปิดหนังสือด้วยสีหน้ามุ่งมั่น
"โจวรุ่ยคนนี้จะขอลองท้าทายดู!"
"ในระนาบแนวตั้ง รัศมี R ของรางวงกลมโค้ง ABC ที่ลื่นและเชื่อมต่อกับรางแนวนอน PA ที่จุด A รางโค้ง BC เป็นเส้นผ่านศูนย์กลางของวงกลม โดย O เป็นจุดศูนย์กลางของวงกลม มุมระหว่าง OA และ OB เท่ากับ a, sin a = 3/5, วัตถุที่มีมวล M..."
ผ่านไปสามนาที...
"เหลือเชื่อ!"
สมัยนั้นเขาทำโจทย์แบบนี้ได้จริงเหรอ?
เอาเถอะ เหมือนจะทำได้จริงๆ...
สำหรับคนส่วนใหญ่ เวลาสุดท้ายในปีสุดท้ายของมัธยมปลายนี่แหละคือจุดสูงสุดในเส้นทาง "ความรู้" ของพวกเขา หลังจากนั้นชีวิตจะมีแค่ความตกต่ำลงเรื่อยๆ
ไม่ใช่ว่าโจวรุ่ยสมองโล่งเปล่า เขาเคยทำงานมาหลายปี ผ่านการเลย์ออฟและวัฒนธรรมการทำงานโหดร้ายแบบ "996" แต่ความรู้จากการทำงานในสังคมมันแทบจะใช้กับวิชาการมัธยมปลายไม่ได้เลย
"รู้น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย!"
ขณะนั้นเอง เสียงราวกับสวรรค์ดังขึ้นในหัวของเขา
[คำสำคัญ: มุ่งมั่น ค่า EXP +1, ความคืบหน้า (1/100)]
โจวรุ่ยรู้สึกตัวสดชื่นขึ้นมาในทันที
"โชคดีที่ฉันมีตัวช่วย!"
ตราบใดที่เขาพยายามตั้งใจฟัง แม้จะฟังไม่เข้าใจและลำบากแค่ไหน ถ้าเขายังอยู่ในโหมดตั้งใจเรียนก็จะได้รับค่าประสบการณ์เพิ่ม!
"นายแค่ตั้งใจ ที่เหลือปล่อยให้ระบบจัดการ!"
โจวรุ่ยฮึดขึ้นอีกครั้งบังคับตัวเองไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน หรือปล่อยตัวให้ขี้เกียจ พยายามทำความเข้าใจกับบทเรียนที่เหมือนภาษาต่างดาวจากปากหวังเต๋อเว่ย
"คำสำคัญ: มีวินัย ค่า EXP +1, ความคืบหน้า (1/100)"
เอาชนะอุปสรรค ปฏิเสธสิ่งล่อลวง และยึดมั่นในเป้าหมาย คือความมีวินัย!
ความรู้สึกที่พยายามแล้วได้รับผลตอบรับในทันทีแบบนี้ มันดีกว่าการดิ้นรนในชีวิตก่อนอย่างมากมาย
อย่างน้อยตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าอะไรคือสิ่งที่ควรทำ
"ทั้งชื่อเสียง เงินทอง และความสำเร็จในอนาคต เริ่มต้นจากการตั้งใจเรียน!"
"และเริ่มต้นที่โรงเรียนชิงเหอหมายเลขหนึ่งแห่งนี้!"
โจวรุ่ยพยายามละเลยข้อความที่เด้งขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง และจดจ่อกับการเรียนที่ยากเย็นแต่ให้ผลลัพธ์ได้
ยิ่งเรียนก็ยิ่งตั้งใจมากขึ้น
"นักเรียนหัวกะทิ ต้องเป็นฉันเท่านั้น!"
"จะบอกให้!"
…………………………………………………………………………………………………………………………….
บทที่ 4 วัยเยาว์ของเหล่าสหายร่วมชั้น
ชั่วโมงเรียนที่ยาวนานกว่า 1 ชั่วโมง 45 นาทีจบลง ก็ถึงช่วงพักระหว่างคาบ 15 นาที โจวรุ่ยถอนหายใจอย่างโล่งอก
โรงเรียนชิงเหอหมายเลขหนึ่งใช้ระบบการเรียนแบบ 8 ชั่วโมง โดยแบ่งเป็นคาบยาว 2 คาบในช่วงเช้าและบ่าย สำหรับนักเรียนประจำยังมีการอ่านหนังสือตอนเช้าและตอนเย็นเพิ่มด้วย
โจวรุ่ยพึ่งท่องไปในมหาสมุทรแห่งความรู้มาราว 2 ชั่วโมง แม้ว่าเขาเกือบจะจมลงไปในทะเลความรู้ แต่เมื่อเห็นข้อความจากระบบที่เด้งขึ้นมาก็ยังพอใจกับผลลัพธ์
[คำสำคัญ: มุ่งมั่น ค่า EXP +1, ความคืบหน้า (7/100)]
[คำสำคัญ: มีวินัย ค่า EXP +1, ความคืบหน้า (5/100)]
[คำสำคัญ: แรงบันดาลใจ ค่า EXP +1, ความคืบหน้า (2/100)]
การออกแบบระบบคำสำคัญสามข้อของเขาดูเหมือนจะเสริมกันอย่างดี เขาแค่พยายามตั้งใจเรียนเพียงอย่างเดียว แต่กลับได้รับค่าประสบการณ์ถึงสามทาง
มันทำให้เขานึกถึงการเล่นเกมในชาติที่แล้ว ที่ต้องออกแบบเส้นทางการเล่นให้มีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อเก็บทรัพยากรให้ได้มากที่สุด
ณ ตอนนี้ "มุ่งมั่น" ดูจะเป็นคำสำคัญที่เก็บค่าประสบการณ์ได้ง่ายที่สุด ขณะที่ "แรงบันดาลใจ" นั้นยากที่สุด
จากการสังเกตข้อความที่เด้งขึ้นมา "แรงบันดาลใจ" ดูเหมือนจะเกิดขึ้นในช่วงที่เขาเชื่อมโยงประสบการณ์ในชีวิตกับความรู้ในบทเรียน จนช่วยให้เข้าใจเรื่องฟิสิกส์ที่ซับซ้อนได้ง่ายขึ้น
ถึงแม้เขาจะจำรายละเอียดของสองครั้งที่ได้รับแรงบันดาลใจไม่ได้ แต่มันก็เกิดขึ้นจริง และที่สำคัญคือระบบรับรู้ถึงการเกิดขึ้นนั้น
ดังนั้น "แรงบันดาลใจ" เป็นค่าประสบการณ์ที่ต้องปล่อยให้เกิดขึ้นเอง
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคำสำคัญอะไร การเก็บค่าประสบการณ์ดูเหมือนจะยากขึ้นเรื่อยๆ โจวรุ่ยยังไม่แน่ใจว่ามันเป็นเพราะความยากที่เพิ่มขึ้น หรือเพราะเขาเริ่มหมดแรงในช่วงหลังของคาบเรียน
เขาคิดว่าทั้งสองปัจจัยน่าจะมีผลร่วมกัน
การใช้สมองอย่างหนักในช่วงสองชั่วโมงนี้ ทำให้เขารู้สึกเหนื่อยยิ่งกว่าตอนประชุมงานในชีวิตก่อน สมองของเขาราวกับใกล้จะโอเวอร์โหลดแล้ว
จนตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองมีอาการน้ำตาลในเลือดต่ำ
"ถ้าถามว่าเรียนรู้ไปได้มากแค่ไหน...ก็ไม่แน่นักนะ"
เมื่อเทียบกับนักเรียนมัธยมปลายคนอื่นๆ รอบตัว เขายังตามหลังพวกเขามาก การพยายามครั้งเดียวไม่สามารถไล่ตามให้ทันได้
ตอนนี้เขาอาจจะเพิ่งเริ่มขยับจากที่โหล่ไปเป็นที่รองโหล่เท่านั้น
อีกสองเดือนข้างหน้าที่ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย คงต้องหวังให้ระบบคำสำคัญช่วยมากกว่านี้!
หากคำนวณจากคาบเรียนแรก วันนี้ถ้าเขาตั้งใจเรียนครบทั้ง 4 คาบ และทำการบ้านตอนเย็นไปด้วย อาจจะเก็บค่าประสบการณ์จาก "มุ่งมั่น" และ "มีวินัย" ได้ถึง (15/100) ในวันแรก
แต่นี่เป็นผลลัพธ์หลังหักลบการลดลงของประสิทธิภาพแล้วนะ
ถ้าในอนาคตความยากเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อาจจะต้องใช้เวลาเกิน 10 วันกว่าจะปลดล็อกคำสำคัญใหม่ได้
สำหรับคนที่มีระบบช่วยเหลือแบบเขา นี่ถือว่าเร็วมาก แต่สำหรับคนที่สมองโล่งเปล่า และเหลือเวลาเพียง 50 วันก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัย มันยังดูค่อนข้างกระชั้นชิดเกินไปจริงๆ
ระหว่างช่วงพัก โจวรุ่ยไม่ได้ปล่อยเวลาผ่านไปเปล่าๆ เขาพยายามสังเกตเพื่อนรอบตัว และทบทวนความทรงจำเพื่อจับคู่ชื่อกับใบหน้าของแต่ละคน
เพื่อนร่วมชั้นที่เขาเคยเจอทุกวันในอดีต เวลานี้ส่วนใหญ่เขาไม่ได้เจอกันมานานนับปีหรือสิบกว่าปีแล้ว
"ลองดูสิ ใครเป็นใครบ้างนะ..."
เหยาหยานฮุย จำได้ว่าเป็นหัวหน้าด้านกีฬา แต่พอขึ้น ม.6 ก็เหมือนจะถูกปลดออก เพราะไม่มีคาบพละให้เรียนอีกแล้ว ครูพละเองก็อ้างว่า "ป่วยบ่อย" สุดท้ายเขาเหมือนไปเป็นเซลล์ขายบ้าน เคยขายโครงการอสังหาริมทรัพย์ในงานเลี้ยงรุ่นด้วย
จางซิน นักเรียนที่ได้ที่หนึ่งตลอดกาลในห้อง เขาจำได้ว่าในชีวิตก่อนจางซินสอบเข้ามหาวิทยาลัยในเซี่ยงไฮ้เหมือนกัน แต่มหาวิทยาลัยของจางซินดีกว่าเขามาก เป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำ หลังจากนั้นก็ไม่มีการติดต่อกันอีกเลย และจางซินก็ไม่เคยไปร่วมงานเลี้ยงรุ่นด้วย
เป็นคนที่ความสัมพันธ์กับเพื่อนแบบธรรมดา แต่หยิ่งทะนงในตัวเอง
ถงซิน นักเรียนหญิงที่ถูกลือว่าเป็น "ดาวโรงเรียน" แม้จะไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่คำเล่าลือนี้ก็แพร่หลายมากพอในโรงเรียนชิงเหอหมายเลขหนึ่ง หลายคนแอบชื่นชอบเธออยู่
ผลการเรียนของเธอธรรมดา ใบหน้าดูดีระดับ 7-8 คะแนน แต่รูปร่างถือว่าเต็ม 9 คะแนน แม้ตอนนี้ชุดนักเรียนจะปกปิดหมดจนมองไม่ออก แต่ในงานเลี้ยงรุ่นหลังเรียนจบ เธอแสดงให้เห็นว่าเธอ "มีของ" จริงๆ และเธอก็ยินดีที่จะอวดมัน
หลังจากนั้นไม่นาน เธอแต่งงานกับลูกชายของเจ้าของกิจการในชิงเหอ และตอนที่โจวรุ่ยกับเพื่อนๆ เพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัย เธอก็คลอดลูกคนแรกเรียบร้อย เป็นการเปลี่ยนผ่านชีวิตที่ไม่ติดขัด
ในขณะที่ตอนนั้นเพื่อนผู้ชายส่วนใหญ่ยังเป็น "เวอร์จิ้น" กันอยู่เลย
อวี่สวี่ปัว หัวโจกของกลุ่มนักเรียนเกเรในห้อง โจวรุ่ยเคยสนิทกับเขาในช่วง ม.4 และ ม.5 สมัยนั้นทั้งคู่เคยทำเรื่องบ้าบอหลายอย่างร่วมกัน แต่พอขึ้น ม.6 ทั้งคู่ก็แยกทางกันไป และหลังจากนั้นอวี่สวี่ปัวก็หายไปจากชีวิตของโจวรุ่ย
เท่าที่เคยได้ยินมา เหมือนว่าเขาจะ "เข้าไปในนั้น"
ซ่งปิน เด็กที่โดนกลั่นแกล้งประจำห้อง เขาอ้วน ใจเย็น แม้จะถูกแกล้งก็ยังแค่หัวเราะ "แฮะแฮะ" ไป หลังจากเรียนจบ โจวรุ่ยไม่ค่อยรู้เรื่องของเขาเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะเขาเคยโดนแกล้งในช่วงมัธยมปลาย ทำให้ไม่อยากมาเจอเพื่อนๆ ในงานเลี้ยงรุ่นเท่าไหร่
แต่สิ่งหนึ่งที่โจวรุ่ยมั่นใจคือ ตัวเขาไม่เคยแกล้งซ่งปิน
สิ่งที่น่าสนใจคือคนที่แกล้งซ่งปินไม่ใช่กลุ่มเด็กเกเรในห้อง แต่กลับเป็นกลุ่มนักเรียนชายที่มีผลการเรียนปานกลาง
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาที่ซับซ้อน คนที่มีผลการเรียนแย่ แม้จะดูเหมือนเป็นพวกน่ากลัว แต่ในห้องเรียนของตัวเอง พวกเขากลับไม่ทำตัวยิ่งใหญ่ และบางครั้งยังออกหน้าปกป้องเพื่อนในห้องเมื่อเจอปัญหาภายนอก
เพื่อนร่วมชั้นที่คุ้นเคยเหล่านี้ แม้ในอนาคตจะมีเส้นทางชีวิตและโชคชะตาที่แตกต่างกัน แต่ในตอนนี้พวกเขายังเป็นเพียงนักเรียนมัธยมปลายที่มีความคิดไม่ซับซ้อน
โจวรุ่ยเตือนตัวเองว่าอย่านำเอาความทรงจำจากชีวิตก่อนมาใช้ตัดสินพวกเขาในตอนนี้ เพราะการเปลี่ยนแปลงของคนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทีละน้อย
เหมือนกับตัวเขาเอง ในอดีตเขาก็เคยเป็นคนที่มุ่งมั่นพยายามสร้างอนาคต แต่หลังจากดิ้นรนในเมืองใหญ่มานานนับสิบปี ความคิดและจิตใจของเขาก็เปลี่ยนไปจากตอนวัยเยาว์โดยสิ้นเชิง
"มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เปลี่ยนไปตามสถานการณ์"
ในขณะที่โจวรุ่ยกำลังมองเพื่อนๆ อยู่ เพื่อนบางคนก็แอบมองเขาเช่นกัน
สำหรับนักเรียนในห้องเจ็ด โจวรุ่ยมีชื่อเสียงพอสมควร เพราะสมัย ม.4 และ ม.5 เขาเป็นคนที่แทบไม่สนใจเรียน แต่พอขึ้น ม.6 กลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ผลการเรียนของเขาดีขึ้นจนแซงหน้าเพื่อนบางคน แม้จะยังไม่ถึงขั้นนักเรียนหัวกะทิ แต่ก็ถือว่าน่าจับตามอง
วันนี้โจวรุ่ยดูแตกต่างออกไปอีก เหมือนมีความสุขุมมากขึ้น ราวกับมี "ออร่า" บางอย่าง
แม้ว่าเขาจะนั่งอยู่เฉยๆ บนเก้าอี้ ยิ้มเล็กน้อยขณะมองเพื่อนๆ แต่ความรู้สึกบางอย่างทำให้เขาดูไม่เหมือนนักเรียนมัธยมปลาย
ถงซิน ที่ถูกลือว่าเป็นดาวโรงเรียน รู้สึกได้ว่าโจวรุ่ยจ้องเธออยู่นานกว่าปกติ ในฐานะที่เธอเป็น "ราชินี" ในสังคมเล็กๆ แห่งนี้ เธอนั้นไวต่อสายตาทุกคู่ที่มองเธอ
เธอชอบความรู้สึกที่ได้เป็นจุดสนใจ
เธอจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วยืดตัวเหยียดแขนเหมือนจะผ่อนคลาย แต่จริงๆ แล้วเป็นการแสดงให้เห็นรูปร่างของเธอ จากนั้นก็แกล้งทำเป็นมองโจวรุ่ยผ่านๆ
แต่โชคร้ายที่ตอนนั้นโจวรุ่ยเลื่อนสายตาไปมองคนอื่นแล้ว
ถงซินคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสรุปว่า
"หรือว่าโจวรุ่ยจะสนใจฉัน?"
เธอยิ่งคิดก็ยิ่งเชื่อว่าอาจเป็นไปได้ เพราะนักเรียนชายส่วนใหญ่ในห้องล้วนแอบชอบเธอ
นี่แหละคือวิธีที่ "ความเข้าใจผิด" มักจะเกิดขึ้น
หลังจากจดจำเพื่อนร่วมชั้นได้ครบทุกคนแล้ว โจวรุ่ยมองนาฬิกา เหลือเวลาอีก 7-8 นาทีก่อนคาบเรียนต่อไปจะเริ่ม
เขาสำรวจตัวเอง รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องเข้าห้องน้ำ แต่เริ่มมีอาการน้ำตาลในเลือดต่ำแล้ว
เพื่อให้คาบเรียนถัดไปสามารถเก็บค่าประสบการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เขาต้องหาอะไรกินก่อน
โจวรุ่ยเดินออกจากห้องและเลี้ยวซ้ายไปที่ห้องข้างๆ ซึ่งเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยวุ่นวายเหมือนหม้อที่กำลังเดือด
เขามองเข้าไป และก็เห็น หลี่เหวินเชี่ยน นั่งฟุบอยู่บนโต๊ะในแถวที่สาม
ยัยนี่เป็นพวกเงียบๆ ในช่วงมัธยม นอกจากจะสดใสร่าเริงเวลาอยู่กับเขาแล้ว ในห้องเรียนเธอเป็นคนเงียบสุดๆ และแทบไม่มีเพื่อนเลย
โจวรุ่ยหัวเราะ "หึๆ" สองครั้ง หลี่เหวินเชี่ยนเงยหน้าขึ้นมาด้วยท่าทางงงๆ พอเห็นว่าเป็นโจวรุ่ย เธอก็มีท่าทางตื่นเต้น แต่แล้วก็หน้าแดงขึ้นมา
นักเรียนจากห้องอื่นที่มาหาใครบางคนในห้องมักเป็นเรื่องแปลกในโรงเรียนมัธยมปลาย ถ้าคนที่มาหาเป็นเพศตรงข้าม เรื่องนินทายิ่งต้องเกิด
หลายคนมองมาที่เขา และโจวรุ่ยยังรู้สึกถึงสายตาอาฆาตของนักเรียนชายบางคนเหมือนหมาป่าที่ปกป้องถิ่น
แม้หลี่เหวินเชี่ยนจะดูธรรมดาเพราะทรงผมหน้าม้า แต่เธอเรียนเก่งและนิสัยเรียบร้อย นั่นก็เพียงพอจะดึงดูดความสนใจบางส่วนได้แล้ว
แต่โจวรุ่ยไม่สะทกสะท้าน เขาส่งสายตากลับไปยังพวกที่จ้องเขา
"มองอะไร? ถ้าอยากรู้ ก็ลองไปถามเธอเองสิ ว่าตัวเองเป็นของใคร? ของตระกูลโจวหรือเปล่า?"
หลี่เหวินเชี่ยนเดินออกมาและถามว่า
"มีอะไรเหรอโจวรุ่ย มาหาฉันทำไม?"
เธอเริ่มคิดในใจว่าโจวรุ่ยมาหาเธอด้วยเรื่องอะไร เพราะปกติโจวรุ่ยจะหลีกเลี่ยงไม่เดินคู่กับเธอในโรงเรียน
โจวรุ่ยถามตรงๆ
"ในกระเป๋ามีของกินไหม?"
หลี่เหวินเชี่ยนอึ้งไปเล็กน้อยก่อนตอบว่า
"ก็มีอยู่นะ เป็นฟรุตโรลสองอัน ฉันกะจะเก็บไว้กินตอนเที่ยง"
"ขอหน่อยดิ เดี๋ยวคราวหน้าจะคืนให้"
หลี่เหวินเชี่ยนทำหน้างง
"นี่แค่คาบแรกเองนะโจวรุ่ย นายหิวแล้วเหรอ?"
โจวรุ่ยตอบอย่างมั่นใจ
"ไม่ได้กินข้าวเช้า หิวจนมึนหัวแล้วเนี่ย"
ในใจหลี่เหวินเชี่ยนบ่นเบาๆ
"แต่ฉันกินไปสองชามตั้งแต่เช้า ยังอิ่มจนแน่นเลย..."
โจวรุ่ยดีดหน้าผากเธอเบาๆ แล้วพูดว่า
"เร็วเข้า ยอมวางอาวุธมาซะดีๆ แล้วจะไว้ชีวิตให้"
(จบตอน)