บทที่ 80 ยอดเพลงดาบ
ซูไป๋อีที่ติดตามเซี่ยคั่นฮวามาตั้งแต่วัยเยาว์นั้น เรียนรู้แต่เพลงกระบี่มาตลอดชีวิต สำหรับดาบแล้วเขาเรียกได้ว่าไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย เมื่อได้ยินคำถามของเฟิงอวี่หาน เขาจึงนิ่งเงียบ ไม่ตอบคำใด
เฟิงอวี่หานกลับมิได้ใส่ใจ ค่อยๆ เอ่ยต่อด้วยตนเองว่า
“หนุ่มสาวแห่งยุทธภพ หากให้เลือกฝึกกระบี่หรือดาบ แปดในสิบส่วนคงเลือกกระบี่ กระบี่คืออาวุธแห่งวีรชน คล้องคู่กับสุราเลิศรสและบทเพลงกวีแห่งจอมยุทธ์ เมื่อตอนข้ายังหนุ่ม ก็เคยใฝ่ฝันเช่นนั้น ส่วนดาบนั้น อาวุธแห่งนักรบผู้กร้าวแกร่ง ยามออกศึกมีเพียงศัตรู แต่ข้าไร้ตัวตน ดูไร้เสน่ห์แห่งจอมยุทธ์เซียนอยู่บ้าง”
ซูไป๋อีรีบตอบกลับอย่างร้อนรนว่า
“มิใช่เช่นนั้น มิใช่เช่นนั้นเลย ท่านอาวุโสอย่าเข้าใจผิด ข้าเพียงแต่ฝึกกระบี่มาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยสัมผัสเพลงดาบมาก่อน ท่านอาวุโสถามเช่นนี้ ข้าจึงลนลานเล็กน้อย”
เฟิงอวี่หานส่ายศีรษะพลางเอ่ย
“แต่เมื่อคิดไปแล้ว การเป็นนักดาบก็ดีไม่น้อย เป็นอิสระเสรี ไม่ต้องกังวลเรื่องจริยธรรมของวีรชน สวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ท่องยุทธภพอย่างไร้กังวล มันก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบ… เอาเถอะ อย่าได้พูดถึงสิ่งเหล่านี้อีกเลย ที่ข้าจะสอนเพลงดาบแก่เจ้า เพราะสามวันต่อจากนี้ ในพิธีการ เจ้าจะต้องช่วยข้าชิงตำแหน่งเจ้าสำนักกลับคืนมา”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น” ซูไป๋อีพยักหน้า “นั่นคือเป้าหมายของการเดินทางครั้งนี้มิใช่หรือ”
“เจ้าต้องใช้ดาบแทนข้า” เฟิงอวี่หานพลางสะบัดดาบในมือเบาๆ “ไม่ว่าเจ้าจะสนใจฝึกดาบหรือไม่ก็ตาม วันนี้เจ้าต้องเรียน”
ซูไป๋อีมึนงงหนักกว่าเดิม เอ่ยถามด้วยความสับสน
“ท่านเจ้าสำนักเฟิง ข้าชาตินี้ไม่เคยฝึกเพลงดาบเลย เหลือเวลาเพียงสามวัน ท่านจะสอนข้าฝึกได้อย่างไร”
“เจ้าได้ฝึกหัวใจคัมภีร์เซียน และในกายเจ้าก็มีพลังลมปราณของข้าทั้งหมด สามวันก็เพียงพอ ข้าจะถ่ายทอดเพลงดาบจากคัมภีร์นั้นให้แก่เจ้า” เฟิงอวี่หานมองดาบบางเฉียบในมือพลางเอ่ย
“เชื่อข้าเถอะ เพลงดาบนี้คือเพลงดาบที่สมบูรณ์แบบที่สุดในยุทธภพ แม้เปรียบเทียบกับเพลงดาบพันคมของเจ้าเมืองมาร ยังเหนือชั้นกว่าหลายส่วนนัก”
ณ สำนักคัมภีร์สวรรค์ ตำหนักใหญ่แห่งทะเลสาบ
“ท่านรองเจ้าสำนัก รถม้าสำหรับเดินทางไปยังสำนักเมฆาสางสวรรค์ได้รออยู่แล้ว ถึงเวลาออกเดินทางแล้วขอรับ” ศิษย์สำนักคัมภีร์สวรรค์คนหนึ่งร้องเรียกจากนอกประตู
ชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ วางถ้วยชาในมือลง แล้วใช้มือขวาเกาที่รอยแผลเป็นยาวบนหลังมือซ้ายเบาๆ พลางถามว่า
“ข่าวคราวของเฟิงอวี่หานยังไม่มีเลยหรือ”
ศิษย์คนเดิมก้มหน้าตอบด้วยความเคารพ
“เรียนท่านรองเจ้าสำนัก ข่าวจากฝั่งนั้นแจ้งว่ายังคงสูญหายอยู่เช่นเดิม ผ่านมานานป่านนี้ เกรงว่าจะไม่มีชีวิตรอดแล้ว”
รองเจ้าสำนักเอ่ยด้วยรอยยิ้มเจือจาง
“เฟิงอวี่หาน หาใช่คนที่จะตายง่ายดายเพียงนั้น” เขาเกาแผลเป็นต่อพลางหันไปถาม “ท่านพี่ ท่านคิดเช่นไร?”
ในห้องด้านในสุด ชายผู้หนึ่งนั่งอยู่บนรถเข็น มองพื้นด้วยสายตาครุ่นคิด เอ่ยด้วยเสียงเรียบนิ่ง
“ตราบใดที่ยังไม่พบศพ ก็เตรียมตัวรับมือไว้เถอะ อีกอย่าง ระวังหมู่ตึกธารสวรรค์ไว้ด้วย”
รองเจ้าสำนักหัวเราะเสียงดัง
“ฮ่าๆๆ สำนักใหญ่ทั้งสามแห่งต้าเจ๋อ เชื่อมโยงกันอย่างแน่นแฟ้น ท้ายที่สุด สองฝ่ายกลับรวมกันล้มอีกฝ่ายหนึ่ง แล้วยังจะห้ำหั่นกันเองอีก หวังให้กลายเป็นสำนักเมฆาสางสวรรค์อีกฝ่ายหนึ่ง นี่มันช่างน่าขันนัก”
ขณะที่พูดนั้น สายลมที่พัดผ่านทำให้เรือนผมที่ปิดหน้าผากของเขาปลิวขึ้น เผยให้เห็นปานบนหน้าผาก เขารีบใช้มือปิดผมลงอย่างรวดเร็ว พลางกล่าวต่อ
“ข้าถามท่านพี่เถอะ เมื่อไหร่พวกเราจะเลิกแสร้งทำตัวเป็นวิญญูชนผู้ทรงธรรมเสียที ชักดาบขึ้นต่อสู้กันไปเลยไม่ดีกว่าหรือ แสร้งเป็นคนดี มันช่างเหนื่อยล้าจริงๆ”
เจ้าสำนักใหญ่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ตอนนี้พวกเรายังมิใช่คู่ต่อสู้ของสำนักสวรรค์ซ่างหลิน ครั้งนี้พวกเขายอมหลับตาข้างหนึ่งต่อเรื่องของสำนักเมฆาสางสวรรค์ ก็นับว่าถอยให้มากแล้ว”
“ฮึ! พวกเขาอยู่ทางเหนือ ณ ภูเขาเหวยหลง ส่วนพวกเราอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ ณ ตำหนักใหญ่แห่งทะเลสาบ การที่พวกเขาถอยเพียงเล็กน้อยเช่นนี้ จะนับเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร” รองเจ้าสำนักแค่นเสียงเย็นชา
“อย่าพูดจาเหลวไหล” เจ้าสำนักใหญ่เอ่ยปรามเสียงเข้ม
ลมแรงพัดผ่านเข้ามาอีกครั้ง รองเจ้าสำนักรีบใช้มือกดผมที่ปลิวขึ้นปิดหน้าผาก พลางพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“วันนี้ลมแรงเหลือเกิน!”
คำพูดนั้นยังไม่ทันขาดคำ เขาก็รู้สึกว่าเบื้องหน้ามืดสนิทไปชั่วขณะ เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ก็พบว่ามีร่างสูงผอมบางผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า คนผู้นั้นสวมงอบ และชี้นิ้วไปยังหน้าผากของรองเจ้าสำนัก ระยะห่างเพียงแค่หนึ่งชุ่น
“ที่ว่าก้าวเล็กนั้นถูกต้องแล้ว แต่หากไร้แม้ก้าวเล็กๆ นี้ แล้วข้าก้าวไปข้างหน้าอีกเพียงชุ่นเดียว เจ้าก็ตาย” เสียงของบุรุษนั้นสงบนิ่ง เหมือนเล่าเรื่องที่ไร้ความสำคัญใดๆ
“ไป๋...ไป๋จี๋เล่อ!” รองเจ้าสำนักจดจำเสียงนี้ได้ทันที
“รองเจ้าสำนัก เราไม่ได้พบกันมาหลายปีแล้ว” ไป๋จี๋เล่อกล่าวพลางลดมือลง
รองเจ้าสำนักรีบหันกลับไปมองด้านในตำหนัก “ไป๋จี๋เล่อมาได้อย่างไร!”
“ไร้มารยาท ควรเรียกว่าเจ้าหอไป๋!” เจ้าสำนักใหญ่เอ่ยปรามด้วยเสียงเฉียบขาด ก่อนเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงนุ่มนวน
“เจ้าหอไป๋ ร่างกายของข้าขยับเขยื้อนไม่สะดวก จึงไม่อาจออกมาต้อนรับ ต้องขออภัย”
“เจ้าสำนักใหญ่ไม่ต้องเกรงใจ ข้าเพียงมาตามที่ตกลงกันไว้ เพื่อรับสิ่งหนึ่ง” ไป๋จี๋เล่อกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ
รองเจ้าสำนักขมวดคิ้วถาม “สิ่งใดกัน?”
เจ้าสำนักใหญ่ที่นั่งอยู่ในห้องด้านใน เงยหน้าขึ้นเป็นครั้งแรก หลังจากที่ก้มมองขาตนเองที่พิการมานานหลายปี ก่อนเอ่ยเสียงเบาว่า
“เอาไปเสียเถอะ ข้าก็เสียใจที่ความโลภในอดีตทำให้เป็นเช่นนี้”
ไป๋จี๋เล่อจัดงอบของตนให้เข้าที่ โดยไม่ได้กล่าวอะไรเพิ่มเติม ความเงียบปกคลุมตำหนักอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่สมุดเล่มเล็กเล่มหนึ่งจะลอยออกมาจากด้านในตำหนัก ไป๋จี๋เล่อยื่นมือรับและเก็บมันไว้ในอกเสื้อ
“นั่นมัน...” รองเจ้าสำนักกำหมัดแน่น
“เจ้าแสดงจิตสังหารออกมาแล้ว” ไป๋จี๋เล่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าถอยให้เพียงเล็กน้อย หากเจ้าก้าวเข้ามา ข้าจะฆ่าเจ้า”
“เจ๋อรุ่ย!” เสียงดุดันดังมาจากด้านในตำหนัก
“ข้าเข้าใจแล้ว” รองเจ้าสำนักถอนหายใจเบาๆ ก่อนถอยกลับไปหนึ่งก้าว
“ข้ายังต้องเดินทางไปยังหมู่ตึกธารสวรรค์ ขอลา” ไป๋จี๋เล่อกล่าวพลางหมุนตัวจากไป
“ท่านพี่!” รองเจ้าสำนักรีบเดินเข้าไปในห้องด้านใน “หรือว่าครั้งนี้ สิ่งที่ทำให้สำนักสวรรค์ซ่างหลินไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการกดดันสำนักเมฆาสางสวรรค์ ก็คือ...”
“ใช่แล้ว” เจ้าสำนักใหญ่พยักหน้า
“เพราะเฟิงอวี่หานไม่ยอมรับข้อเสนอ เขาจึงต้องพบจุดจบเช่นนี้ สำนักสวรรค์ซ่างหลินแม้จะไม่ยิ่งใหญ่อย่างเคย แต่ก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้ที่เราจะต่อต้านได้”
“แต่หากมอบสิ่งนั้นให้พวกเขาไป...” รองเจ้าสำนักกล่าวด้วยน้ำเสียงแค้นเคือง
“มันไม่ใช่สิ่งดีอันใด” เจ้าสำนักใหญ่กล่าวพลางลดมือที่เคยวางบนขาตนเองลง
“หากไม่ใช่เพราะมัน ข้าก็คงไม่กลายเป็นเช่นนี้”
“แล้วเจ้าแห่งหมู่ตึกธารสวรรค์ ยินดีมอบสิ่งนั้นให้พวกเขาเช่นกันหรือ? ข้าได้ยินมาว่าเขาค้นพบวิธีใช้งานสิ่งนั้นแล้ว หากให้เวลาข้ามากพอ ข้าก็เชื่อว่าทำได้เช่นกัน” รองเจ้าสำนักกล่าว
“เมื่อครู่ ข้าสัมผัสได้ว่าร่างของไป๋จี๋เล่อเต็มไปด้วยจิตสังหาร ข้าเคยพบเขาหลายครั้ง เขามักปกปิดความรู้สึกตนเองเสมอ ไม่เคยแสดงออกเช่นนี้” เจ้าสำนักใหญ่ถอนหายใจเบาๆ
“ดูเหมือนว่าเรื่องนี้ สำนักสวรรค์ซ่างหลินต้องการมันอย่างยิ่ง”
รองเจ้าสำนักหลับตาลงช้าๆ “หรือบางที...เขาอาจได้รับบาดเจ็บ”